

๑ พบหน้าไม่รู้จัก (๓)
“เฮ้อ! ตอนไหนจะมีล่ะ น้องอยากมีแฟนบ้าง” เอนกายพิงพนักแล้วเอ่ยเสียงดังคล้ายต้องการให้บิดาที่นั่งข้างหน้าได้ยิน ซึ่งมีผลให้คุณปรัตยาวางไอแพดในมือลงพร้อมประกาศเสียงเรียบใบหน้าตึง ลูกจึงรีบดีดตัวมาเกาะเบาะของพ่อ ค่อยทวงถามถึงสัญญาที่ท่านให้ไว้
“พ่อไม่อนุญาตนะ”
“ทำไมคะ! พี่ฉัตรจบป.โทแล้วไงน้องก็มีแฟนได้สิ เราตกลงกันแล้วคุณพ่อห้ามขัด แล้วก็ห้ามเข้ามายุ่งเหมือนคนก่อนๆ ด้วย น้องจะตัดสินใจเลือกสามีเอง” ประกาศกร้าวจนทุกคนบนรถหันมองหล่อนเป็นตาเดียวด้วยความตกใจ
ไม่ใช่ว่าชนิตราไม่มีผู้ชายมาจีบ เพียงแต่ถูกกันเอาไว้เป็นเพียงเพื่อนเพราะไม่สามารถผ่านด่านหินของคุณปรัตยาไปได้
คนเป็นพ่อหวงลูกสาวเป็นอย่างมาก ไม่มีใครดีเข้าตาเลยสักคน...
“น้อง!”
“แม่ว่าแฟนก็พอ อย่ารีบมีสามีเลย” คุณแม่รีบเก็บโทรศัพท์แล้วเบี่ยงกายมามองลูกสาว แนะนำอย่างรวดเร็วเพราะความจริงเธอก็ยังไม่อยากให้ลูกออกจากอ้อมอก
“ล้อเล่นหรอกค่ะ...หนูไม่รีบ” ยิ้มแป้นเมื่อได้แกล้งท่านเล่น ก่อนที่คุณแก้วเจ้าจอมจะเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาถึงเรื่องมีคนเข้ามาทาบทามบุตรสาวเพื่อไปเป็นสะใภ้หลายคน อยากให้นัดดูตัวหลายต่อหลายครั้งแต่เธอก็ปฏิเสธไป
ปลูกเรือนก็ต้องตามใจผู้อยู่ เธอจะไม่บังคับหรือฝืนใจลูกเป็นอันขาด
“แต่ก็มีคนมาทาบทามหนูบ้างนะ” คราวนี้เป็นสามีที่รีบหันมามองภรรยาด้วยความตระหนก ไม่คิดว่าหล่อนจะหาสามีให้บุตรสาว
“แก้ว”
“ทราบค่ะว่าพี่ใหญ่ไม่อนุญาตให้ลูกมีแฟน แก้วปฏิเสธไปหมดแล้วน่า...แต่มีคนหนึ่งที่น่าสนใจ เอาไว้ขอดูอีกหน่อยแล้วกัน”
พูดแล้วก็ยกยิ้มมุมปากนึกสนใจชายหนุ่มที่เพียบพร้อมเหมาะสมกับลูกสาวของตน พูดมีเลศนัยจนชนิตราต้องรีบยื่นหน้ามามองมารดา
“ใครคะ”
“น้อง” คุณปรัตยารีบปรามลูกสาว
“แหะๆ พี่ฉัตรคิดถึงจังเลย”
รถค่อยเคลื่อนไปข้างหน้าเพื่อกลับสู่บ้านฐิติยานนท์ที่มีคนคอยต้อนรับลูกชายคนโตของบ้าน บรรดาญาติต่างขนกันมาเตรียมงานสังสรรค์ขนาดเล็ก เสียงเพลงบรรเลงสร้างความสนุกสนานและเสียงหัวเราะ
ความอบอุ่นกลับคืนสู่บ้านหลังใหญ่อีกครั้ง...
