๒.๗ รักแท้ หรือแค่ลวง
“ส่วนนั่น...”
“ชื่อหนูดีค่ะ เป็นเด็กข้างบ้าน” อนุรดีชิงแนะนำตัวเองกับผู้หญิงของเขาตัดหน้าเตชินท์ ก่อนจะหันไปลาคุณปาริชาติกับตระการตา เพราะไม่อยากอยู่เป็นก้างขวางคอใคร “พี่เตมีแขก ถ้ายังไงหนูดีขอตัวกลับก่อนนะคะคุณป้า/น้องตวง”
“กินได้นิดเดียวเองก็จะกลับแล้วเหรอหนูดี”
“หนูดีเกรงใจน่ะค่ะ”
“เดี๋ยวป้าให้แม่บ้านตักแกงให้นะ” คุณปาริชาติไม่ได้เอ่ยห้าม เพราะเข้าใจว่าอนุรดีคงอึดอัดใจที่จะอยู่ร่วมโต๊ะ เมื่อจู่ๆ แขกที่ไม่ได้รับเชิญของลูกชายคนโตก็มาแบบกะทันหัน
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณป้า หนูดีอิ่มพอดี”
“งั้นเอาไว้วันหลังมาทานข้าวกับป้าอีกนะ”
“ค่ะคุณป้า” อนุรดีรับปากทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองจะทำใจมาที่นี่ได้อีกไหม
ร่างบางลุกจากเก้าอี้ที่ตัวเองนั่งอยู่ หลังจากเอ่ยลาคุณปาริชาติเสร็จ โดยไม่ลืมหันไปลาตระการตาอีกครั้ง แต่จงใจที่จะเสียมารยาทกับคนบางคน เธอโง่ผิดเองที่หลงเชื่อว่าเขารักจริงๆ ทั้งๆ ที่เขาอาจใช้มันอย่างพร่ำเพรื่อกับผู้หญิงทุกคน ใช้เป็นคำหวานหว่านเสน่ห์เพื่อให้ได้ในสิ่งที่เขาต้องการเท่านั้น
เท้าเล็กๆ ย่ำออกไปยังประตูเชื่อมระหว่างกำแพงสองบ้าน มือเอื้อมไปเพื่อจะเปิดประตู หากยังไม่ทันเปิดก็มีเสียงทุ้มๆ ดังขึ้นห้ามไว้เสียก่อน
“เดี๋ยวก่อนหนูดี”
ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าใคร เหตุการณ์นี้มันคล้ายๆ กับคืนงานเลี้ยง จะต่างกันก็เพียงแต่อนุรดีไม่คิดจะหยุดรอเขาเหมือนคืนนั้น เธอเปิดประตูออกอย่างไม่ลังเล คิดอย่างเดียวคืออยากจะหนีไปให้พ้นหน้าคนเจ้าชู้ไวๆ
ขาก้าวเข้าไปในเขตบ้านตัวเองแล้ว แต่แขนกลับโดนมือใหญ่ฉุดเอาไว้มั่น ทำให้เธอต้องตวัดตามองเขาอย่างเคืองขุ่น
“ปล่อยนะพี่เต”
“พี่จะปล่อย ถ้าหนูดีรับปากว่าจะไม่หนีพี่ จะใจเย็นๆ แล้วฟังพี่”
“หนูดีไม่ฟัง และไม่คิดจะเชื่ออะไรจากลมปากพี่เตอีกแล้ว ถ้าพี่เตยังเคลียร์ตัวเองไม่ได้หรือเสียดายชีวิตเพลย์บอย ก็อย่ามายุ่งกับหนูดี”
“พี่เคลียร์อยู่แล้ว แค่ขอเวลา”
“ค่ะ...ตามสบาย ปล่อย” อนุรดีพูดคำว่าปล่อยด้วยเสียงอันเย็นชา จนเตชินท์ต้องครางออกมาด้วยความหนักใจ ไม่คิดว่าจะมาเจอปัญหาน่าปวดหัวแบบนี้ในจังหวะที่เขากับอนุรดีกำลังจะไปกันได้ดี
“หนูดี...”
“อย่าให้หนูดีต้องพูดซ้ำ ถ้าพี่เตไม่ปล่อย แม้แต่หน้าพี่เตหนูดีก็จะไม่มอง”
มือใหญ่จำต้องปล่อยออกจากต้นแขนเล็กนั้นอย่างอ้อยอิ่ง ไม่ใช่ว่ากลัว แค่ไม่อยากดันทุรังหรือทำอะไรให้เธอเคืองใจไปมากกว่านั้น ทั้งที่ปกติเขาไม่เคยจะทิ้งปัญหาอะไรไว้ให้ค้างคาใจนาน แต่สำหรับอนุรดีเหมือนกับเป็นข้อยกเว้นไปเสียทุกอย่าง
เป็นเวลากว่าหนึ่งสัปดาห์แล้วที่เตชินท์ถูกอนุรดีหลบหน้า ไม่ยอมรับโทรศัพท์ ไม่อ่านไลน์ ขนาดเขาไปหาถึงที่บ้านก็ยังเดินหนีขึ้นห้องเอาดื้อๆ ทำเอาเตชินท์ร้อนใจมาก นึกอยากจะตามขึ้นไปจับเด็กขี้งอนมาคุยกันให้รู้เรื่องเสียที หลังจากที่เขาปล่อยให้เธอเอาแต่ใจมานานพอสมควร จนตัวเองทรมานใจแทบคลั่งอยู่แล้ว แต่ด้วยความเกรงใจพ่อแม่ของอนุรดีซึ่งอยู่บ้านในตอนเย็นทุกวัน จึงทำให้เขาไม่กล้าทำอะไรมาก
อาการแง่งอนของลูกสาวที่มีต่อเตชินท์ ไม่ได้รอดพ้นสายตาของคนเป็นพ่อแม่อย่างวิชัยยุทธและวรรณรีไปได้ ดังนั้นในตอนเย็นวันศุกร์ขณะกำลังรับประทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตา วรรณรีจึงเลียบเคียงถามลูกสาว หลังจากสังเกตดูเงียบๆ มาหลายวันแล้ว
“หนูดีโกรธอะไรพี่เตหรือเปล่าลูก”
“เปล่านี่คะแม่” อนุรดีเอ่ยปฏิเสธเสียงแค่พออุบอิบ จากนั้นก็หลบตามารดา ซึ่งอาการเช่นนั้นคนเป็นแม่รู้ดีว่าลูกสาวกำลังพูดไม่ตรงความจริง
“ถ้าเปล่าแล้วทำไมหลบหน้าพี่เขา”
“หนูดีแค่ไม่มีอะไรจะคุยค่ะ”
“แต่ว่าก่อนหน้านั้น หนูดีกับพี่เตก็สนิทสนมกันดีไม่ใช่เหรอลูก เอาละ แม่จะไม่ถามหรอกนะว่าโกรธกันเรื่องอะไร แต่แม่ไม่อยากให้หนูดีหนีหน้าพี่เขาแบบนี้ แม่รู้ว่าตอนนี้หนูดีไม่ได้มีความสุขนักหรอกพี่เตเองก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้นมีอะไรก็คุยกันตรงๆ อย่าทิ้งปัญหาไว้นานเกินไป มันจะบั่นทอนความสุขและสุขภาพจิตเปล่าๆ”
“ค่ะแม่”