บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 2 -1 สหาย

“ฮ่าๆๆๆ ท่านพี่… ฮ่าๆๆๆ” พี่ชายทั้งสามถึงกับยืนงงกับอาการขำขันโดยไร้สาเหตุของผู้เป็นน้องสาว

“บุรุษมิควรพบสตรีในเรือนของตนเองอย่างนั้นหรือเจ้าคะ แต่สตรีที่พวกท่านว่านั่นเพื่อนน้องนะเจ้าคะ อีกอย่างนางก็อายุเท่าน้อง นางมิมีทางคิดมากเช่นพวกท่านแน่นอนฮ่าๆๆๆ”

ฉีอันหนิงพยายามหยุดหัวเราะก่อนที่จะเอ่ยออกมาแล้วหัวเราะอีกครั้งก่อนที่นางจะเดินกลับไปยังศาลาริมน้ำหลังจวน เหล่าพี่ชายของนางช่างมีความคิดราวกับสตรียิ่งนัก หากพวกเขาเป็นสตรี การที่มีบุรุษมาเยี่ยมเยือนที่บ้านมิควรออกมาเดินเพ่นพ่านนั่นถึงเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ผู้มาเยือนในครั้งนี้เป็นเด็กหญิงอายุเพียงเจ็ดปี แถมยังเป็นสหายของน้องสาวอีก พวกเขาช่างคิดมากเสียจริง

สำนักศึกษาหลี่ชุน

เหล่าศิษย์ทั้งชายหญิงทยอยกันเข้าไปในสำนักศึกษาในยามเฉิน รวมไปถึงบุตรชายและบุตรีจากสกุลฉีด้วย พี่ชายทั้งสามแยกตัวไปเข้าแถวตามห้องของตนเอง เช่นเดียวกับฉีอันหนิงที่เดินไปที่แถวของนาง ซ่งเจียวซินพอได้พบหน้าสหายสนิทที่พานางเล่นสนุกก็ฉีกยิ้มออกมา

“อันหนิง…”

“มาแต่เช้าเลยนะเจียวซิน”

สองเด็กหญิงทักทายกันก่อนที่อาจารย์จะเดินมาที่หน้าแถวและกล่าวปรัชญาการเรียนรู้ของการเรียนในปีนี้ ฉีอันหนิงเป็นเด็กที่ใฝ่รู้ใฝ่ศึกษา นางเคารพและเชื่อฟังเหล่าอาจารย์ ตลอดชั่วยามที่ท่านอาจารย์กล่าวอยู่นั้นนางตั้งใจฟังเป็นอย่างดี แตกต่างจากเด็กวัยเดียวกันที่ไม่มีสมาธิในการฟังอาจารย์ เพราะมัวแต่ฟังกันเอง

“สำนักศึกษาของเราในปีนี้ก็ได้เปิดการสอนมาได้ครึ่งทางแล้ว สำหรับลูกศิษย์ที่เตรียมตัวไปสอบขุนนาง อาจารย์ก็ขอให้ตั้งใจ หากพวกเจ้าทุกคนตั้งใจแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าหวังไว้มันก็จะสำเร็จ” อาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาหลี่ชุนกล่าวออกมา ก่อนที่ท่านจะปล่อยให้ศิษย์เลิกแถวแล้วแยกย้ายกันไปเรียนตามห้องของตน

“อันหนิง เจ้าเตรียมบทกวีมาท่องให้ท่านอาจารย์ฟังหรือยัง” ฉางซูซู สหายร่วมห้องที่สนิทกับนางและซ่งเจียวซินเอ่ยถามขึ้นหลังจากเข้ามานั่งในห้องเรียนแล้ว

“อื้อ… เจ้าล่ะซูซู”

ฉีอันหนิงละสายตาของนางขึ้นจากหนังสือตรงหน้าก่อนที่จะเงยหน้ามองและถามไถ่นางกลับ

“ข้าเตรียมแล้ว แต่ท่องอย่างไรก็มิเข้าหัวสักที ข้าล่ะจนปัญญาแล้วล่ะ” ฉางซูซูเอ่ยออกมาพลางถอนหายใจ ก่อนที่จะเอ่ยถามสหายอีกคน

“เจ้าล่ะเจียวซิน”

“อือ…. เรียบร้อย ข้าท่องจนจำได้ขึ้นใจแล้ว” คุณหนูรองสกุลซ่งตอบออกมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม

“พวกเจ้าสองคนนี่น่าอิจฉาเสียจริง ฉลาดจนคนโง่อย่างข้าตามไม่ทัน” คุณหนูสกุลฉางเอ่ยขึ้นใบหน้าฉายแววแห่งความน้อยใจ

“เจ้าอย่าคิดมากไปเลย ซูซู เจ้ามิได้โง่หรอก เพียงแค่เจ้าต้องพยายามให้มากกว่าเดิม ความพยายามมิเคยทำให้ผู้ใดล้มเหลว เจ้าจำที่อาจารย์บอกได้หรือไม่” ฉีอันหนิงปลอบใจสหายอีกคน ฉางซูซูพยักหน้าก่อนที่จะยิ้มออกมา

