บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 2 วิญญาณออกจากร่าง (รุ่นแม่)

ตอนที่ 2 วิญญาณออกจากร่าง (รุ่นแม่)

“เอี๊ยก!!!…โครม!!!” ทันใดนั้นรถสปอร์ตคันหรูที่อานนท์ขับมาก็ได้พลิกคว่ำลงทันที อานนท์รู้สึกถึงแรงกระแทกอย่างแรงแล้วเขาก็ค่อยๆ คลานออกมาจากรถทั้งๆ ที่เขาไม่ได้เปิดประตูรถออกมาด้วยซ้ำ…

“เฮ่อ...เกือบตายแล้วไหมล่ะเรา” เขาบ่นกับตัวเองคิดว่าตัวเองไม่ได้รับอันตรายอะไร เพราะว่ารถที่เขาขับมานั้นค่อนข้างมีระบบเซฟตี้ที่ดีพอสมควร แต่ในใจก็รู้สึกเหมือนกับว่าก่อนที่รถจะพลิกคว่ำนั้นเขาเหยียบเบรคกะทันหัน แต่มันเบรคไม่อยู่นี่สิ เขาก็เลยหันไปมองที่ด้านในของรถอีกครั้ง ปรากฏว่า…

“เฮ๊ย! นั่นตัวเรานี่ นี่มันอะไรกันวะ” อานนท์ตกใจ เห็นร่างกายของตัวเองนอนเจ็บอยู่ในรถ เลือดเต็มตัวและสลบไม่ได้สติ ตอนนี้เขาแทบจะล้มทั้งยืนที่เห็นตัวเองอยู่ในสภาพแบบนั้น ไม่นานรถของทางโรงพยาบาล รถตำรวจ ป่อเต็กตึ้ง ก็มากันเต็มถนนไปหมด แล้วร่างกายของอานนท์ก็ถูกเคลื่อนย้ายนำส่งโรงพยาบาลทันที อานนท์พยายามตามร่างที่ไร้วิญญาณของตัวเองไป เขาได้ขึ้นไปนั่งในรถพยาบาลไปกับร่างที่ไร้วิญญาณของเขาด้วย

พอมาถึงโรงพยาบาลเจ้าหน้าที่ก็นำร่างของเขาเข้าห้องฉุกเฉินทันที เขายืนมองคุณหมอกำลังช่วยชีวิตตัวเองอย่างน่าหวาดเสียว เครื่องปั้มหัวใจกำลังทำงาน เสียงคุณหมอกับพยาบาลร้องบอกกันเป็นจังหวะให้วางเครื่องไฟฟ้าอะไรสักอย่างที่หน้าอกของเขา จากนั้นเขาก็เห็นร่างกายของตัวเองนั้นกระเพื่อมอย่างแรง เขาโดนใช้เครื่องนี้อยู่หลายครั้ง จนในที่สุดสัญญาณชีพที่เครื่องก็ตอบสนอง เสียงคุณหมอกับพยาบาลแสดงความดีใจกันใหญ่

จากนั้นคุณหมอก็ช่วยกันใส่สายยางแหย่เข้าปาก แหย่ลงคอและก็จมูก ให้น้ำเกลือ วัดชีพจรที่แขนและก็มีจับชีพจรด้วยเครื่องไฟฟ้าที่นิ้วมือและนิ้วเท้าอีกด้วย ที่หน้าอกก็มี อานนท์ไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาเห็นนั้นเรียกว่าอะไร รู้แต่ว่าสายอะไรต่อมิอะไรมันเต็มตัวเขาไปหมด

ในขณะที่ร่างกายของเขานั้นตอบสนองกับการรักษาของคุณหมอ วิญญาณของเขาก็ยังยืนมองร่างกายที่ไร้วิญญาณอยู่ อานนท์พยายามเข้าร่างของตัวเองอยู่หลายครั้ง แต่มันก็เข้าไม่ได้ เขาก็เลยเดินออกมาด้านนอกห้อง เห็น คุณพ่อ คุณแม่ และน้องสาวร้องไห้กอดกันใหญ่โต มีแต่คุณพ่อเท่านั้นที่ตาแดงๆ อานนท์มองภาพนั้นด้วยความสงสาร เขาไม่รู้จะช่วยพวกเขาและตัวเองได้ยังไง

