บทที่ 5 การตัดสินใจของไตรวิชญ์ [1]
เป็นช่วงบ่าย เพราะมัวแต่คลุกอยู่กับโอเมก้าที่พาติดมือกลับมาด้วยในห้อง กว่ากลิ่นฟีโรโมนจะเบาลงก็จัดไปหลายท่า ล่อไปหลายยก พอคนก่อกวนหลับสนิทไปแล้ว ไตรวิชญ์ถึงค่อยก้าวลงจากเตียงไปอาบน้ำแต่งตัวเดินลงมาชั้นล่างในเวลาต่อมา
ตอนนี้ให้ห้องโถงใหญ่เนืองแน่นไปด้วยพ่อแม่พี่น้องของเขา สีหน้าของพ่อยังคงเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ สองมือจับหนังสือพิมพ์เปิดอ่านเนื้อหาข่าวด้านใน ส่วนแม่ที่นั่งกอดอกรออยู่ข้าง ๆ ก็ตวัดดวงตาดำขลับวาววับมองเขาด้วยสายตาคาดโทษ แผ่กลิ่นอันตรายออกมาข่มขู่เขาที่ยืนอยู่ไม่ไกล
“มาแล้วหรือพ่อตัวดี มาเล่าให้แม่ฟังซะดี ๆ ว่าไปก่อเรื่องอะไรมา เล่ามาให้ละเอียดเลยนะ โดยเฉพาะเด็กโอเมก้าที่ลูกหิ้วติดมือกลับมา
ได้ยินแว่ว ๆ ว่าเป็นคู่แห่งโชคชะตาของลูก มันเป็นความจริงหรือเปล่า”
ชายหนุ่มถอนหายใจทิ้งเฮือกใหญ่ทันทีที่ถูกยิงด้วยคำถามที่ไม่อยากตอบมากที่สุดในตอนนี้ ใบหน้าคมเข้มออกอาการหัวเสียเล็กน้อย แต่พยายามรักษาสีหน้าหงุดหงิดไว้ไม่ให้มากเกินไป เพราะเดี๋ยวจะถูกมารดาบังเกิดเกล้าหมายหัว แม้ว่าความจริงจะช้าไปก้าวหนึ่งแล้วก็ตามที ร่างสูงกำยำสวมเสื้อยืดคอวีสีกรมน้ำเงินกับกางเกงสีดำความยาวเสมอเข่าเดินไปนั่งที่โซฟาเดี่ยว ฝั่งตรงข้ามเป็นตรีภพกับไตรภูมิที่มารอฟังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วย
ไตรวิชญ์มองผู้นำตระกูลคนปัจจุบันที่วันนี้ใส่เสื้อโปโลสีขาวแขนสั้นกับกางเกงขายาวสีดำ สวมนาฬิกาทองเรือนโปรดไว้ข้างซ้าย ขณะที่ภรรยาของผู้นำใส่ชุดแซกสีเขียวน้ำทะเลพอดีตัวยาวเลยเข่ามาหนึ่งนิ้ว เป็นแบบคอกลมแขนกุด สวมสร้อยคอไข่มุกเม็ดโตดูสวยสง่าเหมือนอย่างทุกวัน เขาระบายลมหายใจออกมาอีกครั้ง เริ่มต้นเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้คนในครอบครัวฟัง
สีหน้าของแต่ละคนแตกต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่จะตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเองหลังจากได้ฟังจบ ไตรวิชญ์ไม่อาจคาดเดาความนึกคิดของพ่อได้ เพราะท่านมักเป็นคนที่เก็บความรู้สึกเก่ง ท่านอาจโกรธที่เขาไม่ระวังตัวให้ดีจนเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น หรือกำลังเคร่งเครียดคิดหาทางออกอยู่ก็เป็นได้ บรรยากาศที่ปล่อยออกมาจึงดูหนักอึ้งจนทุกคนสัมผัสได้ และแทนที่จะลุกมาโวยวายต่อว่าเขากลับนั่งนิ่งเงียบ รอคอยให้ผู้เป็นใหญ่สุดในบ้านเป็นฝ่ายพูดก่อน
