ตอนที่ 5 วิญญาณก็หิวเป็น (รุ่นแม่)
ตอนที่ 5 วิญญาณก็หิวเป็น (รุ่นแม่)
“ไม่ครับ ใครจะไปกล้า” อานนท์รู้สึกถูกชะตากับหญิงสาวตัวเล็กคนนี้เหลือเกิน ทั้งเล็กทั้งเตี้ย แต่ใบหน้าของเธอนั้นกลับสวยหวานจนเขาต้องแอบมองอยู่บ่อยๆ ดวงตากลมโต ขนตายาวเป็นแพ ผิวขาวใส แก้มป่องๆของเธอมองดูแล้วน่ารัก ผมยาวสวยดูมีน้ำหนักเป็นธรรมชาติ
“คุณเห็นวิญญาณทุกคนเลยเหรอ หรือว่าเห็นแต่วิญญาณของผม” อานนท์ตั้งคำถามในสิ่งที่ตัวเองอยากรู้ทันที ก็มันน่าสนใจดีนี่นา ถ้าไม่ถามแล้วจะรู้ได้ยังไง คิดซะว่าชวนเธอคุยเพื่อทำความรู้จักกัน
“ฉันเห็นทุกคนนั่นแหละ แต่แบบนายฉันเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก” ก็หมอกขาวๆ ที่ปกคลุมกายทิพย์ของเขาอยู่นี่ไง มินตราเพิ่งจะเคยเห็นแบบนี้เป็นครั้งแรก
“ยังไงผมไม่เข้าใจ แบบผมแบบไหนเหรอ” อานนท์ตั้งคำถามต่ออีก เขาไม่เหมือนกับวิญญาณคนอื่นๆ ตรงไหน เพราะตลอดที่วิญญาณของเขาออกจากร่างมา เขายังไม่เจอวิญญาณคนอื่นเลย แล้ววิญญาณคนอื่นๆหายไปไหนกันหมด
“ปกติฉันจะเห็นแต่คนที่หมดลมหายใจแล้วเท่านั้น ไม่เคยเห็นคนที่ยังมีลมหายใจอยู่แบบนาย” อานนท์ทำหน้าเข้าใจ แล้วก็ตั้งคำถามถามมินตราต่ออีกว่า
“แล้วคุณไม่กลัวผีเหรอ” อานนท์สงสัย เพราะคนส่วนมากก็มักจะกลัวผีกันทั้งนั้น แต่ทำไมเธอถึงไม่กลัวแถมยังกล้าคุยกับเขาด้วย
“คนน่ากลัวกว่าผีตั้งเยอะ ผีจะมาทำอะไรฉันได้” มินตราตอบอย่างมั่นใจ เพราะเธอคิดว่าคนน่ากลัวกว่าผีจริงๆ ยิ่งสมัยนี้ด้วยแล้วโดยเฉพาะคนในเมืองหลวงแห่งนี้ไว้ใจใครไม่ได้เลยสักคน
“เออก็จริง นี่บ้านของคุณเหรอ ผมขอเข้าไปด้วยได้ไหม” ซึ่งตอนนี้ทั้งสองคนก็เดินคุยกันมาจนถึงหน้าบ้านของมินตราแล้ว บ้านของมินตราอยู่ห่างจากโรงพยาบาลสองซอยเดินรัดตัดตรงเอาหน่อยแป๊บเดียวก็ถึง แต่ถ้านั่งรถวิ่งไปตามท้องถนนก็จะนานหน่อยแต่ก็สะดวกดี แต่มินตราเลือกที่จะเดินดีกว่าแล้วเธอก็เดินแบบนี้เป็นประจำ
“แล้วทำไมฉันต้องให้นายเข้าบ้านด้วย ไหนเมื่อกี้บอกว่าแค่อยากหาเพื่อนคุยไง กลับไปเฝ้าร่างของนายไป เห็นว่ารถโดนตัดสายเบรคด้วยไม่ใช่เหรอ” มินตราพูดในสิ่งที่เธอรู้มาจากในข่าวเมื่อเช้า แต่อานนท์ไม่รู้