@อานนท์

“คุณพ่อ คุณแม่ครับผมอยู่ตรงนี้” ไม่ว่าผมจะพูดหรือคุยอะไรกับพวกท่าน ส่งเสียงดังมากขนาดไหน ก็ไม่มีใครได้ยินเสียงของผมเลยแม้แต่คนเดียว

“คุณพ่อ คุณแม่ได้ยินเสียงผมไหมครับ ผมอยู่นี่ไงครับ” ผมพยายามตะโกนจนเสียงแหบเสียงแห้งก็ไม่เป็นผล พวกเขาคงไม่ได้ยินเสียงของผมแล้วแหละ นี่ผมจะต้องตายแล้วจริงๆ ใช่ไหม ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย ผมยังมีอะไรที่ยังอยากทำและต้องทำอีกตั้งเยอะแยะ มีสิ่งที่ยังอยากทำแต่ยังไม่ได้ทำเลย...ผมยังไม่อยากตายตอนนี้!

“ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริงอย่าเพิ่งให้ผมตายนะครับ ผมยังอยากมีชีวิตอยู่” ผมตะโกนดังลั่น หวังว่าจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์จริง แล้วก็ได้ยินเสียงของผมที่ตะโกนออกไปเมื่อสักครู่

“คุณแม่พี่นนท์ต้องไม่เป็นอะไรนะคะ” เสียงพริ้งน้องสาวของผมดังขึ้นพร้อมกับเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น ไม่รู้ว่าปลอบตัวเองหรือว่าปลอบคุณแม่กันแน่

“ยัยพริ้ง นี่พี่เอง ได้ยินเสียงพี่ไหม” แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครได้ยินเสียงของผมอยู่ดี สรุปนี่ผมคงตายแล้วจริงๆ โอ๊ย...นี่มันอะไรกันวะนี่ ทำไมต้องเกิดเรื่องบ้าๆ แบบนี้กับผมด้วย

คุณพ่อ คุณแม่ และยัยพริ้งนั่งรออยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉินอย่างใจจดใจจอ เกล้าน้องชายของผมกับคุณแม่ของเขาก็มาสมทบพอดี

“คุณ...ตานนท์เป็นยังไงบ้าง” คุณรพีภรณ์แม่เลี้ยงของผม ท่านเอ่ยถามคุณพ่อของผมด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

“อยู่ในห้องฉุกเฉิน คุณหมอก็ยังไม่ออกมาเลย นี่ก็เข้าไปเป็นชั่วโมงแล้ว” คุณพ่อของผมท่านตอบเสียงเรียบ น้ำเสียงเป็นกังวลผมรู้สึกได้

“ใจเย็นๆ นะคะคุณ...หนึ่ง” คุณรพีภรณ์ท่านคุยกับคุณพ่อของผมเสร็จ ท่านก็หันมาพูดกับคุณแม่ของผมเช่นกัน

“ค่ะคุณพี่” ถึงคุณแม่ของผมจะมาก่อน แต่ท่านก็อายุน้อยกว่าคุณรพีภรณ์หลายปี แล้วคุณรพีภรณ์ท่านก็เป็นเมียแต่ง คุณแม่ของผมท่านจึงให้เกียรติคุณรพีภรณ์เสมอ ส่วนคุณพ่อท่านก็ดูแลภรรยาทั้งสองของท่านเป็นอย่างดี ถึงในใจของพวกท่านสองคน อาจจะมีขุ่นเคืองกันบ้าง แต่พวกท่านก็ยอมคุยกันด้วยดีมาตลอด เพราะเห็นแก่คุณพ่อของผมและพวกเราสามคน

