

ตอนที่ 6 ใส่บาตรกรวดน้ำ (รุ่นแม่)
ตอนที่ 6 ใส่บาตรกรวดน้ำ (รุ่นแม่)
“นี่ฉันซื้อมานะ ไม่ได้ไปลักที่ร้านมาให้นายสักหน่อย เงินฉันก็ต้องส่งให้ที่บ้านไม่ได้มีเอามาเลี้ยงผีอย่างนายนี่” คำพูดร้ายๆ ของมินตราทำให้อานนท์อึ้งไป นี่เขาเป็นภาระให้เธอยู่หรือเปล่า...อานนท์กำลังรู้สึกผิดที่เป็นภาระให้เธอ ส่วนประโยคก่อนหน้านี้เขาไม่ได้ตั้งใจ
“ถ้าผมฟื้นขึ้นมาได้เมื่อไหร่ ผมจะไม่มีวันลืมคุณเลย...ก้อย” อานนท์พูดขึ้นด้วยสีหน้าเศร้าๆ ทำให้มินตรารู้สึกสงสาร เพราะมินตรารู้ดีว่าการที่อยู่ๆ วิญญาณออกจากร่างมาแบบไม่ได้ตั้งใจนั้น เป็นใครก็ต้องเสียใจด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งคำพูดของเธอเมื่อสักครู่ ปากมันแค่พาไป เธอไม่ได้ตั้งใจ ก็เขามาว่าเธอว่าขี้งกก่อนทำไม คิดซะว่าหายกันไปก็แล้วกัน
“เอาเถอะเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าฉันจะพานายไปกินของอร่อย” มินตราพูดแค่นี่ เธอก็เดินเข้าร้านไป เพราะมีลูกค้าเดินเข้าร้านมาพอดี
จากนั้นอานนท์ก็รอมินตราอยู่ที่หน้าร้านจนถึงเวลาที่มินตราเลิกงานก็คือตีห้า ตอนแรกเธอต้องเลิกงานตีสอง แต่เพื่อนคนที่จะต้องมาผลัดกับเธอโทรมาขอให้มินตราทำแทนต่อถึงตีห้า ทำให้มินตรายอมอยู่ต่อเพราะเธอไม่ได้มีภาระที่ไหน ช่วงนั้นก็แค่นั่งๆ นอนๆ เพราะลูกค้าน้อยแถมสบายด้วย
“นาย...นาย...คุณนนท์” เป็นวิญญาณก็ต้องนอนเหมือนกัน อานนท์นั่งรอมินตราจนเผลอหลับไป จนตอนนี้มินตราเลิกงานแล้ว
“เลิกงานแล้วเหรอ” อานนท์ลุกขึ้นมานั่งอย่างงัวเงีย เอ่ยถามมินตรา พร้อมกับมองไปรอบๆ ปรากฏว่าท้องฟ้าเริ่มสว่างแล้ว
“ไป...ฉันจะพาไปกินของอร่อย” อานนท์งุนงงกับคำพูดของมินตรา แต่เขาก็ยอมเดินตามมินตราไปอย่างว่าง่าย มินตราพาอานนท์ไปที่ตลาดตอนเช้าใกล้ๆ
“อยากกินอะไรเลือกสิ” มินตราหันมาพูดกับอานนท์เบาๆ เพราะกลัวว่าจะมีคนมองว่าเธอนั้นกำลังพูดคนเดียว แล้วเธอก็หันกลับไปเลือกซื้ออาหารต่อ เพราะเธอจะต้องเอากลับไปกินที่บ้านด้วย
“ผมไม่เคยทานอาหารในตลาดแบบนี้” อานนท์พูดจบ มินตราหันหลังกลับมาเท้าเอวแล้วพูดจาแบบไม่สบอารมณ์ใส่อานนท์ว่า…
“ฉันมีปัญญาเลี้ยงผีอย่างนายได้เท่านี้ ถ้ากินไม่ได้จะไปไหนก็ไป แล้วไม่ต้องมาให้ฉันเห็นหน้าอีก” อานนท์ไม่ได้ตั้งใจจะพูดให้มินตราโกรธ เขาก็แค่พูดไปตามสิ่งที่เคยเป็นเท่านั้น ไม่คิดว่าเธอจะโกรธขนาดนี้ ซึ่งตอนนี้มีพ่อค้าแม่ค้ายืนมองมินตราพูดอยู่คนเดียวนี่สิ มินตราเห็นดังนั้น เธอจึงเลือกที่จะกลบเกลื่อนเก็บอาการของตัวเองทันที
“ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจพูดให้คุณโกรธ” คนปากร้ายแต่ใจดีเมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายสำนึกผิดจึงยอมใจอ่อนลงทันที
“ถ้างั้นก็เลือกสิ ได้เวลาที่พระจะมาแล้วนะ” ทุกๆ เช้ามินตราจะมารอใส่บาตรกับพระสงฆ์ที่ตลาดเป็นประจำ อาจจะไม่ได้ทุกวันแต่ก็บ่อยครั้ง ซึ่งเธอมักจะรู้เวลาว่าพระสงฆ์จะเดินมาถึงเวลาไหน
วันนี้เธอตั้งใจมาทำบุญให้เขาด้วย จะได้มีอาหารทาน แต่อาหารของคนฐานะปานกลางอย่างเธอจะพอซื้อได้ ก็เป็นแค่อาหารธรรมดาเท่านั้น ไม่ได้เลิศเลออะไรมากนัก แต่เธอก็มีน้ำใจอันใหญ่หลวงแหละน่า
“นี่คุณพาผมมาใส่บาตรเหรอ” อานนท์รู้สึกดีใจ แต่ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ในร่างที่มีเลือดมีเนื้อเหมือนเมื่อก่อนแล้วนี่สิ ตอนยังเป็นคนเขาก็ไม่ค่อยได้มาทำอะไรแบบนี้ วันๆในหัวก็มีแต่เรื่องงานกับเรื่องทำมาหากิน ส่วนเรื่องทำบุญนี่ห่างไกลจากเขามาก จะได้ทำบุญสักครั้งก็ต้องรองานใหญ่ๆ แบบเป็นทางการเขาถึงจะได้ทำ แต่คนรวยอย่างเขาถ้าได้ทำบุญสักครั้งก็ทำหนักเลยนะ
“อือ...” มินตราส่งเสียงในลำคอเท่านั้น เพราะคนที่ตลาดตอนนี้ค่อนข้างเยอะแล้ว เธอไม่อยากเป็นคนบ้าในสายตาคนอื่น จะให้เธอพูดอยู่คนเดียวก็จะยังไงอยู่ จากนั้นอานนท์ก็เลือกอาหารตามที่เธอบอก ไม่ใช่ว่าเขาอยากกินหรอกนะ แต่เขาแค่กลัวว่าเธอจะไม่พอใจอีก
มินตรากับอานนท์ยืนรอไม่นานพระสงฆ์ก็เดินมาบิณฑบาต มินตราถอดรองเท้าที่เธอสวมใส่อยู่ออก แล้วก็หยิบอาหารที่ซื้อมาเมื่อสักครู่ ใส่ลงไปในบาตรโดยมีอานนท์ยืนอยู่ข้างๆ จากนั้นพระสงฆ์ก็ให้พร มินตรานั่งลงพนมมือไหว้รับพรที่พระสงฆ์กำลังให้ อานนท์เองก็นั่งลงทำตามเช่นกัน
“แล้วไหนล่ะ ของอร่อยที่คุณบอก” อานนท์สงสัย เพราะพระสงฆ์ก็เดินจากไปแล้ว แต่เขาก็ยังไม่เห็นได้อาหารที่เขาเลือกเมื่อสักครู่นี้เลย แล้วทำไมเธอไม่จุดธูปเหมือนเมื่อวานให้เขาล่ะ อานนท์ไม่เข้าใจ
“ตั้งแต่นายเกิดมาเป็นคน นายเคยทำบุญเข้าวัดใส่บาตรบ้างไหม” อานนท์ส่ายหน้าเบาๆ ชีวิตเขาทำบุญใส่บาตรแบบนี้น่ะเหรอ แทบจะนับครั้งได้เลย เต็มที่ก็บริจาคให้เด็กหรือตามมูลนิธิที่เดือดร้อนเท่านั้น แต่สำหรับวัดหรือใส่บาตรกับพระสงฆ์แบบนี้ เขาแทบจะนับครั้งได้ เพราะชีวิตของเขานั้น ตอนเป็นเด็กก็เรียนแต่หนังสือ พอโตขึ้นมาหน่อยคุณพ่อก็ส่งให้เขาไปเรียนต่อที่เมืองนอก กลับมาก็ทำแต่งาน เรื่องทำบุญจึงห่างไกลจากชีวิตของเขามากนัก
“ไปกลับบ้าน...” มินตราเลือกที่จะไม่พูด เธอเลือกที่จะให้เขาได้เห็นเองกับตาจะดีกว่า เพราะดูจากพฤติกรรมของเขาแล้ว ถ้าขืนเธอเล่าไปคงจะตั้งคำถามไม่หยุดแน่ๆ
มินตรากลับมาถึงบ้านเธอรีบตักน้ำมาหนึ่งแก้ว แล้วก็เริ่มท่องบทกรวดน้ำ เธอท่องเสียงดังพอให้อานนท์ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยิน
จากนั้นเธอก็เอ่ยชื่อและนามสกุลของเขาให้มารับบุญและอาหารที่เธอตั้งใจใส่บาตรไปให้เขา พอเธอเอ่ยชื่อจบน้ำในแก้วก็ถูกเทลงที่โคนต้นไม้ใหญ่หน้าบ้านจนหมดพอดี ทันใดนั้นอาหารที่อานนท์เลือกใส่บาตรก็ปรากฏอยู่ที่บนโต๊ะไม้หินอ่อนหน้าบ้านทันที
“ฮึ้ย! ได้รับจริงๆ ด้วย” อานนท์รู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งที่ได้เห็น เมื่อคืนตอนที่เธอจุดธูปก็ทีหนึ่งแล้ว
“กินซะ ฉันจะต้องไปนอนแล้ว ห้ามเข้าไปในบ้านของฉันเด็ดขาด ฉันอนุญาตให้นายอยู่แค่ในเขตหน้าบ้านได้เท่านั้น ห้ามเข้าไปในบ้าน เพราะนายเป็นผู้ชายส่วนฉันเป็นผู้หญิง” อานนท์ทำหน้าเข้าใจ เธอทำงานตอนกลางคืน กลับมาเธอก็คงต้องนอนพักผ่อน ขนาดเขาเป็นวิญญาณยังรู้สึกง่วงนอนเลย อานนท์ลงมือรับประทานอาหารที่มินตรากรวดน้ำให้เมื่อสักครู่ พลางคิดไปว่า...
