บทที่๑...ไม่เคยสำคัญ (๕)
เด็กหญิงผู้ที่เอาแต่ใจตัวเอง อยากได้อะไรก็ต้องได้...ยกเว้นความรักจากเขาที่หล่อนจะไม่มีวันได้เด็ดขาด
“ดาวรบกวนเวลาของพี่หรือเปล่า”
“ไม่หรอก พี่มีเวลาให้น้องสาวตลอด” คนตรงข้ามได้ยินก็มองดุ
“เลิกปากหวานกับดาวได้แล้ว ไปหวานใส่ภรรยาของพี่เถอะค่ะ” การแต่งงานของตระกูลใหญ่อีกทั้งฝ่ายหญิงยังเป็นนักแสดงชื่อดังทำให้เป็นที่จับตามอง ทุกอย่างถูกเนรมิตอย่างอลังการกลายเป็นตำนานการแต่งงานที่หรูหราไปเรียบร้อยแล้ว
เธอเองยังนึกอิจฉา...
“ดาวก็รู้ว่าพี่แต่งงานเพราะอะไร ไม่เห็นต้องพูดถึงคนอื่นเลย” กว่าจะมีเวลาอยู่ด้วยกันสองคนไม่ใช่เรื่องง่าย เธอเลือกไปทำงานที่รีสอร์ทกับบิดาของเขาแล้วอยู่กับแม่เลี้ยง ปล่อยให้ปรัตยาลุยงานบริษัทใหญ่คนเดียว
หนึ่งเดือนเจอหน้ากันแค่ครั้งหรือสองครั้ง เขาอยากไปที่รีสอร์ทแต่งานเยอะจนไม่มีเวลาไป พอเธอมาเมืองหลวงแล้วโทรนัดจึงรีบบึ่งรถมาหาทันที
“เธอก็รักพี่นะคะ ดาวเห็นว่าเธอรักพี่ใหญ่มากด้วย แต่งงานกันก็น่าจะผูกพันบ้างสิ อีกไม่นานพี่ใหญ่ก็รักเธอ” ประโยคที่เอ่ยเต็มไปด้วยความจริงใจ ไม่ใช่ว่าหล่อนไม่รักเขาแต่รู้ว่ารักของเราเป็นไปไม่ได้ ดาวประดับเลือกตัดใจตั้งแต่อีกฝ่ายแต่งงาน
เมื่อไม่มีคนในครอบครัวยอมรับ ฝืนดันทุรังไปก็มีแต่ช้ำใจ ชีวิตของเธอยังต้องก้าวไปข้างหน้า ต้องมีสักคนที่มอบความรักให้ตนได้โดยไม่ต้องมีอุปสรรคหรือขวากหนามให้ต่อสู้
แล้วตอนนี้หญิงสาวก็พบคนคนนั้นแล้ว...
“ไม่มีวันนั้นหรอก พี่ยังรักดาว...” ความรู้สึกของเขาที่บอกออกไป เจ้าตัวคงไม่รู้ว่าแววตาไม่เหมือนวันวาน
ปรัตยาอาจไม่รู้ตัว แต่คำว่ารักของเขาเหมือนเป็นแค่ความผูกพันที่มีด้วยกันเนิ่นนาน ไม่ใช่รักอย่างที่ชายหนุ่มเข้าใจหรอก ดาวประดับทำได้เพียงแค่ยิ้มแล้วตัดบทเมื่อบริกรถืออาหารออกมาวางตรงหน้า เขาจึงต้องเงียบแล้วพยักหน้าตาม
“อาหารมาพอดีเลย เรากินข้าวกันดีกว่าค่ะ หิวแล้วเดี๋ยวดาวจะเป็นโรคกระเพาะถ้ากินข้าวไม่ตรงเวลา”
“ยอกย้อนเก่ง” เริ่มลงมือรับประทานอาหารด้วยความหิว แทบไม่ได้มองหล่อนด้วยซ้ำเอาแต่กวาดอาหารเข้าปากแล้วเคี้ยวอย่างรวดเร็ว เป็นเธอที่มองเขาก่อนสูดลมหายใจลึก เตรียมพร้อมจะบอกเรื่องสำคัญของตัวเอง
“พี่ใหญ่คะ...ดาวกำลังจะย้ายไปอยู่ต่างประเทศค่ะ”
“ทำไม” เงยหน้าจากจานอาหารแล้วจ้องน้องสาวนิ่ง
“ดาวจะแต่งงาน”
คำตอบน่าตกตะลึงทำเอาร่างหนานิ่งงัน กระพริบตาปริบไม่รับรู้มาก่อนว่าเธอกำลังคบหาดูใจกับชายใด รู้อีกทีดาวประดับก็กำลังจะเข้าพิธีวิวาห์แล้ว...ทำไมไม่มีใครบอกเขาเลยสักคน
หล่อนกลับจากบริษัทของเขาก็ตรงกลับบ้านทันที พยายามหาอะไรทำเพื่อไม่ให้ตัวเองเสียใจ ดูละครกับบรรดาแม่บ้านถึงจะเป็นการนำกลับมาฉายซ้ำก็ตาม พูดคุยกันออกรสกระทั่งใกล้ถึงเวลาอาหารเย็น รถของปรัตยาก็เคลื่อนเข้ามาจอดหน้ามุข แต่คนที่ลงจากฝั่งคนขับไม่ใช่สามีของเธอ
เป็นปกติที่แก้วเจ้าจอมจะมายืนรอรับสามี แต่ทุกครั้งเขาสามารถเดินลงรถได้เอง คราวนี้กลับถูกประคองโดยคนขับรถจนเธอต้องรีบเข้าไปหิ้วปีกอีกข้าง
“เกิดอะไรขึ้นคะทำไมพี่ใหญ่เมาขนาดนี้” หมดสภาพของท่านประธานผู้น่าเกรงขาม เหลือเพียงคนที่เมาคอพับจนเธอนึกฉงน ก่อนออกไปกินข้าวเที่ยงกับดาวประดับยังดีๆ อยู่เลยไม่ใช่เหรอ
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ คุณดาวโทรให้ไปรับบอกว่าคุณใหญ่เมาหลับคอพับคงขับรถกลับเองไม่ได้” เธอพยักหน้าขณะที่ฟังไปด้วย
“พาขึ้นไปบนห้องเลยค่ะ”
คนทั้งสองช่วยกันพยุ่งร่างหนาขึ้นบนห้อง เรียกเหงื่อได้เยอะเหมือนกันกระทั่งทิ้งเขาลงบนเตียงนุ่ม คนเมาที่เคยหมดเรี่ยวแรงกลับขยับกายขึ้นไปหนุนหมอนนุ่ม
“ขอบคุณนะคะ ที่เหลือแก้วจัดการเอง คุณลุงไปพักผ่อนเถอะ” ยิ้มให้คนรถที่คอยดูแลเจ้านาย เขาค้อมศีรษะรับคำ
“ครับ” เดินออกจากห้องปล่อยสองสามีภรรยาอยู่ด้วยกัน
ร่างบางเลือกเดินไปที่ห้องน้ำแล้วหาผ้าขนาดเล็กมาชุบน้ำก่อนบิดให้หมาด ค่อยนั่งลงข้างเตียงแล้วเช็ดตามใบหน้าคม กลิ่นแอลกอฮอล์โชยออกมาตามลมหายใจของเขา คงดื่มไปเยอะพอสมควร ทำเอาแก้วเจ้าจอมนึกสงสัยว่าเหตุใดเขาถึงดื่มจนเมา มีเรื่องอะไรให้ต้องกลุ้มขนาดนั้น
“ดาว ดาว...” เขาเพ้อแล้วจับคนใกล้ตัวเข้ามากอด หญิงสาวจึงผวาตามแรงแต่ก็พยายามขืนตัวเองเอาไว้
“แก้วค่ะ นี่แก้วไม่ใช่ดาว พี่ใหญ่ตื่นมามองหน้าแก้วหน่อยสิ” เกลียดการเข้าใจผิดแบบนี้เป็นที่สุดจึงพยายามบอกเขาและดิ้นขลุกขลักในอ้อมกอดที่คุ้นเคยจนได้รับอิสระ จ้องดวงหน้าคมที่ค่อยเปิดเปลือกตา ก่อนจะอ้อนวอนเสียงสั่น
“อย่าแต่ง พี่ไม่ให้แต่ง ทำไมต้องแต่งงานกับคนอื่นด้วย”
“อยู่กับพี่นะ อยู่กับพี่...”
ดาวประดับ...กำลังจะแต่งงานอย่างนั้นเหรอ
ไม่รู้ทำไมคราวนี้เธอถึงยอมให้เขากอด ลูบแผ่นหลังหนาพร้อมรับรู้ถึงไหล่ที่เปียกชื้นจากน้ำตาของสามีตนเอง ซึ่งกำลังร้องไห้เพราะหญิงอื่น