“ยัยพริ้ง...” คุณเกล้ายื่นมือไปแตะบ่ายัยพริ้งเป็นการปลอบขวัญ

“พี่เกล้า...ฮื่อๆๆ” ยัยพริ้งร้องไห้อย่างกับเด็กตัวเล็กๆ นี่ผมทำให้ทุกคนต้องเสียน้ำตาเหรอนี่ ยัยพริ้งโผเข้ากอดพี่ชายคนละแม่อย่างต้องการที่พึ่ง แล้วไอ้กรเพื่อนขอผมก็เดินเข้ามาพร้อมกับเอกสารอะไรสักอย่างในมือ สงสัยมันคงอยู่กับน้องสาวของผมตั้งแต่แรก เพื่อนของผมคนนี้มันเป็นตำรวจครับ

จากนั้นทุกคนก็อยู่กับความเศร้าโศกเสียใจ ผมยืนดูทุกคนกำลังร้องไห้กันอย่างหนัก แล้วคุณหมอก็ออกมาพอดี ทุกคนกรูเข้าไปหาคุณหมออย่างมีความหวังผมเองก็ด้วย คุณพ่อตั้งคำถามใส่คุณหมอทันทีที่เดินเข้าไปถึงหน้าห้องฉุกเฉินที่คุณหมอยืนอยู่

“คุณหมอครับลูกชายของผมเป็นยังไงบ้างครับ เขาปลอดภัยหรือยัง” คุณพ่อของผมเอ่ยถามขึ้นอย่างรีบร้อนน้ำเสียงเป็นกังวลคนอื่นๆก็เช่นกัน

“ตอนนี้อาการของคนไข้ยังไม่ปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์นะครับ ระยะนี้ต้องเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด แต่ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ หมอจะช่วยดูแลอย่างเต็มที่” ยังไม่ปลอดภัย...ผมได้ยินเองยังรู้สึกหดหู่เลย

“แล้วอาการทั่วไปล่ะครับคุณหมอเป็นยังไงบ้าง” เป็นเสียงคุณเกล้าถามถึงอาการโดยรวมของผม ซึ่งตัวผมเองก็อยากรู้เหมือนกัน

“หัวแตก สมองได้รับความกระทบกระเทือนพอสมควร แต่ก็ไม่ได้ถึงกับหนักมากนัก ส่วนร่างกายของคนไข้ด้านอื่นไม่มีหักไม่มีแตกตรงไหนครับ มีแค่ศีรษะที่กระแทกกับพวงมาลัย กับแผลที่โดยสะเก็ดกระจกบาดเท่านั้นครับ” ดีที่ผมเลือกใช้รถที่มีระบบเซฟตี้ดีพอสมควร ไม่หักไม่แตกก็ถือว่าดี ส่วนศีรษะที่ถูกกระแทกก็น่าจะรักษาได้ แต่วิญญาณของผมยังยืนอยู่ตรงนี้นี่สิ

“แล้วพี่ชายของพริ้งจะหายกลับมาเป็นเหมือนเดิมไหมคะคุณหมอ” เป็นเสียงน้องสาวของผมเองพูดไปปาดน้ำตาไป

“ข้อนี้หมอขอดูอาการอีกสักระยะนะครับ ถ้าไม่มีโรคแทรกซ้อน ถ้าคนไข้สู้ รับรองว่าต้องหายกลับมาเป็นปกติได้อย่างแน่นอนครับ”

“ขอบคุณคุณหมอมากเลยนะครับ”

“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว หมอขอตัวก่อนนะครับ หมอจะรายงานอาการของคนไข้เป็นระยะๆ ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ” จากนั้นคุณหมอก็เดินออกไป...