“คิดไว้หรือยังว่าหลังจากนี้แกจะจัดการยังไง”
“ผมคิดว่าพอหมดช่วงฮีทก็จะปล่อยมันไป”
“ไม่ได้ อย่าทำเหมือนมันเป็นเรื่องง่าย ๆ สิ ลูกไปกัดคอตีตราเด็กคนนั้นไปแล้ว จะปล่อยทิ้งขวางไม่ดูดำดูดีได้ไง แม่ไม่ยอมเด็ดขาด แล้วยิ่งเป็นคู่แห่งโชคชะตาด้วย ลูกคงยังไม่เคยได้สัมผัสถึงความทรมานเวลาที่ต้องแยกห่างจากคู่สินะ แม่เคยเห็นคู่แห่งโชคชะตามาหลายคู่แล้ว ได้เห็นความเจ็บปวดเวลาที่พวกเขาต้องแยกจากกัน แต่สุดท้ายก็ฝืนสัญชาตญาณไม่ไหวทำผิดต่อคู่ครองของตน”
“ผมไม่มีทางเป็นอย่างนั้น”
“งั้นเหรอ แล้วไอ้อาการหวงโอเมก้ากับเพื่อนตัวเองล่ะ ลูกจะอธิบายว่ายังไง แค่เจอกันวันสองวันลูกแม่ก็ยังเป็นซะขนาดนี้ กว่าจะหมดฮีทก็อีกตั้งห้าวัน ถ้าต้องปล่อยเด็กน้อยคนนั้นไปจริง ๆ ลูกแม่จะไม่คลุ้มคลั่งเอาเหรอ” ดาหลาสัพยอกลูกชายคนรองด้วยรอยยิ้มแพรวพราวเจ้าเล่ห์ ดวงตาสวยเฉี่ยวมองคนกำลังเสียอาการด้วยแววตารู้ทัน
เธอเลี้ยงไตรวิชญ์มากับมือจะดูไม่ออกเชียวหรือว่ากำลังรู้สึกอย่างไร ต่อให้จะพยายามข่มกลั้นความหงุดหงิดงุ่นง่านใจไว้ก็กลบเกลื่อนแรงกดดันที่ส่งออกมาไม่ได้
แค่โดนเธอแหย่นิดแหย่หน่อยก็ไปหมดแล้วลูกชายเรา ทำมาเป็นพูดดีว่าจะปล่อยไป เธอจะดูซิว่าพอถึงตอนนั้นจะทำได้จริงไหม
“เอาเถอะ แล้วแต่ลูกเลยละกันว่าจะตัดสินใจทำยังไงกับเด็กคนนั้น ถ้าลูกไม่ต้องการเด็กโอเมก้าก็บอกแม่ แม่จะรับไปเลี้ยงไว้เอง ดีกว่าปล่อยออกไปให้พวกอัลฟ่าต่ำช้าข่มเหงรังแก”
แค่เผลอจินตนาการถึงตอนที่มีอัลฟ่าอื่นมาแตะต้องเนื้อตัวของนิมมาน ดวงตาคมกริบก็ดำมืดฉายแววอำมหิตเลือดเย็นออกมาโดยไม่รู้ตัว ตรีภพกับไตรภูมิสัมผัสได้ถึงกระแสความกรุ่นโกรธจากคนปากหนักไม่ยอมรับความจริง ทั้งที่ตอนเช้าก็ออกจะแสดงอาการหึงหวงเด็กน้อยน่ารักชัดเจน
ถึงจะยังไม่ได้เห็นหน้าโอเมก้าน้อยก็เถอะ แต่จากคำบอกเล่าของกวินก็พอจะนึกภาพออกน่าเด็กคนนี้คงจะน่ารักไม่น้อย ไม่งั้นคนใจหินอย่างไตรวิชญ์ไม่หน้ามืดเผลอจับกินซ้ำแล้วซ้ำเล่าหรอก
ผู้ชายยังไงก็คือผู้ชาย เวลาเห็นของสวย ๆ งาม ๆ จะอดใจไหวได้ยังไง