“เดี๋ยวนะ! เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรนะ รถที่ผมขับถูกตัดสายเบรคอย่างนั้นเหรอ” มินตราไม่ยอมตอบเธอเดินหนีเข้าบ้านไป ทำให้อานนท์รีบสาวเท้าเดินตามเข้าไปอยากจะรู้ความจริง ว่าทำไมเธอถึงพูดแบบนั้นแล้วเธอรู้เรื่องนี้ได้ยังไง แต่เขาก็ถูกเจ้าที่ ที่บ้านของเธอดักเอาไว้ซะก่อน ทำให้อานนท์ต้องหยุดชะงัก เดินตามมินตราเข้าบ้านไปไม่ได้
“ผมขอเข้าไปหาเธอหน่อยได้ไหมครับ มีเรื่องจะคุยกับเธอต่อ” เจ้าที่ออกมาจากศาลเจ้าที่ที่ตั้งอยู่หน้าบ้านของมินตรา แต่งตัวด้วยชุดสีขาว ดูมีอายุ รูปร่างสูงใหญ่ แต่หน้าตาดูใจดี ออกมาดักอานนท์เอาไว้ไม่ยอมให้อานนท์เดินตามมินตราเจ้าของบ้านเข้าไป เพราะเจ้าของบ้านยังไม่อนุญาต เจ้าที่ที่คอยปกปักรักษาก็ต้องทำหน้าที่ดูแลคนในบ้านหลังนี้ตามหน้าที่ที่เจ้าที่ควรทำ
“ไม่ได้ ถ้าเจ้าของบ้านไม่อนุญาต เจ้าทีอย่างข้าก็ให้เจ้าเข้าไปไม่ได้” เจ้าที่หน้าตาใจดีตอบกลับมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม บ่งบอกว่าบ้านหลังนี้มีความสุขทั้งคนทั้งผี...เอ๊ยทั้งเจ้าที่
“คุณ...คุณ...เอาผมเข้าไปด้วย เมื่อกี้เรายังคุยกันไม่จบเลย” อานนท์ตะโกนเข้าไปในบ้าน หวังว่าจะให้มินตราออกมาขอเจ้าที่ให้เขาได้เข้าไปในบ้านด้วยแต่เธอก็ไม่ออกมา
อานนท์ก็เลยเลือกที่จะนั่งรออยู่ที่หน้าบ้าน รอเธอออกมาพูดเรื่องที่ค้างคากันต่อ หลายชั่วโมงผ่านไป มินตราเดินออกมาจากบ้านของเธอจริงๆ เพราะเธอต้องไปทำงาน เวลาที่เธอจะเข้างานก็คือห้าโมงเย็น นั่นก็เท่ากับว่าอานนท์นั่งรอมินตราอยู่ที่หน้าบ้านนานมาก
“ออกมาสักที รู้ไหมว่าผมรอคุณนานขนาดไหน” อานนท์บ่นแต่ก็มีสีหน้าดีใจที่ได้เห็นเธอเดินออกมา
“อ้าวยังไม่กลับไปอีกเหรอ หิวหรือเปล่า” มินตราทำท่านั่งใส่รองเท้าผ้าใบ แล้วก็เอากระเป๋าเป้สะพายหลังแล้วออกเดินไปที่หน้าปากซอย เพราะร้านสะดวกซื้อที่เธอต้องไปทำงานเป็นประจำอยู่หน้าปากซอยทางเข้าบ้านของเธอนั่นเอง
“เป็นวิญญาณไม่ได้อิ่มทิพย์เหรอ” อานนท์ถาม
“นายก็ลองถามตัวของนายดูเองสิ ว่าหิวหรือเปล่า ฉันยังไม่เคยตายจะไปรู้ได้ยังไง” อานนท์หยุดคิดแล้วถามวิญญาณของตัวเองตอนนี้ ปรากฏว่า...
“เออ...ผมหิวจริงๆ ด้วย ผมคิดว่าคนที่กลายเป็นวิญญาณไปแล้ว จะไม่ต้องกินอะไรเสียอีก น่าจะอิ่มทิพย์” นั่นมันเป็นความคิดที่อานนท์คิดเองเออเอง แต่ในความเป็นจริงแล้ว คนที่กลายเป็นวิญญาณก็ต้องหิวและต้องกินเหมือนกัน
“แล้วทีนี้จะทำยังไง ฉันไม่ได้มีเงินมีทองมากมาย มาเลี้ยงผีอย่างนายหรอกนะ” มินตราพูดพร้อมกับเท้าเอวมองหน้าอานนท์ เธอไม่น่ามาเจอเขาเลย...