ระหว่างที่ทุกคนกำลังเศร้าโศกเสียใจกันอยู่นั้น ก็มีเสียงพูดคุยกันบ้าง ปลอบใจกันบ้าง ผมก็ไม่ได้ไปไหนนั่งอยู่ข้างๆ พวกเขานี่แหละ แล้วก็มีตำรวจเข้ามาขอสอบปากคำแต่ผมไม่ได้สนใจฟัง ไม่รู้ว่าพวกเขาคุยอะไรกัน และเมื่อเวลาผ่านไป จนมืดและดึกพอสมควร คุณแม่ของผมท่านก็ยังไม่หยุดร้องไห้ มีหน้ามืดบ้าง จนพยาบาลต้องหายาดมมาให้

“พริ้งพาคุณแม่กลับบ้านไปก่อนนะลูก อยู่ที่นี่ก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นมาหรอก เดี๋ยวจะเป็นอะไรไปอีกคน” คุณพ่อเอ่ยขึ้นมา บอกให้ยัยพริ้งพาคุณแม่กลับบ้าน แต่ผมว่ากลับบ้านกันไปให้หมดนั่นแหละ เดี๋ยวผมจะอยู่เฝ้าร่างของผมเอง ผมเห็นทุกคนมีสภาพแบบนี้ผมก็อดที่จะสงสารไม่ได้

“แต่ฉันเป็นห่วงลูกนี่คะ รอให้ลูกฟื้นขึ้นมาก่อนก็ยังดี” โถ...คุณแม่ครับ คุณแม่พูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ น้ำตาของท่านก็ยังคงไหลไม่ยอมหยุด

“เอาเป็นว่าพวกเราพากันกลับไปพักผ่อนกันให้หมดนี่แหละ อยู่ไปคุณหมอก็ไม่ให้เฝ้าอยู่ดี สู้กลับไปรอฟังข่าวอยู่ที่บ้านดีกว่า” ตอนนี้ร่างของผมถูกย้ายจากห้องฉุกเฉินเข้าห้องไอซียูแล้วเรียบร้อย อยู่ในนั้นจะมีคุณหมอคอยดูแลอย่างใกล้ชิด แล้วก็ไม่ให้ทั้งเฝ้าและเยี่ยมด้วย เพราะกลัวว่าเชื้อโรคจะเข้าไปแพร่สู่คนไข้ได้

“ไปกันทั้งหมดนี่แหละครับ ทางนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคุณหมอไป เดี๋ยวพรุ่งนี้พวกเราค่อยมาเยี่ยมพี่นนท์ใหม่” เป็นเสียงของคุณเกล้าที่เอ่ยบอกทุกคน ซึ่งผมก็เห็นด้วยกับคุณเกล้านะ กลับกันไปเถอะ ถึงผมจะรู้สึกอยากมีใครสักคนอยู่เคียงข้างก็ตาม แต่วันนี้ทุกคนคงเหนื่อยและเสียใจเพราะผมมามากแล้ว ควรจะกลับไปพักผ่อนนั่นแหละดีที่สุด

“เอาตามที่ตาเกล้าบอกแล้วกัน ถ้างั้นเกล้าพาแม่กลับบ้านไปก่อนนะลูก เดี๋ยววันนี้ผมขออยู่ดูหนึ่งที่บ้านโน้นนะคุณ ไม่ต้องเป็นห่วง” ประโยคแรกคุณพ่อพูดกับคุณเกล้าลูกชายคนที่สองของท่าน และประโยคต่อมาท่านก็หันไปพูดกับภรรยาของท่าน คุณแม่ของคุณเกล้า

“ค่ะ” คุณรพีภรณ์ แม่เลี้ยงของผมท่านรับคำเสร็จก็เดินออกไปเลย จากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันกลับบ้าน แต่ผมยังคงนั่งอยู่ที่เดิมหน้าห้องไอซียูแห่งนี้ เฝ้าร่างของตัวเองเอาไว้ ผมไม่อยากเข้าไปอยู่ด้านใน อยู่มันข้างนอกนี่แหละ เพราะตอนนี้ร่างกายของผมมันไม่ค่อยน่าดูสักเท่าไหร่ ศีรษะก็ถูกพันผ้าเต็มไปหมด จมูกปากก็มีแต่สายยาง เห็นแล้วสงสารตัวเองจัง

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel