บท
ตั้งค่า

๑ พบหน้าไม่รู้จัก (๑)

พบหน้าไม่รู้จัก

ผู้คนมากมายยืนชิดฝั่งเหล็กกั้นของผู้โดยสารขาเข้า สายตาเพียรมองหาคนที่เดินออกมาจากประตูขนาดใหญ่ ยืนรอรับกันอย่างพร้อมเพรียงโดยไม่สนใจผู้คนรอบข้าง ทว่าวันนี้ต่างออกไปเมื่อมีดาราคนสวยที่แม้จะอายุเพิ่มมากขึ้นก็ยังงามไม่สร่าง สายตาหลายคู่จ้องมองมายังหล่อน ขณะที่เจ้าตัวก็ทราบเป็นอย่างดีว่าตกเป็นเป้าสายตาทว่าชินเสียแล้วจึงไม่สนใจ

เลือกจะชะเง้อมองทางประตูเพื่อหาลูกชายคนโตที่ไปร่ำเรียนอยู่ต่างประเทศกว่าสิบปี แม้จะกลับมาอยู่บ้านในช่วงปิดเทอมก็ไม่เหมือนคราวนี้ที่จะกลับมาอยู่ไทยเป็นการถาวร ดวงตาของหล่อนเต็มไปด้วยประกายแห่งความยินดี ไม่ต่างจากบุรุษที่ยืนข้างกันซึ่งกอดไหล่ภรรยาเอาไว้แน่น

เขาก็ตื่นเต้นไม่ต่างจากหล่อนเพียงแต่ยังคงทำหน้านิ่งคล้ายไม่รู้สึกรู้สา ต่างจากมือที่เย็นเชียบพลางมองหาบุตรชายที่ยังไม่ออกมาสักที เริ่มร้อนใจจนอยากเข้าไปข้างในเพื่อค้นหาให้รู้แล้วรู้รอด ความรู้สึกเดียวกับลูกสาวคนเล็กที่ไม่อาจยืนนิ่งเฉยได้

ชนิตรา ฐิติยานนท์สาวน้อยที่เพิ่งจบมหาวิทยาลัยมาสองปีแล้วเลือกจะเข้าทำงานที่ร้านเค้กของมารดา แม้จะเรียนจบทางสถาปัตกรรมศาสตร์แต่กลับไม่ได้ชอบงานด้านนี้ หล่อนเรียนเพราะช่วงนั้นชอบวาดรูปแล้วคะแนนถึง กอปรกับเพื่อนสนิทสองคนต้องการเข้าคณะนี้จึงตามเพื่อน เนื่องจากไม่รู้ว่าใจจริงอยากเรียนอะไร

หล่อนไม่ชอบงานบริหาร และพี่ชายก็เรียนทางนี้โดยตรงอย่างไรก็ต้องมาบริหารงานของที่บ้าน ส่วนเธอขอไปทำงานสายอื่นดีกว่า...ตอนนี้จึงเลือกมาทำร้านเค้กกับมารดาแล้วช่วยกันคิดค้นสูตรเค้กประจำของทางร้านใหม่

แต่วันนี้ทั้งสามคนลางานเพื่อมาต้อนรับสมาชิกอีกคนของครอบครัวโดยเฉพาะ...

“นั่นไงคะคุณแม่! พี่ฉัตรอยู่ตรงนั้นค่ะ พี่ฉัตร พี่ฉัตรทางนี้ๆ!” สาวน้อยที่ไม่อาจยืนเฉยอยู่กับที่ได้รีบกระโดดโลดเต้นยกใหญ่ พลางโบกมือให้พี่ชายที่เดินเข็นรถใส่กระเป๋าออกมา ตะโกนเสียงดังจนชายหนุ่มที่พยายามมองหาคนในครอบครัวหันมามอง กระทั่งคนที่อยู่รอบข้างก็สนใจเช่นเดียวกัน

