ตอน 6
“ช่างสิพี่ข้าว ไหมไม่อยากมาซะหน่อย เบื่อทำงานไปเดินเล่นไปช็อปปิ้งดีกว่า” ผ้าไหมไม่สนทัศนียภาพที่พี่สาวบอก ทั้งที่ต้นข้าวพยายามให้น้องสาวตีสีหน้าให้ดีกว่านี้ ผ้าไหมเบื่อจึงเดินหนีไปเฉยๆ
“เดี๋ยวไหมจะไปไหน”
“เบื่อ...ไปหาอะไรดื่มหน่อย อะไรบ่อยให้คนรอเป็นนานสองนาน เป็นแขกภาษาอะไรไม่ตรงเวลา”
“เรามารอเขาก่อนเวลาในฐานะเจ้าบ้านนะไหม ทำหน้าที่แทนพ่อกับแม่หน่อยสิ”
“ทำไปเถอะไหมเบื่อไปล่ะ มีอะไรค่อยเรียกอ้อ...แต่พี่ข้าวจัดการได้อยู่แล้วนี่ไม่ต้องให้ไหมออกมาก็ยังได้” ที่สำคัญผ้าไหมอ่อนภาษาต่างประเทศไม่อยากยืนเป็นหุ่นพูดไม่ได้ต่อหน้าแขก ต่างจากต้นข้าวไม่ว่าภาษาอะไรก็กระดิกทั้งนั้น หล่อนมันหัวอ่อนเรียนจบได้ก็บุญแล้วหนำซ้ำยังเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนใช้เงินเป็นหลักไม่ได้ใช้สมอง
สามร่างสูงสง่าในสูทเรียบหรูก้าวเข้าไปในส่วนของอาคารฟู๊ดโปรดักส์ ก่อนหน้านั้นเฟียตซิโอ้สกดอารมณ์ตัวเองอยู่นาน กว่าจะเดินเข้ามาได้ การเตรียมพร้อมล่วงหน้าหลายปีไม่ได้ทำให้เขาลดอาการบางอย่างในกายได้เลย ฝ่ามือเย็นผุดเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กตลอดเวลา
“เจ้านายครับ”
“ว่าไงอิส”
“เรามาถึงที่หมายแล้วนะครับดีขึ้นไหมครับ”
“อะไรคือดีขึ้น” อะไรที่เขาปิดบังหากแต่ไม่เคยปิดสายตาอิสโก้ได้แม้กระทั่งอาการเย็นยะเยือกในกายขณะนี้ด้วย
“ผมรู้เจ้านายเดินเข้ามาเพื่อจัดการกับงานใหญ่” หลายเดือนที่อิสโก้และอัลบาโต้ทำงานชิ้นนี้ให้กับเฟียตซิโอ้ เขาย่อมรู้ดีเจ้านายต้องการอะไรและในที่สุดวันเวลานี้ก็ได้ย่างกรายมาถึง รอยยิ้มที่ไม่ปรากฏบนดวงหน้าชายหนุ่มหล่อเหลาคมเข้ม ยังคงนิ่งขึงเช่นนั้นจนเป็นภาพชินตา เขาพูดน้อยหรือบางวันแทบไม่พูด ความลับมากมายถูกเก็บไว้ในหัวใจ และสิ่งที่ติดตัวเฟียตซิโอ้ไม่เคยห่างอีกสองชิ้น
“สวัสดีค่ะ” เสียงหวานเอ่ยทักทายแขกผู้มาเยือนทั้งสามด้วยภาษาสากล ร่างบอบบางสวมส่วนนัยน์ตากลมโต คิ้วโก่งดกดำอย่างสาวอินเดียปรากฏต่อหน้าเฟียตซิโก้ “ยินดีต้อนรับค่ะ” หญิงสาวเอ่ยต่อจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาคมเข้ม กลีบปากอิ่มสีชมพูระบายยิ้มจริงใจต่อแขกผู้มาเยือน
หากแต่อีกฝ่ายกลับเมินสายตามองทัศนียภาพอื่นมากกว่าสนใจคู่สนทนาอย่างเธอ
“ดีฉันต้นข้าว อังศุนิตย์ตัวแทนฟู๊ดโปรดักส์ยินดีต้อนรับค่ะ” เหมือนพูดอยู่กันอากาศธาตุ ไม่เสียทีเดียวเมื่อเธอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ ปลายสายตาชายตัวสูงราว 190 เซนติเมตรชำเลืองมองต่ำลงมาหาหญิงไทยความสูงมาตรฐานเช่นเธออยู่บ้าง
แววตานั้นดูเยือกเย็นดุจภูเขาน้ำแข็งเมื่อสบประสานให้หนาวไปสุดขั้นหัวใจ นี่ผู้บริหารฝึกหัดที่ต้องรับหน้าแขกไม่รู้จักแทนบิดาทั้งที่พวกเขาติดต่อมาทางบิดาโดยตรง แต่ให้เธอรับหน้าเพียงลำพัง ผ้าไหมที่ไม่ได้ความกลับหนีหายซะอีก
“อย่ามากเรื่อง” เสียงเข้มเอ่ยจากปากเป็นประโยคแรก ต้นข้าวเย็นไปถึงไขสันหลัง ไม่ใช่เพียงสายตาที่เย็นชา ดุดัน หากแต่น้ำเสียงเขายังน่าเกรงขามดูไม่เปิดช่องว่างให้มิตรได้ผ่านเข้าไปทำความรู้จัก ภาพแรกที่ต้นข้าวคิดไว้นักลงทุนชาวสเปนคงอายุราวๆ 60 หากว่าชายผู้นี้คือเฟียตซิโอ้ตัวจริงเสียงจริง เขาดูหนุ่มและหล่อกว่าในจินตนาการของเธอมาก หากว่ากิริยาช่างตรงข้ามกับความหล่อ
“ถ้าอย่างนั้นเชิญที่ห้องประชุมเลยนะคะ” ต้นข้าวรีบตัดบทผายมือเชื้อเชิญแขกหน้าดุ ไปยังห้องประชุมเมื่อเขาไม่ให้ความเป็นกันเองเธอคงต้องต้อนรับไปตามหน้าที่และอัตภาพ เจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆ ต่างวิ่งวุ่นจัดการกับเครื่องดื่มของว่าง ฝ่ายเอกสารจัดแจงรอท่าอยู่แล้วตามแผนงานที่ต้นข้าววางระบบไว้ให้เมื่อสองวันก่อน “ตามผ้าไหมให้ตามไปที่ห้องประชุมด่วน” สั่งเลขาเสียงขรึมก่อนเดินนำแขกไปยังห้องประชุมใหญ่ได้จัดระเบียบไว้ก่อนหน้า
“ผมไม่เห็นคุณกนธี”
“พอดีพ่อติดธุระด่วนให้ดิฉันอยู่รอต้อนรับคุณเฟียตซิโอ้ค่ะ” หญิงสาวตอบไม่เต็มเสียงนักในเมื่อความจริงบิดาต้องอยู่ในวันนี้ไม่ใช่ให้ผู้จัดการฝ่ายบริหารเช่นเธอมารอต้อนรับแขกคนสำคัญ จะทำไงได้ในเมื่อท่านไม่อยู่ที่นี่เธอต้องทำหน้าที่แทนจนจบขบวนความ เพื่อความอยู่รอดของบริษัท ชายหนุ่มได้ฟังประโยคจากหญิงสาวด้วยภาษาสากล เงยหน้ามองผู้ช่วยทั้งสองก่อนกดยิ้มลึกโดยที่ต้นข้าวไม่มีทางได้เห็นแววตาเยือกเย็นสะใจนั้น
“ถือว่าไม่ให้เกียรติผมไม่ดีเลยแบบนี้” เขากล่าวเสียงขรึม ใส่อารมณ์รำคาญเข้าไปด้วย ต้นข้าวรับรู้ได้ถึงอาการนั้น แม้ผู้ชายคนนี้หล่อขาดบาดใจหากแต่เขาดูน่ากลัวมากกว่าความหล่อที่มีมากจนล้น ครั้งแรกที่ได้สบประสานสายตากับชายหนุ่มร่างบางแทบร้าวระบม เจ็บหนึบรู้สึกแน่นอกแทบหายใจหายคอไม่ทัน หากไม่รีบระงับเขาคงจับทางเธอถูกว่าเธอกำลังตื่นเต้นกับการพบเขา