“ช่างเถอะผมทนได้ ปล่อยให้มันหิวไปแบบนี้นี่แหละ” อานนท์ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปหาอาหารที่ไหนมากิน เพราะทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกมนุษย์อานนท์จับต้องอะไรไม่ได้สักอย่างเลย แล้วแบบนี้เขาจะกินได้ยังไง
“นี่นาย!! เห็นฉันเป็นแบบนี้ ฉันก็ไม่ได้ใจร้ายให้นายนั่งมองฉันกินอยู่ฝ่ายเดียวหรอกนะ”
“แล้วผมจะกินได้ยังไง แค่คิดยังคิดไม่ออกเลย คุณดูสิผมจับอะไรไม่ได้สักอย่าง แล้วผมจะกินได้ยังไง” มินตรามองวิญญาณที่เพิ่งจะออกจากร่าง คิดไปว่าเขาคือนักเรียนชั้นอนุบาลที่ช่างไม่รู้อะไรเลย
“นายนี่นะ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ฉลาดและเก่งไปซะหมด ทำไมเรื่องแบบนี้นายถึงได้โง่จังนะ” เธอรู้ว่าเขาเป็นใครจากในข่าว นักธุรกิจสุดเก่งไฟแรง แล้วตอนนี้ข่าวของเขาก็ดังมากๆ เมื่อตอนที่เธอกลับเข้าบ้านไป เธอเปิดทีวีก็ยังเจอข่าวของเขาอยู่เลย แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเองตอนนี้เลย
“พูดแบบนี้เหมือนรู้จักผม แต่เดี๋ยวนะ ก่อนที่คุณจะเข้าบ้านไป คุณพูดว่ารถของผมถูกตัดสายเบรคเหรอ ผมได้ยินนะ คุณรู้ได้ยังไง” มินตราไม่อยากจะพูดอะไรมาก เพราะเธอไม่อยากเอาตัวเองไปเกี่ยวกับเรื่องนี้ สู้เธออยู่ของเธอแบบนี้ก็มีความสุขดีอยู่แล้ว
“นายก็ลองถามตัวนายดูเองสิ ว่าสิ่งที่ฉันพูดมันจริงไหม” เธอไม่บอกหรอกว่าเธอเห็นและได้ฟังมาจากในข่าว เพราะถ้าขืนพูดไป ไอ้ผีตัวนี้จะต้องเร้าให้เธอช่วยโน่นช่วยนี่แน่ๆ
“ก็มีส่วนจริงนะ เพราะตอนที่ผมขับรถอยู่ดีๆ ก็มีรถคันหนึ่งขับเข้ามาปาดหน้ารถของผม แล้วผมก็เหยียบเบรค แต่ผมรู้สึกว่าเบรคมันเหยียบไม่อยู่” อานนท์พูดไปทำท่าคิดไป กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองตอนที่เกิดเหตุ
“อือ...นายก็คิดเรื่องของนายไปก็แล้วกัน ฉันขอไปทำงานก่อนนะ” จากนั้นมินตราก็เดินเข้าร้านไปเปลี่ยนกะกับเพื่อนร่วมงาน ส่วนอานนท์เขาก็นั่งลงคิดเรื่องของตัวเองที่เก้าอี้หน้าร้านสะดวกซื้อที่มินตราทำงานอยู่
อานนท์คิดเรื่องของตัวเองไปเรื่อยๆ จนเวลาผ่านไปตะวันลับขอบฟ้า แสงอาทิตย์หายวับไป ความมืดเข้ามาแทนที่ มีแต่เพียงแสงไฟจากหลอดนีออนเท่านั้นที่ทำหน้าที่แทนแสงของดวงอาทิตย์ที่ลับขอบฟ้าไปแล้ว
มินตราเดินออกมาจากร้าน ในมือถือขนมหนึ่งห่อนมอีกหนึ่งกล่องธูปอีกหนึ่งดอก เวลานี้ผู้คนเริ่มเบาบางลงแล้ว เพราะเป็นเวลาเกือบห้าทุ่มแล้ว
สำหรับคนส่วนมากอาจจะเป็นเวลานอน แต่สำหรับมินตราเวลานี้ยังเป็นเวลาทำงานของเธออยู่ เพราะเธอเลือกที่จะเข้ากะช่วงดึกๆ แบบนี้ ซึ่งเธอจะไปออกกะอีกทีตอนตีสอง บางทีก็ยิงยาวถึงเช้า
“ทำไมไม่กลับไป เอาขนมกับนมไปกินรองท้องก่อนก็แล้วกัน” จากนั้นก้อยก็จุดธูปพนมมือ เอ่ยชื่อเขาแล้วก็ปักธูปลงไปตรงกระถางต้นไม้ที่อยู่ตรงหน้า ทันใดนั้นขนมกับนมก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าอานนท์อีกหนึ่งชุดทันที อานนท์ค่อยๆ เอื้อมมือไปจับ ปรากฏว่ามันสามารถจับต้องได้จริงๆ ด้วย อานนท์ก็เลยแกะขนมกับนมกินประทังความหิว
“ขอบคุณเธอมากนะ ผมยังคิดไม่ออกเลยว่าจะกินของบนโลกได้ยังไง ไม่คิดว่าจะได้กินง่ายขนาดนี้” อานนท์ยอมรับว่ารู้สึกหิว แต่ก็หิวแบบพอทนได้เพราะตอนนี้ร่างกายของเขายังมีการให้น้ำเกลืออยู่ที่โรงพยาบาล ก็เลยทำให้ความหิวของอานนท์น้อยกว่าวิญญาณคนอื่นๆ ที่ร่างกายไม่ได้มีลมหายใจแล้ว
“ไม่เป็นไร ถ้าฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่ก็อย่าลืมเอาเงินที่ฉันซื้อของให้นายกินวันนี้เอามาคืนให้ฉันด้วยล่ะ” มินตราผู้หญิงปากร้ายแต่ใจดี เธอก็พูดไปอย่างนั้นแหละ เธอเป็นคนขี้สงสารแล้วอะไรที่เธอพอจะช่วยได้เธอก็ช่วย ไม่ได้หวังอะไรแบบที่ปากของเธอพูดเลยสักนิด
“ขี้งก!!”