แก้วเจ้าจอมผู้เป็นมารดารีบคว้าแขนลูกสาวเอาไว้ พลางปรามเสียงเบาแล้วส่ายหน้าห้ามไม่ให้อีกฝ่ายเสียงเสียงดัง เกรงใจคนรอบข้างจนต้องหันไปยิ้มเพื่อเป็นการขอโทษ ชนิตราหน้าหงอยลงจนคนเป็นพ่อต้องเดินเข้ามากอดไหล่เอาไว้

“เบาหน่อยสิน้อง นี่มันที่สาธารณะนะคะอย่าเอะอะ”

“ดีใจไปหน่อยค่ะ” เจ้าหล่อนรีบยิ้มประจบ

ขณะที่ร่างสูงเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าคนในครอบครัว พร้อมยกมือไหว้ไม่ลืมความเป็นไทยถึงจะไปเรียนต่างประเทศตั้งแต่อายุสิบหกปีก็ตาม ใบหน้าหล่อเหลาที่ถอดแบบออกมาจากผู้เป็นบิดาไม่ผิดเพี้ยน กระทั่งความหน้านิ่งก็เหมือนกันจนมารดานึกอ่อนใจ พูดแต่ละทีเหมือนดอกพิกุลจะร่วงออกจากปาก

ยังดีที่มีลูกสาวเป็นคนช่างพูดเธอจึงไม่ค่อยเหงามากนัก ถ้าให้อยู่กับลูกชายสองคนก็คงมีแต่เสียงของเธอคอยชวนคุยไม่หยุด

“สวัสดีครับคุณพ่อคุณแม่” สายตาของบุพการีมองชายหนุ่มด้วยความปลื้มปีติปนชื่นชม

ลูกชายที่เรียนจบปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง เลือกจะกลับไทยทันทีที่เรียนจบโดยไม่อยู่รับปริญญา เขาร้อนวิชาอยากมาทำงานช่วยบิดาเต็มที นอกเหนือจากนั้นก็คือคิดถึงครอบครัวที่แสนอบอุ่น อยากกินอาหารไทยและนั่งฟังน้องสาวพูดเรื่องราวเรื่อยเปื่อยไม่ค่อยมีสาระแต่กลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มยามได้ฟัง

“ไงเรา” คนเป็นพ่อทักลูก ทั้งสองทำเพียงแค่ยิ้มให้กันเท่านั้น

ต่างจากชนิตราที่วิ่งเข้ามากอดพี่ชายพร้อมเอ่ยให้ฟังว่าคิดถึงมากแค่ไหน ค่อยเขย่งปลายเท้าเพื่อกระซิบข้างหูฉัตรชยาถึงของที่ฝากซื้อ ถึงตัวไม่ได้ไปแต่ของที่ได้กลับมาก็เล่นเอากระเป๋าของคนพี่เต็มไปด้วยของของน้องสาวเกือบหนึ่งใบเต็ม

แน่นอนว่าเรื่องนี้ปิดเป็นความลับ ไม่อย่างนั้นหล่อนคงโดนบิดาบ่นว่าใช้เงินเป็นเบี้ย แต่สำหรับหญิงสาวมันคือความสุขนี่น่า...

“น้องคิดถึงพี่ฉัตรที่สุดเลยค่ะ!...ของฝากเอามาไหม” ผละจากน้องสาวแล้วมองหน้าอีกฝ่าย ยกมือขึ้นลูบศีรษะมนด้วยความเอ็นดู ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนแต่เหมือนคนตรงหน้าจะไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยสักนิด

อย่างนี้ไงล่ะถึงเป็นดั่งดวงใจของทุกคนในครอบครัว

“ในกระเป๋า” กระซิบบอกกลับ ทำให้รอยยิ้มของชนิตรากว้างกว่าเดิม รีบจุมพิตแก้มทั้งสองข้างของพี่ชายอย่างรวดเร็ว

“พี่ฉัตรของน้องน่ารักที่หนึ่ง!” สองพี่น้องทักทายกันเรียบร้อย ร่างสูงจึงเดินเข้ามาสวมกอดมารดา โค้งลงเล็กน้อยเพื่อให้กอดได้ถนัดมือ เหมือนว่าท่านจะตัวเล็กลงกว่าเดิมหรือเขาตัวใหญ่ขึ้นก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน

ใบหน้าคมเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แววตามีแต่ความสุขเมื่อได้หวนคืนบ้านเกิดแล้วยังได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาคนในครอบครัว เขากอดมารดาแน่นขึ้นแล้วยอมปล่อยเป็นอิสระเมื่อเหลือบมองบิดาที่เริ่มตาเขียวใส่ลูกชายเสียแล้ว

หวงเมียกระทั่งกับคนเป็นลูก...

“เป็นยังไงบ้าง นั่งเครื่องเหนื่อยหรือเปล่าลูก เจ็ทแล็กหรือเปล่า...” ประคองดวงหน้าคมแล้วมองด้วยแววตาแห่งความรัก ลูกคนแรกที่ทำให้เธอได้เรียนรู้คำว่าแม่ ไม่น่าเชื่อว่าจะเติบใหญ่ขนาดนี้จนเรียนจบปริญญาโท และกำลังจะนั่งตำแหน่งใหญ่ในบริษัท

น้ำตาคลอเบ้าจนต้องรีบเช็ดออก ก่อนถามไถ่บุตรชายด้วยความเป็นห่วง หน้าตาซูบเซียวไม่ได้อวบอิ่มเหมือนตอนอยู่ไทยสักนิด คงโหมเรียนหนักเพื่อเอาใบปริญญามาฝากบุพการี สงสัยคราวนี้หล่อนต้องขุนลูกชายให้อ้วนท้วมขึ้นหน่อยแล้ว

“ไม่ครับ ผมนอนมาเต็มที่แล้วไปบริษัทยังได้เลย”

ยิ้มแต้ขณะที่ไล่มองหน้าคนในครอบครัว ตอบด้วยความจริงใจแต่มารดาฟังแล้วก็นึกหมั่นไส้ เพิ่งเหยียบพื้นดินเมืองไทยไม่ถึงชั่วโมงก็พูดถึงเรื่องงานเสียแล้ว เหมือนกันทั้งพ่อทั้งลูก

“น้อยหน่อยเถอะเรา กลับบ้านไปพักผ่อนก่อนเรื่องงานค่อยว่ากันอีกที พักสักเดือนยังได้เลยคุณพ่ออนุมัติใช่ไหมคะ” คนเป็นภรรยาหันไปถามสามี แต่ระยะเวลาทำเอาท่านประธานถึงกับขมวดคิ้วมุ่น ไม่ค่อยเห็นด้วยสักเท่าไหร่ กระนั้นก็ยังหยอกล้อกับแก้วเจ้าจอมไม่ได้คิดจริงจังเท่าไหร่นัก

“นานไป พักแค่สองสามวันก็พอแล้ว”

“น้อยไป พักสักสองสามเดือนดีกว่า” เขาหลุดหัวเราะกับการที่หล่อนแกล้งล้อเลียนคำพูดเพียงแค่เปลี่ยนระยะเวลาเท่านั้น

“ตามใจเลยครับคุณแม่” คนเป็นสามีจึงพยักหน้าอย่างขอไปที รู้ดีว่าลูกชายจอมขยันคงไม่หยุดนานขนาดนั้นหรอก ขี้คร้านพรุ่งนี้จะมาขอเข้าทำงานทันทีน่ะสิ

ฉัตรชยาฝึกงานตั้งแต่อยู่ชั้นมัธยมศึกษา เริ่มจากพนักงานระดับล่างที่รับเงินรายเดือนซึ่งแน่นอนว่าน้อยกว่าเงินที่บุพการีให้เป็นเท่าตัว ครั้งเขาฝึกงานก็ไม่ได้รับเงินจากพ่อแม่ จากนั้นจึงเห็นคุณค่าของเงินทุกบาททุกสตางค์

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel