

๑ พบหน้าไม่รู้จัก (๒)
ต่างจากน้องสาวที่เข้ามาฝึกงานเหมือนกัน แต่ก็ยังอ้อนขอบิดาจนคุณปรัตยาใจอ่อนยอมให้บ่อยครั้ง จึงไม่ค่อยเป็นผลเท่าไหร่ ใครจะต้านทานลูกสาวคนเล็กไหวกันล่ะ
“ของมีแค่นี้เหรอ แม่นึกว่าจะมีกระเป๋าสักสิบใบซะอีก ทำไมเอากลับมาแค่สี่ใบล่ะลูก...หรือว่าจะส่งตามมาทีหลังใช่ไหม ไปอยู่ลอนดอนตั้งหลายปีคงไม่ได้มีของแค่นี้ใช่ไหม...” มองรถเข็นกระเป๋าที่ลูกชายเข็นออกมาก็ต้องตกตะลึง
ของน้อยจนไม่น่าเชื่อ!
ชนิตราเหลือบมองกระเป๋าของพี่ก็รู้ทันทีว่าภัยกำลังจะมาถึงตนแล้ว จึงพยายามนิ่งเงียบไม่พูดจา แล้วฟังแม่คุยกับพี่ชายไม่เข้าไปขัดเหมือนทุกครั้ง
“มีแค่นี้ครับ เสื้อผ้าบางชิ้นผมก็เอาให้เพื่อนเพราะยังไงก็ไม่ได้ใช้ ส่วนหนังสือก็บริจาคให้รุ่นน้องกับมหา’ลัยบางส่วน ของที่จำเป็นก็เท่านี้แหละครับ ผมว่าค่อนข้างเยอะนะ” ข้าวของมีไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ สิ่งไหนไม่จำเป็นสำหรับตัวเองก็ให้คนอื่นไปจนหมด ของที่เหลือกลับมาจึงมีเพียงเท่านี้
ทำเอาคุณปรัตยาและแก้วเจ้าจอมถึงกับหันไปมองลูกสาวคนเล็กที่ส่งยิ้มแหยะไม่มีคำใดจะพูด
“น้องสาวเราไปเที่ยวต่างประเทศแค่เจ็ดวันเอากระเป๋าไปเกือบสิบใบ” สาวสวยเพิ่งกลับมาจากไปเที่ยวปารีสและอิตาลี ขากลับก็แวะทักทายพี่ชายที่ลอนดอนเล็กน้อย แต่ไม่น่าเชื่อว่าจำนวนกระเป๋าที่เอาไปจะมากมายจนตอนแรกบิดาคิดว่าชนิตราจะไปอยู่เป็นเดือนเสียอีก
“คุณแม่อ่ะ!” ทำหน้าบึ้งแล้วยกมือกอดอกหันไปอีกทาง ปล่อยสามคนพ่อแม่ลูกคุยกันแล้วเดินออกมาจากตรงนั้นเพื่อไปขึ้นรถที่จอดคอยท่าอยู่ด้านหน้า
แต่แล้วกลับมีเสียงเรียกชื่อของชายหนุ่มดังขึ้นด้านหลัง ทุกสายตาจึงหันกลับไปมองยกเว้นเพียงฉัตรชยาที่พรูลมหายใจเสียงเบาด้วยความเบื่อหน่าย เหมือนว่าตอนนี้เธอจะกลายเป็นตัวปัญหาใหญ่ของเขาเสียแล้ว
“ฉัตรคะ”
หม่อมหลวงคนสวยเดินกรุยกรายเข้ามาหาเพื่อนสนิทก่อนจะตรงเข้ามากอดแขนหนา ชุดที่เธอสวมเรียกสายตาจากคนรอบข้างได้เป็นอย่างดี ด้วยสีสันสดใสพร้อมกับเสื้อโค้ทขนหนานุ่มต่างจากอากาศของเมืองไทย คนแถวนั้นจึงมองหญิงสาวเป็นตาเดียวยิ่งสร้างความมั่นใจให้แก่กชวรามากกว่าเดิมเมื่อได้รับความสนใจ
เธอคงสวยมากจนทุกคนถอนหายตาไม่ได้เลยสินะ...
“สวัสดีค่ะคุณพ่อคุณแม่...ฉัตรไม่รอกันบ้างเลย” ยกมือไหว้ว่าที่พ่อปู่แม่ย่าของตัวเองในอนาคต หมายมั่นเอาไว้ในใจว่าอย่างไรก็ต้องได้เป็นสะใภ้ของฐิติยานนท์ ปลายคางเชิดขึ้นเล็กน้อยเพื่อโชว์ลำคอระหงที่สวมสร้อยเพชรเม็ดใหญ่เอาไว้
ชนิตราถึงกับกรอกตามองบน ไม่เคยชอบหน้าเพื่อนของพี่ชายคนนี้เลยสักครั้ง ดูก็รู้ว่าไม่เห็นหัวกัน ที่ทักพ่อแม่ของเธอก็แค่ตามมารยาทเพราะสุดท้ายก็หันไปพูดคุยกับฉัตรชยาราวกับโลกนี้มีเพียงสองคน ไหนจะนิสัยเจ้ายศเจ้าอย่างนั่นอีก
แต่ที่ไม่ชอบมากสุดน่าจะเป็นการใช้หางตามองหล่อน แล้วทำเหมือนเราสนิทกันทั้งที่ความจริงไม่ใกล้เคียงเลยสักนิด!
“พี่กชก็มาพร้อมพี่ฉัตรเหรอคะ นี่เรียนจบแล้วเหรอไม่เห็นทราบมาก่อนเลย” ลูกคนเล็กของบ้านฐิติยานนท์แทรกกลางเข้ามากอดแขนพี่ชายเอาไว้ ส่งคำถามที่ทำให้หม่อมหลวงคนสวยถึงกับยิ้มค้างแล้วพยายามบังคับริมฝีปากให้ยิ้มอยู่อย่างนั้นถึงดวงตาจะวาวโรจน์ก็ตาม
เด็กเวรนี่...ถ้าเป็นน้องเป็นนุ่งจะจิกหัวมาตบให้สาแก่ใจเลยคอยดูสิ
“ใกล้แล้วค่ะ พี่กลับมาพักผ่อนแล้วค่อยไปเรียนต่อให้จบอีกแค่เทอมเดียว กลัวฉัตรกลับคนเดียวแล้วไม่มีเพื่อนพี่ก็เลยมาเป็นเพื่อนค่ะ”
ยิ้มหวานแล้วเดินไปอีกข้างเพื่อกอดแขนหนาเอาไว้ ทำให้บัดนี้แขนทั้งสองข้างของฉัตรชยามีน้องสาวและเพื่อนสนิทจับจองเป็นที่เรียบร้อย
ก่อนชายหนุ่มจะปลดมือของกชวราออก จนเธอจำต้องยอมปล่อยเขาเป็นอิสระแล้วชะโงกหน้าเพื่อมาพูดกับชนิตรา น้องสาวของเขาที่ตนไม่เคยชอบเลยสักครั้ง เข้าไปอยู่ในบ้านนั้นเมื่อไหร่คงต้องกำราบอีกฝ่ายให้อยู่ในโอวาทเสียแล้ว
“มีเพื่อนแบบนี้ดีจังเลย เป็นเพื่อนกันตลอดไปเลยนะคะ” คำอวยพรพร้อมรอยยิ้มพรายทำให้คนฟังรู้ดีว่าหล่อนกำลังจะบอกให้เราสองคนเป็นเพียงเพื่อนไม่อาจข้ามผ่านไปอยู่ในสถานะอื่นได้
หากไม่ได้อยู่ในที่สาธารณะ หม่อมหลวงกชวราคงได้กรีดร้องหวังระบายความอึดอัดที่มีในใจไปแล้ว แต่สิ่งที่ทำได้คือกำมือแน่นแล้วจ้องคนอายุน้อยกว่าตาเขม็ง ขณะที่สาวน้อยกลับยิ้มกว้างอยู่เช่นนั้น กำลังจะอ้าปากพูดตอกย้ำอีกกลับถูกพี่ชายแตะมือเอาไว้เป็นการปราม
“น้อง”
เธอจึงทำได้เพียงเงียบเสียงลงแล้วกอดแขนพี่ชายแน่นกว่าเดิม บอกพี่ชายและพ่อแม่ที่ยืนคอยท่าเพื่อจะได้กลับบ้านสักที ไม่ลืมบอกลาคนที่ยืนเม้มปากแน่นแล้วทำตาขวางใส่หล่อนไม่หยุด นึกสนุกที่ได้กลั่นแกล้งอีกฝ่าย
“กลับบ้านกันดีกว่าค่ะ พี่ฉัตรหน้าซีดเซียวแล้วต้องรีบกลับบ้านค่ะ อยู่ที่นี่นานไม่ได้รีบกลับค่ะ...ไปก่อนนะคะพี่กช” พูดจบก็สะกิดฉัตรชยาให้เข็นรถเข็นกระเป๋าออกจากตรงนี้ เขาจึงพยักหน้าทำตามรวดเร็วไม่ได้รอให้เพื่อนตามทัน
แล้วทั้งสี่ก็ขึ้นนั่งบนรถตู้คันใหญ่ซึ่งมีห้าที่นั่ง โดยบุพการีนั่งด้านหน้าแล้วลูกชายลูกสาวนั่งข้างหลัง พอรถเคลื่อนที่ไปยังบ้านหลังงามที่เขาไม่ได้กลับมาหลายเดือน จึงใช้โอกาสนี้คุยกับน้องสาวที่กอดอกแล้วทำหน้าบึ้งไม่เปลี่ยน
“เรานี่ยังไง ไม่ชอบเขามากขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ไม่ชอบ ร้อยไม่ชอบพันไม่ชอบ ทำตัวเหมือนเป็นเจ้าของพี่ซะเต็มประดาแล้วชอบวางมาดวางท่า เจ้ายศเจ้าอย่างเห็นแล้วหงุดหงิด ตัวเองก็เป็นแค่คนธรรมดาไม่ใช่เจ้าใช่นายซะหน่อย แค่เกิดมาดีเลยมียศหม่อมหลวงนำหน้า” ร่ายยาวถึงอคติที่มีต่อเพื่อนสนิทผู้หญิงของพี่ชาย
ทว่าคุณแก้วเจ้าจอมได้ยินบุตรสาวพูดเช่นนั้นก็ไม่ชอบใจจึงต้องปรามไม่ให้พูดอย่างใจคิดไปเสียทุกเรื่อง
“น้อง...ไม่พูดแบบนี้”
“ขอโทษค่ะ ลืมตัวไปหน่อย คราวหลังจะพูดกับเพื่อนล่ะกัน” ท้ายประโยคบอกเสียงเบา ฉัตรชยาที่นั่งข้างกันก็แอบยิ้มขำแล้วลูบศีรษะมนด้วยความเอ็นดู
“เรานี่นะ”
ระหว่างทางเขาก็เปิดม่านเพื่อดูความเปลี่ยนแปลงของเมืองหลวงแต่ทุกอย่างก็ยังเหมือนกับเมื่อหกเดือนก่อน การไปเรียนต่างประเทศของเขาถึงจะนานแต่ก็ไม่ได้ทำให้สายตาที่มองบ้านเกิดเปลี่ยนไปเพราะกลับไทยทุกปิดเทอม จึงได้เห็นว่าตรงไหนพัฒนาบ้าง
น้องสาวหันมามองพี่ชายแล้วเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังเหม่อ จึงใช้โอกาสนี้ขยับเข้าไปใกล้แล้วถามพอให้ได้ยินกันสองคน เพราะบิดากำลังสนใจหุ้นที่เส้นแดงเถือก ขณะที่มารดาก็คุยโทรศัพท์พิมพ์ตอบกับเพื่อนสนิทเรื่องมารับลูกชายกลับไทย
“พี่ฉัตรไม่มีแฟนเหรอ” ถามด้วยความสงสัย
พี่ชายของเธอทั้งหล่อและฉลาด ฐานะทางบ้านก็ดีสาวคงติดตรึม แต่ไม่เห็นว่าพี่ชายจะพูดถึงเรื่องนี้จึงต้องเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาเอง สายตาเต็มไปด้วยประกายแห่งความหวัง อยากเห็นหน้าของว่าที่พี่สะใภ้เต็มแก่แล้ว
“ไม่มี” คำตอบน่าผิดหวังจนเผลอถอนหายใจเสียงดัง
