ตอนที่ 4 เด็กพิเศษคืออะไร
ก๊อก ก๊อก ก๊อก เหมียวยกมือขึ้นเคาะประตูเบา ๆ ชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่ที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานก็เงยหน้าขึ้นมามอง เมื่อเห็นว่าเป็นใครก็พยักหน้าเป็นการบอกว่าให้เข้าไปได้
“ สวัสดีค่ะพี่ภาส นี่ต้องมนต์เพื่อนของเหมียวเอง ที่เคยบอกพี่ว่าจะพามาสมัครงานน่ะค่ะ ต้องนี่พี่ภาสกรเป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคลของที่นี่นะ ” เหมียวกล่าวแนะนำขณะหย่อนสะโพกนั่งลงที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของผู้จัดการหนุ่มใหญ่ที่มองหน้าเพื่อนสาวของต้องมนต์ด้วยรอยยิ้มแพรวพราว
“ สวัสดีค่ะผู้จัดการ ” ต้องมนต์ยกมือขึ้นไหว้ภาสกรอย่างนอบน้อมแล้วนั่งลงข้างเหมียวด้วยกิริยาเรียบร้อย
“ สวัสดีครับน้อง เรียกผมว่าพี่ภาสเฉย ๆ ก็ได้ครับ คนนี้เองรึเพื่อนเหมียวหน้าตาสวยดีเสียดายที่ตำแหน่งรีเซฟชั่นเราไม่ว่างไม่อย่างนั้นคงจะได้ไปนั่งสวย ๆ คอยต้อนรับลูกค้าอยู่กับเหมียวแล้วล่ะ เอาล่ะไม่เป็นไรเราก็เป็นบริกรไปก่อน พอมีตำแหน่งดี ๆ ว่างพี่จะดูให้ก็แล้วกันนะครับ ” ภาสกรบอกพร้อมกับมองต้องมนต์ด้วยแววตากรุ้มกริ่ม เหมียวจึงกระแอมกระไอขึ้นขัดจังหวะอย่างหมั่นไส้คุณผู้จัดการซึ่งก็กำลังคบหาดูใจกันอยู่กับเธอ
“ แหมพี่ภาส เห็นคนสวยหน่อยล่ะไม่ได้เลยนะระวังจะโดนจิ้มตาเข้าซักวัน แล้ววันนี้พี่ใจเค้าไปไหนล่ะรึว่ายังมาไม่ถึงคะ ” เหมียวกล่าวถามพลางมองไปที่โต๊ะทำงานของเลขาสุดใจที่อยู่มุมห้องของภาสกร
“ อ๋อ ใจเค้าบอกว่าวันนี้จะสายหน่อยต้องไปส่งลูกที่โรงเรียนเองเห็นว่าแฟนเค้าป่วยน่ะ ” ภาสกรตอบคนรักแล้วเอื้อมมือมาหยิบเอกสารการใช้สมัครงานที่ต้องมนต์เอาขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะขึ้นมาดู
“ เรียนเก่งนี่เราทำไมถึงไม่เรียนต่อมหาลัยล่ะต้องมนต์ ” ภาสกรถามเมื่อมองเห็นเกรดเฉลี่ยของต้องมนต์ที่อยุ่ในวุฒิการศึกษา
“ บ้านต้องไม่ค่อยมีเงินค่ะพี่ภาสเลยต้องออกมาทำงานอีกอย่างพ่อก็ป่วยเป็นอัมพฤกษ์แม่เลยต้องคอยดูแลพ่อ ต้องก็เลยต้องทำงานหาเงินเพียงคนเดียวค่ะ ” เธอตอบด้วยสีหน้าหม่นทว่าภายใต้ร่างกายที่บอบบางภาสกรกลับเห็นแววตาที่เข้มแข็งและหัวใจที่กร้าวแกร่งของเธอ
“ เออเหมียว พอดีอาทิตย์ที่จะถึงนี่ทางเจ้าของโรงแรมเขาจัดเลี้ยงผู้บริหารและหุ้นส่วนต่าง ๆ บนเรือสำราญแต่ไม่ได้ไปที่ต่างประเทศนะล่องเรือในน่านน้ำไทยนี่แหละ เป็นการพักผ่อนของพวกคนรวยน่ะเวลาหนึ่งอาทิตย์ เธอสนใจจะไปเป็นรีเซฟชั่นชั่วคราวมั้ยล่ะ ต้องก็ด้วยไปไหม ได้เงินดีนะทิปก็เยอะด้วย พอขึ้นฝั่งแล้วค่อยมาทำที่โรงแรมก็ได้ ”
ภาสกรกล่าวชวนเหมียวกับต้องมนต์ พร้อมกับขยิบตาให้เหมียวสื่อความหมายเป็นนัย ๆ ที่รู้กันแค่สองคน
“ หนึ่งอาทิตย์เหรอพี่ภาส ก็ดีน่ะสิเอ่อแล้วเหมียวต้องหาสาว ๆ กี่คนกันอ่ะงานนี้ต้องดูจำนวนผู้บริหารก่อนว่ามีกี่คน อีกอย่างเหมียวต้องหาคนมาทำงานที่เคาท์เตอร์แทนด้วยตอนลงเรืออ่ะ ” เหมียวถามภาสกรด้วยท่าทางกระตือรือร้น ต้องมนต์มองเพื่อนสาวกับผู้จัดการสลับกันไปมาด้วยความสนใจ
“ เอาไว้พี่ดูรายละเอียดก่อนแล้วจะบอกเหมียวอีกทีนะ แต่งานนี้คุณพฤกษ์คงไม่ไปด้วยแน่นอน เพราะคุณเขาไม่ชอบลงเรือมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะงั้นเหมียวคงไม่ต้องกังวลเรื่องเด็กพิเศษที่จะหาให้คุณพฤกษ์หรอกน่า ” ภาสกรบอกเหมียวยิ้ม ๆ
“ อ่อ อย่างนั้นก็หายห่วงไปอย่าง คุณชายเย็นชารายนั้นน่ะเอาใจยากซะเหลือเกิน เด็กพิเศษก็หาง่ายซะที่ไหนกันสมัยนี้น่ะ งั้นเหมียวไปทำงานก่อนนะ เอ่อแล้วต้องมันจะมาทำงานได้วันไหนล่ะพี่ภาส ” เหมียวลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วถามภาสกรขึ้นก่อนจะกลับลงไปทำงานที่หน้าเคาท์เตอร์
“ พรุ่งนี้ก็มาทำเลยก็แล้วกันถือว่ามาฝึกงานก่อนจะได้ลงเรือจะได้คล่องไง ” ภาสกรตอบแล้วมองต้องมนต์ยิ้ม ๆ
“ ค่ะพี่ภาส ขอบคุณมากนะคะ ” เธอกล่าวขอบคุณแล้วยกมือไหว้ภาสกรอย่างนอบน้อม แล้วจึงเดินตามร่างอวบของเพื่อนสาวมาที่ลิฟท์เพื่อลงมาที่ชั้นล่าง เหมียวพาเธอมานั่งรออยู่ในแผนกห้องครัวของทางโรงแรม ต้องมนต์จะได้ไม่เหงาในขณะที่รอจนกระทั่งเธอเลิกงาน
“ แกอะไรคือเด็กพิเศษอ่ะ ” ต้องมนต์ถามเพื่อนด้วยความสงสัยก่อนที่เหมียวจะหมุนตัวเดินกลับไปทำงาน
“ เอาไว้จะเล่าให้ฟังทีหลังก็แล้วกันตอนนี้เราต้องไปทำงานแล้ว ป้าบัวเหมียวฝากเพื่อนด้วยนะคะเลิกงานแล้วจะมารับค่ะ ไปนะอย่าซนล่ะเด็กน้อย ” เหมียวฝากเพื่อนไว้กับแม่ครัวแล้วหันมายิ้มน้อย ๆ ให้กับเธอ ก่อนจะเดินจากไปทำหน้าที่ของตัวเอง ทิ้งให้ต้องมนต์มองตามหลังด้วยสีหน้างง ๆ
“ มาสมัครงานรึหนู ” ป้าบัวแม่ครัวถามเธออย่างมีอัธยาศัยดี
“ ค่ะป้า มีอะไรให้หนูช่วยบ้างคะ ” เธอหันมาสนใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้าและช่วยแม่ครัวหยิบนั่นจับนี่จนเพลินลืมเรื่องเด็กพิเศษที่สงสัยใคร่รู้ไปเลย