เจ้าหน้าที่ในห้องประชุมถูกไล่ออกไปจนเกลี้ยง ไม่ว่าเลขาหรือเจ้าหน้าที่ในส่วนต่างๆ ผู้จัดการทั่วไป ผู้จัดการฝ่ายการตลาด ผู้จัดการฝ่ายการเงิน ได้เข้าร่วมประชุมในส่วนของฟู๊ดโปรดักส์รวมห้าคน ไม่เหลือสักคนในห้องประชุมใหญ่ยกเว้นต้นข้าว สองหนุ่มสาวต่างจ้องหน้ากันไปมา ต้นข้าวไม่เข้าใจทำไมทุกคนต้องถูกชายผู้นี้ไล่ออกจากห้องประชุมด้วย ผ้าไหมควรเข้ามานั่งร่วมประชุมในฐานะทายาทของฟู๊ดโปรดักส์ด้วย ทั้งที่สั่งให้ร่วมประชุมแต่หล่อนกลับหายหัว นี่มันภาระอะไรที่เธอต้องมานั่งแบกรับอยู่คนเดียว
หัวใจบางหนาวสั่นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเขาเพียงลำพัง ไม่สิไม่ลำพังเท่าไหร่ยังมีผู้ชายหน้าตึงเหี้ยมเกรียมสองคนยืนเป็นยักษ์ปักลั่นไม่ยอมห่างกายนายตัวเอง แต่สุดท้ายถูกมือใหญ่ปัดไล่ให้ออกไป ความลับอะไรนักหนาทุกคนถูกเชิญให้ออกไปจนไม่เหลือ
“เรามาตกลงกันคุณ...อะไรนะ” เขาเริ่มเอ่ยประโยคแรกจากปากหยัก ใช้ภาษาสากลเอียงหน้ามองใบหน้าสวยเฉี่ยวดวงตากลมโต ด้วยอาการแปลกประหลาดที่ซุกซ่อนอยู่ในกาย ผู้หญิงคนนี้เขาไม่เคยเจอใช่หรือไม่ เฟียตซิโอ้เฝ้าถามตัวเอง หากแต่ก็ค้านในทีเมื่อรู้สึกตัวเองเคยเจอเธอที่ไหนสักแห่งหากแต่จำไม่ได้เท่านั้น
“ต้นข้าวค่ะ” หญิงสาวเอ่ยแนะนำตัวอีกครั้ง เน้นย้ำชื่อตัวเองเพื่อให้เขาจำชื่อเธอให้ได้จะได้ไม่ต้องถามซ้ำซาก
“ต้นข้าว มีชื่อเล่นไหม” เขาทวนชื่อเธอด้วยสำเนียงลิ้นแข็ง เอ่ยถามชื่อที่เรียกง่ายกว่านี้
“ข้าวค่ะ” คนถูกถามตอบกลับไม่เต็มใจ หากไม่ใช่แขกคนสำคัญของบิดา เธอคงเสียมารยาทไล่เปิดเปิง เป็นเพียงแค่ความคิดต้นข้าวไม่เคยแสดงกิริยาก้าวร้าวกับใครหากเป็นผ้าไหมไม่แน่
“เรียกยากไม่ต่างกันเอาเป็นว่าผมจะพยายามเรียกให้ขึ้นใจ” เขาพูดแฝงนัยขณะคิ้วโก่งสวยขมวดมุ่นมองเข้าด้วยความไม่เข้าใจ ผู้ชายคนนี้กำลังเล่นตกลงอะไรกับเธอรับรองเธอไม่ขำ เพราะสมองตอนนี้ถูกบีบด้วยคำถามมากมาย คนที่เฉลยเห็นเป็นเจ้าของแววตาเยือกเย็นพูดจามะนาวไม่มีน้ำคนนี้คนเดียว “ข้าว” เขาเรียกเธอไม่มีคำนำหน้าเพราะไม่เห็นจำเป็นต้องให้เกียรติกันถึงขนาดนั้น
“ใช่ข้าว” หญิงสาวย้ำเพื่อให้เขารู้ว่าเขาเรียกเธอไม่ผิด สนิทกันตั้งแต่ชาติไหนถึงได้เรียกเธอราวกับคนในบ้านเรียกเช่นนี้
“เรามาตกลงกัน”
“ตกลง”
“ใช่ฟังไม่ผิดหรอก ผมรู้คุณพูดและฟังภาษาอังกฤษได้ดีจากสำเนียงย่อมไม่ใช่เด็กอนุบาล”