“บทกวี จิ้งเย่ซือ" เสียงเล็กเอ่ยชื่อบทกวีขึ้นมา ก่อนที่จะท่องเนื้อหาของบทกวีนั้นออกมา

‘หน้าเตียงนอน แสงจันทร์ส่องนวลใย ให้สงสัยน้ำค้างหล่นบนพื้นดิน ยกหัวมองจันทร์พลันถวิล ก้มหน้าอินคิดถึงถิ่นดินแดนเกิด’

"ความคิดถึงในคืนสงบ หลี่ไป๋” ลงท้ายด้วยชื่อบทกวีและนามของผู้แต่ง เหล่าอาจารย์พยักหน้าและพายิ้มออกมาด้วยความพอใจ

ฉีอันหนิงท่องบทกวีจบก็ได้รับชมจากเหล่าอาจารย์ ก่อนที่สหายสนิทของนางจะได้ท่องบทกวีเป็นคนต่อไป และเด็กหญิงทั้งสองท่องบทกวีผ่านไปได้ด้วยดี คนที่กังวลอยู่ก่อนหน้าว่าจะท่องบทกวีมิได้ส่งยิ้มไปให้สหายทั้งสอง

“ได้รู้จักกับพวกเจ้าช่างดีเสียจริง” ฉางซูซูเอ่ยออกมา สีหน้าของนางแสดงออกถึงความสบายใจ

“ข้าบอกเจ้าแล้วซูซู มิมีเรื่องใดที่จะชนะความพยายามของเราได้หรอกนะ เจ้าน่ะชอบกังวล ชอบคิดมาก” ฉีอันหนิงยิ้มออกมาหลังจากที่เอ่ยจบ

เด็กหญิงทั้งสามพากันไปยังโรงครัวของสำนักศึกษา ซึ่งมีโต๊ะเรียงรายเพื่อให้เหล่าลูกศิษย์ของสำนักศึกษาได้นั่งรับประทานอาหารในช่วงพักกลางวัน ฉีอันหนิงไปที่ใดเด็กหญิงมักจะมีคนเข้ามาทักทายนางเสมอ เพราะผู้ใดบ้างที่จะไม่รู้จักบุตรีคนเล็กของท่านเจ้าเมือง โดยเฉพาะตระกูลที่ต่ำศักดิ์กว่าที่ได้รับคำแนะนำจากทางผู้ใหญ่ให้เข้้ามาตีสนิทนางเอาไว้ ยกเว้นก็แต่ซ่งเจียวซินและฉางซูซูที่เข้ามาคบหากับนางด้วยความจริงใจ

“อันหนิง วันนี้ที่จวนของข้าทำผัดผักใส่เนื้อมาให้กินมื้อกลางวัน เจ้าอยากกินไหม” คุณหนูสกุลซูเดินเข้ามาหาฉีอันหนิงที่โต๊ะก่อนที่จะชูจานที่มีผัดเนื้อใส่ผักให้นางดูพร้อมกับเอ่ยถามออกมา

“ขอบใจนะฉินหรง แต่เราไม่กินเนื้อน่ะ เจียวซิน ซูซู พวกเจ้าชอบกินเนื้อไหม ฉินหรงนางเอามาแบ่งให้น่ะ”

เด็กหญิงรู้ดีว่าอีกฝ่ายมิได้เต็มใจที่จะนำอาหารจานนี้มาแบ่งให้นางเพราะความมีน้ำใจ แต่ทว่าเป็นการนำอาหารมาซื้อใจของตน

สหายทั้งสองจึงใช้ตะเกียบคีบเนื้อและผักจากจานของฉินหรงไปคนละนิด แต่คนที่นำมาแบ่งกลับทำหน้าไม่พอใจ นางได้รับคำสั่งจากบิดาให้มาตีสนิทกับฉีอันหนิง มิใช่สหายอีกสองคนของนาง เมื่อเห็นว่าใช้อาหารตีสนิทฉีอันหนิงไม่สำเร็จ คุณหนูสกุลซูจึงหยิบจานผัดเนื้อใส่ผักกลับไปยังโต๊ะที่นางนั่งกับสหายอยู่ก่อนหน้า

“อันหนิง… ไม่กินจริงอะ” ซ่งเจียวซินคีบเนื้อขึ้นมาชูต่อหน้านาง

“อาหารที่เอามาให้ด้วยความจริงใจเรากินหมดนั่นแหละ แต่ถ้าเป็นอาหารที่เอามาซื้อใจข้า ข้ากินไม่ลง พวกเจ้ากินเหอะ”

ฉีอันหนิงตอบออกมาก่อนที่จะคีบผักและเนื้อหมูปิ้งในจานของตนขึ้นมาใส่ปากเคี้ยวจนแก้มป่อง ทั้งซ่งเจียวซินและฉางซูซูพากันส่ายหน้าแล้วยิ้มออกมา จากนั้นจึงกลับไปสนใจอาหารในจานของตนต่อ เด็กหญิงทั้งสามจัดการอาหารในจานจนหมดก่อนที่จะพากันออกจากบริเวณนั้นไป

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel