

๒ คาดคั้นถามหาความจริง (๒)
พลันใบหน้าของใครบางคนก็โผล่มา เธอจึงรีบสลัดความคิดทั้งหมดทิ้ง ไม่มีทางพึ่งพาคนอย่างเขาให้โดนดูถูกอีกหรอก
“ลงไปกินข้าวกันเถอะ เที่ยงแล้ว” มองนาฬิกาก็พบว่าเข็มสั้นและเข็มยาวชี้ไปยังเลขสิบสอง ไม่น่าล่ะนึกหิวพอดี เธอจึงเลือกพยักหน้าขึ้นลงยอมลงไปข้างล่างพร้อมกับคนเป็นพี่ แต่ก็รีบซ่อนยาเอาไว้ใต้หมอนใบใหญ่ ค่อยหันมายิ้มให้ลิลิตเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ค่ะ”
สองพี่น้องเดินคุยกันลงมาข้างล่างพร้อมอาหารที่จัดเรียงไว้เรียบร้อย โดยฝีมือของแม่ครัวเอกคือคุณดวงชีวา ฉันทวัฒน์ที่เก่งทั้งอาหารคาวหวาน ได้รับฝีมือการทำอาหารมาจากมารดาที่เปิดร้านขายขนมหวานแต่ตอนนี้ก็ปิดตัวไปแล้วเพราะท่านเสียชีวิตและไม่มีใครรับช่วงต่อ
น่าเสียดาย...ฝีมือขนมร้านยายอร่อยที่สุดแล้วในความรู้สึกของเธอ
“ลงมากันแล้วเหรอ มากินข้าวสิแม่ทำเสร็จพอดีเลย วันนี้ไม่มีอาหารกลิ่นฉุนลิลน่าจะกินได้” ถามบุตรสาวโดยไม่ได้เฉลียวใจเพราะเชื่อว่าลลิลเครียดลงกระเพาะ จึงพยายามจัดการอาหารให้หญิงสาวสามารถรับประทานร่วมกันได้
เธอมองกับข้าวตรงหน้าแล้วยิ้มกว้าง นั่งลงยังที่ประจำของตัวเองทันที “กินได้แม่” พี่ชายคดข้าวใส่จานแล้ววางให้น้องสาว ขณะที่คนเป็นพ่อก็รีบชวนคนที่เหลือให้นั่งลง
“นั่งๆ กินข้าวกันสมองจะได้ลื่นไหล” ทำงานมาทั้งวันแล้วกองทัพก็ต้องเดินด้วยท้อง เมื่อท้องอิ่มก็จะคิดงานออก ครอบครัวนี้ถือคติเช่นนั้นตลอดมา ถึงแม้จะเครียดมากแค่ไหนก็ต้องกินข้าวไว้ก่อน
โทรทัศน์ถูกเปิดเอาไว้เพราะมารดาชอบดูละครช่วงบ่าย ตอนเที่ยงก็มีรายการบันเทิงให้เสพข่าวความรักของเหล่านักแสดง แต่วันนี้ถึงคราวของหม่อมหลวงกชวราซึ่งเป็นที่รู้จักของคนในแวดวงสังคม ความสวยและโดดเด่นของเธอทำให้ถูกเชิญไปเดินแบบทั้งยังถ่ายรูปขึ้นปกนิตยสารบ่อยครั้ง
หญิงสาวก็ยินดีทั้งยังเต็มใจเป็นอย่างยิ่ง จึงกลายเป็นที่รู้จักของผู้คนบ้าง แค่นั้นก็ทำให้เจ้าหล่อนอวดคนอื่นและยัดเยียดตัวเองว่าเป็นคนดัง...
“มาถึงข่าวของหม่อมหลวงคนสวยที่ตอนนี้ปลูกต้นรักกับนักธุรกิจอนาคตไกลอย่างคุณฉัตรชยา หน้าตาของเธอผ่องใสขนาดนี้ไม่แน่ว่าเป็นเพราะความรักหรือเพราะครีมที่บำรุงกันแน่...”
พิธีกรพูดติดตลกพร้อมใส่ซาวน์หัวเราะ แล้วขึ้นวิดีโอของหม่อมหลวงกชวราที่มาร่วมงานรวมตัวของเหล่าเซเลบริตี้ พร้อมกับภาพของหนุ่มหล่อซึ่งไม่ค่อยชอบออกกล้อง
ลลิลเงยหน้ามองจอโทรทัศน์แล้วก้มหน้าสนใจอาหารเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเอง อยากให้มีข่าวใหม่มาแทนที่เร็วๆ แต่มารดาเป็นคนเอ่ยขึ้นมาเพราะจำได้ว่าลูกชายเคยเล่าให้ฟังเรื่องที่เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกับลูกชายดาราดัง
“นั่นเพื่อนของลิตหรือเปล่า” ร่างสูงเงยหน้ามองภาพของฉัตรชยาแล้วก็พยักหน้า
“ครับ แต่ก็ไม่ได้สนิทเท่าไหร่หรอก มันค่อนข้างขี้เก็กไม่ค่อยสุงสิงกับใคร สาวไปสารภาพรักก็ปฏิเสธหมด...ดีแค่รวยผมเลยยืมเงินมันมาหมุนครั้งสองครั้ง” ทุกคนมองเขาเป็นตาเดียว ก่อนคุณดวงชีวาจะรีบเอ็ดลูกแล้วถามต่อ
“ตายจริง ยืมเงินเพื่อนมาเหรอ คืนเขาหรือยัง”
“ไม่มีคืน มันไม่เห็นทวงผมก็เลยปล่อยเฉย เอาไว้วันไหนมันทวงค่อยคืน” ไม่ค่อยชอบหน้าฉัตรชยาเท่าไหร่กับความหน้านิ่งและเอาแต่เคร่งเรื่องการเรียน ไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นเท่าไหร่ แต่ต้องยอมรับในความใจดีของอีกฝ่ายที่แค่เอ่ยปากขอยืมก็ยอมให้โดยดี
ไม่มีดอกเบี้ย ไม่ต้องมีคนค้ำหรือเอาหลักประกันมากู้...คนรวยเขาหว่านเงินเป็นเบี้ยเช่นนี้เองเหรอ
“แบบนี้ไม่ดีเลยนะลิต รีบหาเงินไปคืนเพื่อน ถึงเราจะจนแต่ก็ไม่เคยแบมือขอเงินใครฟรี” คุณวิพุชเอ่ยสมทบกับภรรยา แต่คนที่เงียบมาตลอดเลือกจะตักข้าวเข้าปากแล้วเอ่ยเสียงเบา จนพี่ชายที่นั่งข้างหล่อนต้องหันมาถาม
“บางทีมันอาจไม่ฟรีก็ได้นะคะ”
เพราะเธอจ่ายเขาเป็นร่างกายไปแล้ว...
“หือ...”
“เปล่าค่ะ ลิลจะช่วยพี่หาเงินคืนเขาเอง” ยิ้มเฝื่อนให้พี่ชายแล้วก้มหน้ากินข้าวต่อไป ลิลิตก็รู้สึกผิดจึงบอกน้องไม่อยากให้เข้ามายุ่งเรื่องนี้
“ไม่เป็นไร ลิลดูแลตัวเองดีกว่าพี่จะหาเงินไปคืนมันเอง”
เธอไม่ได้พูดอะไรอีกนอกจากรับประทานอาหารจนอิ่ม แล้วค่อยขอตัวขึ้นไปพักผ่อนบนห้อง รีบกินยาที่หมอสั่งแล้วนั่งบนเก้าอี้แล้วเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ยกมือวางบนหน้าท้องที่แบนราบของตัวเอง ค่อยยกเช็ดน้ำตาที่คลอเบ้าจวนเจียนจะไหล
“ทำไมต้องมาเกิดตอนนี้ด้วยนะ...แม่จะหาเงินที่ไหนมาเลี้ยงหนู ให้ไปขอเขา...ไม่มีทางหรอก”
เธอพลาดเองที่ไม่คิดว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเอง นอกจากปัญหาครอบครัวที่มืดแปดด้าน เรื่องที่หล่อนท้องโดยไม่มีพ่อก็หนักหนาพอกัน...
จนไม่รู้ว่าจะหาทางออกอย่างไรให้ตัวเอง
ลิลิตนั่งหมดแรงอยู่ที่โซฟาห้องรับแขก ดวงตาเหม่อลอยเมื่อไม่สามารถกู้เงินที่ธนาคารผ่านสักแห่ง ยกมือกุมขมับแล้วก็ได้แต่คิดหาหนทางว่าควรทำอย่างไร ก่อนจะเดินไปหาเอกสารบัญชีย้อนหลังแต่นึกได้ว่าน้องสาวเป็นคนเก็บไว้จึงได้เดินตามหาลลิลแต่ไม่พบ
“ลิลล่ะแม่” เข้ามาที่ห้องครัวแล้วเห็นว่ามารดากำลังทำขนมเพื่อขายส่งตลาด เป็นการหาเงินอีกช่องทางเพื่อมาจุนเจือครอบครัว หยิบยืมญาติพี่น้องมาจนเข้าหน้าใครไม่ติดแล้ว
“อยู่ที่โรงงาน มีอะไรหรือเปล่า”
“ว่าจะขอดูบัญชีซะหน่อยเห็นว่าน้องเอามาทำที่ห้อง งั้นผมขึ้นไปเอาในห้องลิลก็ได้” ไม่อยากรบกวนน้องจึงเดินขึ้นชั้นสองเพื่อเข้าห้องของลลิลไปหยิบเอกสารเอง มารดาพยักหน้าแล้วหันมาทำงานของตัวเองต่อ
ร่างสูงเปิดประตูห้องนอนน้องสาวแล้วเห็นเอกสารปึกใหญ่วางไว้บนโต๊ะ คิดว่าคงเป็นงานบัญชีที่หล่อนเอามาทำย้อนหลัง พอได้ของที่ต้องการก็หยิบมาถือไว้ ก่อนสายตาจะไปสะดุดที่สมุดฝากครรภ์ซึ่งชื่อระบุชัดเจนว่าเป็นน้องสาวของเขา
พี่ชายรีบวางเอกสารบัญชีลงบนโต๊ะแล้วเปิดอ่านสมุดนั้นอย่างรวดเร็ว ไล่สายตาไปทีล่ะตัวอักษรจนแน่ใจว่าตอนนี้มีอีกหนึ่งชีวิตในท้องของน้องสาวตน
“สมุดฝากครรภ์” หัวใจหล่นไปอยู่ตาตุ่มพร้อมสมองที่โล่งจนคิดอะไรไม่ออก นอกจากเรื่องโรงงานที่มืดแปดด้าน ยังมีเรื่องของลลิลมาซ้ำเติมอีก สายตาเรียวมองสมุดตรงหน้าคล้ายไม่อยากเชื่อตาตัวเองว่ามันเป็นความจริง
เริ่มย้อนคิดถึงอาการของน้องสาวที่บอกว่าเครียดลงกระเพาะก็รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายโกหก เขาทั้งโกรธ โมโหและสงสารอีกฝ่าย สำคัญกว่านั้นคือต้องการทราบว่าใครเป็นพ่อของเด็ก ในเมื่อหญิงสาวไม่เคยคบหาใครจริงจังในช่วงนี้เลย
หรือเป็นแค่ความสนุกชั่วข้ามคืน...ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงน้องของเขาก็แย่น่ะสิ
“พี่ลิตทำอะไรน่ะ! ทำไมเข้าห้องคนอื่นไม่บอกก่อน” เจ้าของห้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นว่าในมือของพี่ชายถือสิ่งใดเอาไว้ หล่อนรีบเข้ามาคว้าสมุดฝากครรภ์ไปจากมือหนาแล้วซ่อนไว้ด้านหลังถึงจะรู้ดีว่าไม่ทันแล้วก็ตาม
“ถ้าบอกก่อน...พี่จะเห็นหรือเปล่าว่าน้องสาวของตัวเองปิดบังเรื่องสำคัญ ลิลท้องใช่ไหม”
