๓.๑ ง้อรัก
หลังจากรับฟังคำเตือนของมารดาและทานข้าวอิ่ม อนุรดีช่วยเก็บโต๊ะ ล้างจาน ก่อนจะขึ้นห้อง อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดลำลอง แล้วล้มตัวนอนเล่นบนเตียง ตั้งใจว่าวันนี้จะหลับแต่หัววัน หลังจากนอนไม่ค่อยหลับติดกันมาหลายคืน จนรู้สึกว่าร่างกายอ่อนล้าไปหมด แต่แม้ร่างกายจะอ่อนล้าเพียงใด อนุรดีกลับไม่อาจบังคับตัวเองให้หลับได้ จึงเอื้อมไปคว้าเอาโทรศัพท์มากดดู เห็นเบอร์มิสคอลจากเตชินท์และเบอร์แปลกที่โทร.เข้ามาเป็นร้อยๆ สาย เช่นเดียวกับตัวเลขข้อความในไลน์ที่แสดงจำนวนเป็นเลขสามหลัก
อนุรดีถอนหายใจออกมาเพื่อระบายความอัดแน่นในอก คำพูดของมารดายังคงแว่วอยู่ในหู เธอจึงเลื่อนไปกดข้อความที่เตชินท์ส่งมาครั้งแรก หลังจากที่ทำใจแข็งตัดขาดการติดต่อกับเขาทุกช่องทางตั้งแต่วันที่เกิดเรื่อง
ข้อความในนั้นเต็มไปด้วยถ้อยคำงอนง้อขอโทษ รวมถึงตัดพ้อว่าเธอใจดำต่างๆ นานา แต่ข้อความที่ทำให้หัวใจของเธอกระตุกมากที่สุดก็คือข้อความสุดท้าย
‘ถ้าหนูดีรำคาญพี่มาก พี่ก็จะไม่ตอแยหนูดีอีก ขอโทษด้วย’
ข้อความนั้นถูกส่งมาตั้งแต่สามวันที่แล้ว เช่นเดียวกับเบอร์มิสคอลล่าสุด ใช่สินะ...สามวันแล้วที่เธอไม่เห็นเบอร์โทร.ของเขาปรากฏขึ้นบนหน้าจอ ไม่เห็นเขามาที่บ้าน ไม่ไปดักรอที่คณะเหมือนเคย...
หรือเขาจะทำตามที่ส่งข้อความมาบอกเธอจริงๆ การที่บอกเช่นนั้นไม่ได้ต่างอะไรกับการตัดขาดกัน เขาทำได้จริงๆ น่ะหรือ หรือเขาเหนื่อย เขาเบื่อที่จะตามง้อเธอแล้ว ทำไมถึงทำมันได้ง่ายนัก ในขณะที่เธอยังคงรักและไม่สามารถตัดใจจากเขาได้เลยแม้แต่เสี้ยววินาที ต่อให้โกรธมากแค่ไหนก็ตาม
ความว้าวุ่นในใจซึ่งเพิ่มพูนมากขึ้นเป็นหลายเท่าทวีคูณหลังจากได้อ่านข้อความ ทำให้อนุรดีต้องลุกจากเตียง แล้วพาตัวเองไปยืนรับลมที่ระเบียง หวังว่าความเย็นจากธรรมชาติ จะทำให้ความทุกข์ในใจของเธอคลายลงได้บ้าง
ร่างบางยืนทอดอารมณ์อยู่เช่นนั้นเกือบครึ่งชั่วโมง ถึงค่อยรู้สึกดีขึ้น กำลังจะกลับเข้าห้อง แต่ก็ต้องหยุดชะงักเพราะมีรถแท็กซี่คันหนึ่งแล่นมาจอดที่หน้าบ้าน เธอจึงรอดูจนกระทั่งเห็นว่าคนที่ก้าวลงมาจากรถสีชมพูคันนั้นคือเตชินท์นั่นเอง อนุรดีหน้าร้อนผ่าวขึ้นเล็กน้อย เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมามองและเห็นว่าเธอยืนอยู่ตรงนั้น เท้าเล็กๆ เตรียมจะก้าวหนีเข้าห้องอย่างที่ตั้งใจไว้แต่แรก แต่ก็ช้ากว่าคนเมาที่เดินเซๆ แค่ไม่กี่ก้าว ก็ไปถึงจุดที่กริ่งหน้าบ้านของเธอติดอยู่
ติ๊งต่อง ติ๊งต่อง
เสียงกริ่งดังขึ้นภายในบ้านในเวลาสี่ทุ่มกว่าๆ อนุรดีนึกอยากทำเฉย แต่ดูท่าแล้วเตชินท์คงจะกดไม่หยุดแน่ๆ หากเธอทำเช่นนั้น
ไหนเขาว่าจะไม่สร้างความรำคาญให้เธออีก แล้วทำแบบนี้ทำไม
หญิงสาวถามตัวเองขณะเดินเข้าห้อง ไม่ได้เดินหนีเหมือนที่แล้วมา แต่เดินเพื่อจะลงไปไล่เขาเพราะเกรงใจพ่อแม่ซึ่งตอนนี้คงจะเข้านอนแล้ว โชคดีที่เธอใส่ชุดลำลอง เป็นเสื้อยืดคอกลมกับกางเกงขาสั้น ยังไม่ได้ใส่ชุดนอน จึงไม่ต้องเสียเวลาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ยุ่งยาก
“ใครมาน่ะหนูดี”
อนุรดีว่าตัวเองไวแล้ว แต่ก็ไม่ไวเท่าแม่ของเธอที่เปิดประตูห้องฝั่งตรงข้ามออกมาเช่นกัน ซึ่งที่แม่ถามเช่นนั้นก็เพราะห้องของเธออยู่ฝั่งเดียวกับถนน สามารถมองจากระเบียงลงไปและเห็นได้ว่าคนที่มากดกริ่งเป็นใคร
“พี่เตน่ะค่ะแม่”
เมื่อได้รู้ว่าคนกดกริ่งเป็นใครวรรณรีก็แค่พยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตว่าให้อนุรดีลงไปหาเขาได้ เท้าเล็กๆ จึงก้าวต่อลงไปยังชั้นล่าง แล้วตรงไปหาคนที่มาสร้างเสียงรบกวนบ้านคนอื่นในยามวิกาลทันที
อนุรดีตั้งใจจะเปิดฉากต่อว่าเขา แต่ก็พูดไม่ออกเมื่อเห็นสภาพของคนเมาเต็มตา ใบหน้าที่เคยหล่อเหลาเกลี้ยงเกลาสะอาดสะอ้านเหมือนดาราเกาหลี บัดนี้เต็มไปด้วยหนวดเครารกรุงรัง ราวกับเจ้าตัวไม่ได้ใส่ใจจะโกนมันทิ้งแต่อย่างใด ขอบตาหมอง แก้มตอบลงอย่างเห็นได้ชัด
ภาพนั้นทำให้อนุรดีตกใจไม่น้อย พร้อมกับถามตัวเองว่า แค่ไม่เจอกันไม่กี่วันเตชินท์เปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ
“ยอมมาเจอพี่เสียทีนะหนูดี” คนเมาพูดด้วยเสียงอ้อแอ้ กลิ่นแอลกอฮอล์เข้มข้นโชยคลุ้งมาพร้อมกับลมหายใจของเขา บ่งบอกว่าเมาหนักจริงๆ ซึ่งแม้จะไม่ชอบแต่อนุรดีก็ยังแอบโล่งใจที่เขาไม่ขับรถเองในสภาพที่ตัวเองแทบจะยืนไม่อยู่แบบนี้
“หนูดีจะมาบอกให้พี่เตกลับบ้านค่ะ มากดกริ่งบ้านหนูดีตอนดึกๆ แบบนี้เกรงใจพ่อกับแม่หนูดีบ้างสิคะ”
“ไล่อีกแล้ว คงจะเกลียดขี้หน้าพี่มากสินะ”
“ใช่เกลียดมาก รู้แล้วก็เข้าบ้านตัวเองไปเสียสิ มายืนให้เค้าเกลียดขี้หน้าอยู่ทำไม”
“ก็แค่อยากเห็นหน้าคนใจร้าย คิดถึง...” เขาบอกพลางใช้สายตาปรือเยิ้มเพราะถูกฤทธิ์แอลกอฮอล์เล่นงาน จ้องมองไปที่เธอด้วยความโหยหา