กลับมาอยู่ไทยได้เกือบหนึ่งเดือนก็มุ่งทำงานในหน้าที่ของตัวเอง เขาทำได้ทุกอย่างเพราะเรียนรู้งานมาแต่เด็ก เหล่าผู้บริหารท่านอื่นก็ชื่นชมและเชื่อมั่นในตัวของฉัตรชยาผู้ถอดแบบบิดาออกมาทุกอย่างกระทั่งการทำงานที่ไม่มีจุดบกพร่องให้เล่นงานได้
ชีวิตของชายหนุ่มวนลูปคือไปทำงานและกลับบ้าน ไม่ได้เจอเพื่อนหรือสังสรรค์เพราะเขาให้ความสำคัญกับบริษัทมากกว่า เหมือนอย่างตอนเรียนก็ให้เรื่องเรียนเป็นที่หนึ่ง ไม่เคยวอกแวกเลยสักครั้ง
ไม่สิ...มีครั้งหนึ่งเพียงแต่รีบดึงตัวเองกลับมาได้
ยามค่ำคืนที่เงียบสงบทำให้ชายหนุ่มนอนไม่หลับ จำต้องลงมาเดินเล่นที่สวนหลังบ้านก่อนนั่งลงที่ม้านั่งตัวยาวพลางยกมือกอดอกค่อยเงยมองพระจันทร์ที่เต็มดวง สวยจนไม่อาจละสายตาไปทางอื่นได้ เห็นแล้วทำให้นึกถึงใครบางคน
ผู้เป็นสาเหตุให้เขานอนไม่หลับ เพราะเผลอนึกถึงเรื่องในค่ำคืนที่ตนพยายามปฏิเสธใจตัวเอง...
ส่ายศีรษะลบภาพเหล่านั้นออกไปแล้วคลึงขมับพลางถอนหายใจเสียงหนัก เขาเกลียดตัวเองที่เป็นฝ่ายบอกให้หล่อนลืม แต่ตัวเองกลับจำได้หมดทุกอย่าง
ผู้หญิงคนนั้นก็แค่ต้องการเงินเลยใช้แผนสกปรก...
แต่เขาจะไม่มีวันเสียเงินสักแดงให้หล่อนอย่างเด็ดขาด!
ปากหยักเม้มแน่นแล้วเงินมองดวงจันทร์ทรงกลมอีกครั้ง พลันใบหน้าของหญิงสาวก็แทนที่แสงสีนวล ดวงตากลมโตกับจมูกโด่งเชิดรั้นและริมฝีปากอวบอิ่มที่คลี่ยิ้มให้เขา เล่นเอาร่างหนาถึงกับมองไม่ละสายตา ไม่กล้ากระทั่งจะกระพริบตาเสียด้วยซ้ำ
“มองจันทร์แล้วทำหน้าเคลิ้ม...คิดถึงใครหรือเปล่าคะ” สะดุ้งตื่นจากภวังค์แล้วหันขวับมาหาคนที่ทำลายภาพดวงจันทร์ของตน รีบตีหน้านิ่งอย่างรวดเร็วแต่น้องสาวที่เฝ้ามองพี่ชายสักพักก็พอจะมองออกว่าอีกฝ่ายคล้ายกำลังนึกถึงใคร
“เปล่า พี่แค่คิดถึงประเทศไทย”
“ไม่ค่อยน่าเชื่อเท่าไหร่ ไปติดใจสาวแหม่มที่ไหนหรือเปล่า เล่าให้น้องฟังได้นะ น้องเป็นผู้ฟังที่ดีแล้วก็เป็นที่ปรึกษาได้นิดหน่อย อยากเล่าอะไรหรือเปล่า” รีบขยับเข้ามาใกล้พี่แล้วกระชับสาบเสื้อให้แน่นขึ้น ยักคิ้วลิ่วตาหลังพูดจบแล้วฉัตรชยากลับเลือกตอบเสียงเข้ม
“ไม่”
“โธ่! พี่ฉัตรอ่ะ อดรู้เลย!” ทำหน้าเง้างอดแล้วยกมือกอดอก หันหน้าไปอีกทางนึกหมั่นไส้พี่ชายที่ไม่ยอมปรึกษาเรื่องหัวใจสักที
เธอเองก็อยากรู้ว่าใครจะมาเป็นพี่สะใภ้ของตนเองนี่น่า...