“อื้อ...รสชาติก็ไม่เลวแฮะ” จากนั้นเขาก็เคี้ยวตุ้ยๆ จนอาหารตรงหน้าหมด รู้สึกอิ่มพอดี
“อ้าวไหนบอกว่าจะนอนไง” อานนท์เห็นมินตราเดินออกมาหน้าบ้านถือน้ำมาสองแก้ว เขาจึงถามขึ้น
“เพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ เดี๋ยวก็จะไปนอนแล้ว นายไม่กลับบ้านไปดูพ่อแม่ของนายบ้างหรือไง” มินตราพูดแค่นี้ เธอเดินถือแก้วน้ำไปที่ศาลพระภูมิกับศาลเจ้าที่ ที่ตั้งอยู่คู่กัน แล้วก็วางแก้วน้ำใหม่ลง เอาแก้วน้ำเก่าออก เธอพนมมือไหว้ ทำให้อานนท์เข้าใจแล้วว่ามินตราเดินถือน้ำออกมาทำอะไร ตอนแรกก็นึกว่าจะเอามาให้เขา แต่เขาก็มีน้ำดื่มแล้ว ที่ไหนได้เอามาให้เจ้าที่ที่หน้าบ้านของเธอนี่เอง
มินตราเปลี่ยนน้ำที่หิ้งพระในบ้าน ศาลพระภูมิและศาลเจ้าที่ทุกวันไม่เคยขาด เธอทำแบบนี้เป็นประจำ ก็เธอเห็นสิ่งพวกนี้จะให้เธอนิ่งดูดายทำเป็นเฉยได้ยังไง น้ำแห้งเธอก็ต้องเปลี่ยน พอเสร็จเธอก็เดินเข้าบ้านไปนอนพัก ชีวิตของเธอไม่ได้มีอะไรมากวนเวียนอยู่แค่นี้
แต่สำหรับอานนท์สิ่งที่เขาพบเขาเจอเมื่อไม่กี่ชั่วโมงมานี้ เขารู้สึกทึ่งมาก เมื่อได้มารู้จักกับผู้หญิงคนนี้ และสิ่งที่ทึ่งที่สุดก็คือ มีคนแบบเธออยู่บนโลกใบนี้ด้วย ถ้าเขายังมีเลือดมีเนื้อไม่ได้เป็นวิญญาณแบบนี้ เขาคงคิดว่าเธอน่ะบ้าไปแล้ว คนแบบเธอจะมีสักกี่คนบนโลกใบนี้นะ แล้วต่อจากนี้เขาจะได้เจอกับอะไรอีก จะได้รู้ ได้เห็นและได้เจอกับสิ่งที่เขาไม่เคยเจออะไรอีก คิดแล้วมันก็น่าสนใจดี อานนท์ไม่ได้รู้สึกกลัวแต่เขารู้สึกตื่นเต้นต่างหาก
อานนท์นั่งอยู่ที่โต๊ะไม้หินอ่อนหน้าบ้านของมินตรา เขาก็นึกถึงร่างที่ไร้วิญญาณของเขาที่นอนอยู่ที่โรงพยาบาล เขาควรจะไปดูทางโน้นสักหน่อย ไม่รู้ป่านนี้คุณพ่อคุณแม่ของเขาจะเป็นยังไงกันบ้าง แล้วไหนจะสิ่งที่มินตราพูดอีก ที่เธอบอกว่ารถของเขาถูกตัดสายเบรคนั้นมันเป็นความจริงหรือเปล่า เขาจะต้องรู้เรื่องนี้ให้ได้