“คิดให้รอบคอบแล้วกัน ฉันไม่อยากให้เรื่องนี้ทำให้แกเสียการปกครอง เดี๋ยวจะคุมลูกน้องไม่ได้ ช่วงนี้แกก็หยุดพักไปก่อนจนกว่าจะเคลียร์กับเด็กนี่ได้ พอเปิดเทอมแล้วแกยังต้องไปฝึกอบรมเพื่อขึ้นรับตำแหน่งผู้นำตระกูลอีก อย่าให้เรื่องพวกนี้มาทำให้แกเสียงาน”
ไตรวุฒิเตือนลูกชายคนรองด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทว่าแววตากลับดุดันและเข้มงวดมาก ไม่ว่าเรื่องอะไรพ่อของเขามักจะจริงจังเสมอ ยิ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคนในตระกูล ไม่เลือกว่าเจ้านายหรือลูกน้องก็ไม่ยอมปล่อยให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้นเด็ดขาด
ในบรรดาลูกสามคนไอ้ตรีภพมีนิสัยคล้ายคลึงกับพ่อมากที่สุด เป็นพวกไม่ชอบความผิดพลาดหรือล้มเหลว ถ้าเห็นว่ามีอะไรมาขัดขวางให้เสียงานจะรีบกำจัดความเสี่ยงนั้นทิ้งโดยไม่ลังเล
“ครับ ผมจะไม่ให้เรื่องนี้มากระทบกับงาน” ไตรวิชญ์ตอบกลับเสียงหนักแน่นมั่นคง ไม่มีทางที่เขาจะสูญเสียตัวตนไปเพราะเด็กนั่นแน่นอน
“วันพรุ่งนี้มีงานเลี้ยงวันเกิดของลูกสาวตระกูลพนารัตน์ แกจะไปด้วยกันไหม”
“ไม่ไปครับ ผมไม่ชอบร่วมงานเลี้ยงพ่อก็รู้”
“ต่อไปแกต้องหัดออกงานสังคมบ่อย ๆ จะได้ชินไว้ มีผู้นำตระกูลคนไหนบ้างเอาแต่หมกตัวอยู่กับพวกลูกน้อง ไม่อยู่สนามฝึกซ้อมก็ออกไปล่าพวกเศษเดน อย่าลืมสถานะของตน แกเป็นอัลฟ่าชั้นสูงสายเลือดบริสุทธิ์ จะลงไปเกลือกกลั้วคลุกคลีกับพวกมันบ่อย ๆ ไม่ได้”
“คราวหลังจะให้ลูกน้องไปจัดการครับ”
“ฉันหมดธุระกับแกแล้ว อยากจะขึ้นไปหาโอเมก้าของแกก็ไปเถอะ”
เห็นสีหน้าร้อนรุ่มอยู่ไม่สุขของลูกชาย ไตรวุฒิก็อดรนทนไม่ไหวไล่ให้ไตรวิชญ์กลับไปหาโอเมก้าด้านบน ลางสังหรณ์ของเขาบอกให้รู้ว่า
เด็กหนุ่มคนนั้นจะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลหิรัญรชตอย่างแน่นอน แม้ว่าที่ผ่านมาตระกูลเขาจะไม่เปิดรับโอเมก้า ทว่าในรุ่นของลูกชายเขาอาจมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ก็เป็นได้
เขาไม่เกี่ยงว่าคู่ครองของลูกชายจะเป็นอัลฟ่าหรือโอเมก้า ขอเพียงให้กำเนิดทายาทที่แข็งแกรงสมบูรณ์พร้อมแก่ตระกูลเขาและสามารถดูแลลูกชายเขาได้เป็นอย่างดี คนเป็นพ่อยังจะต้องการสิ่งใดอีก