“คุณพ่อบอกว่าจะให้พี่ฉัตรไปงานเลี้ยงฉลองบริษัทลุงเกริกครบรอบ 100 ปี พอดีคุณพ่อติดงานไปไม่ได้ ส่วนน้องก็ติดงานเหมือนกันไปแทนพี่ไม่ได้นะคะ งานนี้พี่ฉัตรจะต้องไปเองแล้วล่ะ ไม่มีตัวช่วยอื่นแล้วนะคะ” เพิ่งจะนึกออกถึงเรื่องสำคัญ จึงรีบบอกแล้วตัดช่องน้อยแต่พอตัวไม่ยอมออกตัวไปงานเลี้ยงแทน
หล่อนยิ้มหัวมีความสุขที่เห็นใบหน้าบอกบุญไม่รับของเขา อยากรู้เหมือนกันว่าคนที่รักความสันโดษจะทำเช่นไร คงต้องขอร้องอ้อนวอนเธอให้ไปแทน คราวนี้แหละชนิตราจะขอรางวัลเป็นตั๋วเครื่องบินไปกลับสวิตเซอร์แลนด์
“วันไหนล่ะ”
“มะรืนค่ะ”
“พี่จะไป” แต่คำตอบของเขาทำให้เธอถึงกับงุนงงที่ฉัตรชยายอมง่ายต่างจากทุกครั้ง ก่อนปัดความคิดทั้งหมดออกไปแล้วขยับเข้าไปกอดแขนหนา เอนศีรษะพิงไหล่แกร่งขณะที่เขาก็วางมือบนพนักเก้าอี้ ยกขึ้นลูบศีรษะมนราวกับว่าชนิตรายังเป็นเด็กน้อย
“คิดถึงพี่ฉัตรจังเลย อยู่คนเดียวได้ไงตั้งสิบปี เป็นน้องคงร้องไห้กลับบ้านตั้งแต่วันแรกแล้ว” ยอมรับตามตรงนั่นเป็นเหตุผลให้เธอเรียนอยู่ประเทศไทย ซึ่งบิดาก็ตามใจไม่ได้คัดค้านเพราะติดลูกสาวเช่นเดียวกัน ทั้งยังเป็นห่วงไม่อยากให้หล่อนไปไกลหูไกลตา
ลงท้ายที่ลูกคนเล็กได้อยู่ใกล้พ่อแม่ ไกลสุดก็คงไม่กี่วันเพราะไปเที่ยวต่างประเทศกับเพื่อนสนิท ส่วนเรื่องแฟนเลิกฝันไปได้เลย มีทีไรก็โดนบิดาเรียกให้ไปพบแล้วก็แผ่นหนีทันทีไม่เข้ามาสานต่ออีกเลย จนเธอคิดว่าตัวเองคงเป็นโสดไปจนแก่
“เรามันขี้แย”
“จริงค่ะ น้องขี้แยยังไม่โตแล้วก็ต้องการความรัก...สัญญากับน้องอย่างหนึ่งสิ” ผละออกจากพี่แล้วสบดวงตาคม เขาเองก็ยืดกายตรงสบตากับน้องสาวไม่มีหลบเพื่อฟังว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร
“ห้ามคบกับพี่กชนะ พี่สะใภ้ของน้องห้ามเป็นพี่กชเด็ดขาด” หลุดยิ้มออกมาทันที เหมือนว่าชนิตราจะไม่ชอบหม่อมหลวงกชวรามากกว่าที่คิดเอาไว้ หากเขาคบกับหล่อนคงยากจะผ่านด่านน้องสาว แต่โชคดีที่เราไม่ได้คบกันและคงไม่มีวันเป็นเช่นนั้น
“หึ สัญญา”
เขาจึงให้คำมั่นอย่างง่ายดาย คนฟังจึงยิ้มแฉ่งมีความสุขเมื่อได้ฟัง นั่งกอดแขนพี่ชายแล้วมองจันทร์ ก่อนคุยถึงเรื่องต่างๆ จนง่วงจึงพอตัวขึ้นไปพักผ่อน ร่างสูงก็ถึงเวลาเข้านอนเช่นเดียวกัน
เพื่อที่พรุ่งนี้จะได้ไปงานเลี้ยงแทนบิดา...
ตอนแรกคิดจะมาคนเดียวแต่พอถึงหน้างานกลับพบเพื่อนสนิทสาวสวยเพียงคนเดียวที่ยังเกาะติดไม่ปล่อย หม่อมหลวงกชวรารีบเข้ามาควงแขนเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ ปรายตามองหญิงหลายคนที่พยายามเข้าหาเขา แล้วไล่ทางสายตาโดยที่ไม่ได้พูดอะไรสักคำ
ระหว่างเดินเข้างานก็พูดคุยกับเขาไม่หยุด ร่างสูงทำเพียงแค่ฟังแล้วพยักหน้าไปตามเรื่อง หยิบไวน์มาถือไว้ในมือแต่ก็เลือกจะจิบเพียงเล็กน้อย ได้รับบทเรียนจากคราวก่อนจึงไม่อยากดื่มในรวดเดียว ยังนึกสงสัยว่าหล่อนวางยาเขาได้อย่างไร
เมื่อตัวเองก็ระแวดระวังตลอดเวลา โดยที่เขาไม่ได้นึกสงสัยหญิงสาวที่อยู่ข้างกายเลยสักครั้ง...
“คนเยอะเลยค่ะฉัตร อย่างว่าแหละค่ะงานเลี้ยงบริษัทขายเครื่องใช้ไฟฟ้าอายุร้อยปีก็ต้องรู้จักคนเยอะเป็นธรรมดา...กชยังไม่ได้กินอะไรเลย เราไปหาที่นั่งดีกว่าไหมคะ” ยิ้มกว้างแล้วมองไปโดยรอบบริเวณงาน มารดาของเธอได้รับเชิญมางานแต่ก็เลือกจะให้ลูกสาวมาแทนเพราะรู้ว่าฉัตรชยาต้องมาแทนคุณปรัตยาที่ไม่ว่าง
“ผมไม่ค่อยหิว ขอตัวไปคุยกับเพื่อนก่อนนะ” พยายามเลี่ยงไปทางอื่นแล้วแกะมือหล่อนออก แต่ร่างบางก็ยังเกาะเขาไว้แน่นเช่นเดิม
“กชไปด้วยค่ะ”
“คุณกินข้าวเถอะ หิวไม่ใช่เหรอ”
“ไม่หิวแล้วค่ะ ไปกับฉัตรดีกว่า”
ใบหน้าหล่อที่มักนิ่งสนิทกลับแสดงออกถึงความเอือมระอา แต่ยังคงเลือกจะไม่พูดอะไรเช่นเดิมแล้วเดินไปสมทบกับคนในวงการธุรกิจที่คุ้นหน้าค่าตากันเป็นอย่างดี ทว่ายังไม่ทันจะเข้ากลุ่มก็ถูกดึงเอาไว้เสียก่อน
“นั่นลิตกับน้องสาวหรือเปล่า กลับไทยแล้วเหรอ...” เพียงแค่ได้ยินก็หันไปมองตามมือของหล่อน
พบลิลิตที่เดินยิ้มแป้นเข้าหากลุ่มเพื่อนพร้อมกับน้องสาวคนสวยอย่างลลิลที่สวมเดรสสายเดี่ยวสีชมพูหวาน ผมยาวถูกเกล้าเป็นมวย ใบหน้าสวยแต่งแต้มสวยงาม เป็นที่สนใจของชายในงานจนเหลียวตามหล่อนตาไม่กระพริบ
หม่อมหลวงกชวราเม้มปากแน่นเมื่อเห็นปฏิกิริยาของคนในงาน คราวหล่อนเดินเข้ามาไม่เห็นสะกดสายตาแบบนี้บ้าง
“ยังเอาน้องมาเสนอขายเหมือนเดิม คราวนี้ดูสิว่าใครจะเป็นผู้โชคร้าย เห็นว่าค้างจ่ายเงินเดือนพนักงานมาหลายเดือนแล้ว คงต้องรีบหาเงินหน่อย อย่างว่าแหละค่ะมีน้องสาวสวยก็ต้องใช้ให้เป็นประโยชน์...นั่นๆ เดินไปหา...อ้าวฉัตร จะไปไหนคะ”
มือหนาเผลอกำเข้าหากันขณะที่ฟังคนข้างกายพูดไปเรื่อยเปื่อย น่าแปลกที่เขากลับเชื่อคำพูดของหล่อนทั้งที่ปกติไม่เคยใส่ใจเรื่องการนินทา ปลดมือบางออกอย่างรวดเร็วไม่ได้ใส่ใจถึงเรื่องมารยาทอีกต่อไป ทราบเพียงว่าไม่อยากอยู่ตรงนี้อีกต่อไป
อย่างน้อยไปล้างหน้าล้างตาให้อารมณ์เย็นลงหน่อยจะดีกว่า
ทั้งที่ชายหนุ่มก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตนเองโมโหเรื่องอะไร เพราะเขาไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน
“ห้องน้ำ จะไปด้วยไหม” ถามกลับเสียงเข้ม เธอพยักหน้าหมายจะไปด้วยแต่พอเจอดวงตาคมจ้องเขม็งก็เลือกปฏิเสธ ยิ้มแหยะแล้วค่อยก้าวถอยหลังยอมรอเขาอยู่ตรงนี้
“ไป...เอ่อ รอที่นี่ดีกว่าค่ะ”
เท้าหนักเดินออกจากห้องจัดเลี้ยงมุ่งตรงไปยังห้องน้ำเพื่อสงบสติอารมณ์ที่ร้อนระอุทั่วโพรงอก คิ้วหนาขมวดเข้าหากันก่อนจะทุบกำแพงระบายความหงุดหงิดจนคนที่ยืนทำธุระส่วนตัวถึงกับสะดุ้ง เขาจึงรู้สึกตัวแล้วเดินมาล้างมือ อยากวักน้ำล้างหน้ากลับต้องชะงักเพราะน้องสาวเป็นคนลงครีมให้ แถมยังกำชับว่าห้ามแตะใบหน้าเป็นอันขาด
พี่ชายอย่างเขาก็เลือกจะทำตาม มองหน้าตัวเองในกระจกแล้วถอนหายใจอีกครั้ง ค่อยเดินออกมาข้างนอกสวนกับหญิงสาวที่กำลังจะเดินเข้าห้องน้ำอีกฝั่งพอดี เขาใช้โอกาสนี้ถามเสียงเรียบจนหล่อนต้องชะงักฝีเท้า ก่อนหันมาสบตากับเขา
“มาหาเงินเหรอ” คำถามราบเรียบแต่เต็มไปด้วยคำดูถูกทำให้เธอโมโหจ้องเขาเขม็ง เม้มปากแน่นไม่ตอบอะไรแล้วเดินเข้าห้องน้ำ แต่กลับถูกเขาคว้าแขนแล้วลากมาคุยในที่คนไม่พลุกพล่าน ตอนแรกหล่อนอยากตะโกนขอความช่วยเหลือ สุดท้ายก็เลือกเงียบเสียงค่อยบิดแขนของตัวเองให้เป็นอิสระเพราะเขายอมปล่อยโดยดี
“เดินหนีทำไม ฉันพูดแทงใจดำหรือไง” ท่าทีคุกคามดันหล่อนให้ติดผนังก่อนใช้มือสองข้างยันข้างกายเธอเอาไว้ จ้องใบหน้าหวานไม่ยอมเคลื่อนสายตาไปทางไหน ใกล้จนได้กลิ่นหอมของเธอโชยเข้าจมูก ขณะที่เธอก็ได้กลิ่นอาฟเตอร์เชฟจากเขาเช่นเดียวกัน
ยิ่งทำให้นึกถึงค่ำคืนที่ตัวเองถูกย่ำยีและโดนเขาดูถูกไม่ไว้หน้ากันสักนิด
“ขอโทษค่ะ แม่บอกว่าไม่ควรคุยกับคนแปลกหน้า” ผลักอกหนาออกเพื่อจะเดินหนี กลับโดนเขาจับมือเอาไว้แน่น
“อ้อ ฉันเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเธอไปแล้วเหรอ เรื่องคืนนั้น...”
“คุณเป็นคนบอกให้ฉันลืมเอง จำไม่ได้หรือไงคะ แล้วจะมาหาเรื่องฉันทำไม...หรือว่าติดใจอยากลองอีกเหรอ เรียกได้นะแต่คราวนี้ขอคิดเงินหน่อยล่ะกัน...ห้าสิบล้านเป็นไง จ่ายไหวหรือเปล่า” เลิกคิ้วแล้วขยับเข้าไปใกล้เพื่อยั่วยุอารมณ์ของชายหนุ่ม
แล้วก็ได้ผลเมื่อฉัตรชยายอมปล่อยเธอแต่โดยดี ทั้งยังมองลลิลด้วยแววตาตัดพ้ออีกต่างหาก และถ้ามองไม่ผิดเหมือนจะเห็นความผิดหวังปะปนอยู่ด้วย
“ฝันไปเถอะ” เหมือนเขาได้สติว่ากำลังทำอะไร
ทั้งที่สั่งเธอไม่ให้เข้ามายุ่งเกี่ยว แต่กลับเป็นเขาเสียเองที่เอาตัวเข้าไปใกล้ ร่างสูงเลือกจะกดความรู้สึกเอาไว้ ตัดสินใจบอกหญิงสาวด้วยสีหน้าราบเรียบคล้ายไม่รู้สึกรู้สากับสิ่งที่เธอคิดจะทำ
“อยากจะไปหลอกเอาเงินใครก็เชิญ” พูดจบก็เดินออกจากที่ตรงนั้น ปล่อยให้หล่อนมองตามแผ่นหลังกว้างด้วยความไม่เข้าใจปนเปกับความเจ็บใจจนต้องผรุสวาทใส่คนที่เดินไปไกลไม่แม้กระทั่งจะเหลียวแลกลับมามอง
“ไอ้บ้า...”
เธอเกลียดเขา...พยายามบอกตัวเองว่าต้องรู้สึกเช่นนั้น
ถึงความเป็นจริงจะทำได้ยากก็ตาม
