๒.๔ รักแท้ หรือแค่ลวง
“ว่าไงลูก”
“แม่ให้พี่เตพาหนูดีมาดูหนังเหรอคะ”
“พี่เค้าขออนุญาตแม่ตั้งแต่เย็นเมื่อวานแล้วละ เห็นบอกว่าหนูดีงอนๆ เขาอยู่ ก็เลยอยากพาหนูดีไปดูหนัง เผื่อหนูดีจะหายงอน”
อนุรดีปรายตาไปทางเจ้าของโทรศัพท์และทำหน้าบึ้งๆ ใส่เขา เมื่อวานพอเธอรู้ว่าเตชินท์จะมาทานข้าวเย็นที่บ้าน เธอก็ไม่ยอมลงมาร่วมโต๊ะอาหาร โดยบอกพ่อกับแม่ว่าปวดหัว แต่ไม่คิดว่าเตชินท์จะใช้โอกาสนั้นตลบหลังเธอแบบนี้
สุดท้ายอนุรดีก็ต้องเข้ามานั่งในโรงหนังกับเตชินท์จนได้ แถวที่เขาเลือกคือแถวหลังสุด ซึ่งแทบจะไม่มีคนนั่งเลยไม่ใช่เฉพาะแค่แถวที่เธอนั่งที่ไม่มีคน แต่แถวอื่นๆ คนก็น้อยด้วย นับรวมๆ กันแล้วคนในโรงหนังไม่น่าเกินยี่สิบคน อนุรดีว่าตัวเองพลาด เพราะมัวแต่โกรธจนลืมดูว่าเตชินท์เลือกหนังเรื่องอะไร เขาฉลาดพอที่จะเลือกหนังเรื่องที่ใกล้จะออกจากโปรแกรมฉายของโรงแล้ว เธอเลยลุกหนีเอาดื้อๆ แต่ถูกเตชินท์ฉุดมือเอาไว้ ซ้ำร้ายเขายังประสานนิ้วเข้ากับนิ้วของเธอ ราวกับเป็นคู่รักที่จับมือกันตอนดูหนังก็ไม่ปาน
“พี่เตปล่อยมือหนูดีค่ะ” เธอหันไปกระซิบเขาเสียงแข็งๆ โดยไม่กล้าทำเสียงดังใส่แม้คนจะไม่เยอะ แต่เพราะถูกอบรมเรื่องมารยาทในที่สาธารณะอย่างเข้มงวดมาตั้งแต่เด็ก ทำให้เธอปฏิบัติตัวเช่นนั้นมาจนชิน
“ไม่ปล่อย” เขาหันมากระซิบตอบ ทำให้ปากของเขาเกือบชนปากของเธอ ลมหายใจรวยรดกันอยู่ใกล้แค่เอื้อม ท่ามกลางแสงสลัวๆ ของบรรยากาศในโรงหนัง
“หนูดีจะฟ้องแม่”
“ที่พี่จับมือหนูดีน่ะเหรอ”
“ใช่”
“งั้นก็ฟ้องน้าวรรณด้วยนะ ว่าพี่จูบหนูดีในโรงหนังด้วย”
จบคำของเขา ปากที่ชิดกับปากอยู่แล้วก็กลายเป็นแนบประกบชิดกันในทันที อนุรดีหน้าร้อนผ่าว ไม่คิดว่าเขาจะกล้าทำอะไรอุกอาจแบบนั้นอีก เพราะที่ผ่านมาหลังจากจูบแรก เขาก็ไม่เคยแตะเนื้อต้องตัวเธออีกเลย นั่นคงเป็นเพราะเขาหลอกให้เธอและผู้ใหญ่ตายใจกระมัง
อนุรดีหลับตาลงท่ามกลางความมืดสลัวของโรงหนัง เกร็งตัวรอรับความดูดดื่มเร่าร้อนที่เคยได้รับจากปากของเตชินท์เหมือนที่เขาจูบเธอวันนั้น ทว่าจูบวันนี้กลับเป็นจูบแบบผิวเผินบางเบาและอ่อนโยน เขาใช้แค่ปากประกบกับปากของเธอ บดเคล้าอยู่บนริมฝีปากด้านนอก ไม่ได้สอดชำแรกลิ้นเข้าไปด้านในแต่อย่างใด จากนั้นก็ถอนปากออก ราวกับจงใจให้เธอเสียดายและโหยหาจูบที่ลึกซึ้งมากกว่านั้น
“จะหายงอนพี่ได้หรือยัง พี่ขอโทษที่ทำอะไรแบบนั้นกับหนูดี แต่พี่ไม่เสียใจสักนิดเลย พี่ดีใจและภูมิใจที่สุดที่พี่ได้เป็นจูบแรกของหนูดี”
เตชินท์เอ่ยง้อๆ ชิดริมฝีปากในขณะที่เธอยังคงนั่งนิ่งอย่างคนปรับอารมณ์ไม่ทัน แต่เสียงของเขาที่ดังมากระทบโสตประสาทก็ช่วยฉุดเธอออกจากภวังค์แห่งความสับสนนั้นได้
“แล้วไม่คิดจะถามหนูดีสักนิดเหรอคะว่าหนูดีดีใจหรือเปล่า”
“ไม่ถามหรอก พี่รู้ว่าหนูดีจะตอบว่ายังไง แต่เชื่อพี่สิเด็กดีว่าหลังจากนี้ หนูดีจะชอบที่ได้จูบกับพี่ ให้พี่เป็นผู้ชายคนแรกและผู้ชายคนเดียวที่ได้จูบหนูดีได้หรือเปล่า”
“ไม่มีทางเสียหรอก” อนุรดีปฏิเสธทันควันด้วยทิฐิที่มีอยู่ในใจอย่างมากมาย เขาไม่ได้รัก ไม่ได้ชอบ ไม่ได้ทำตัวชัดเจนอะไร จะมาขอในสิ่งที่เห็นแก่ตัวขนาดนั้นกับเธอได้ยังไง
“จะเก็บไว้ให้ใคร ไหนบอกว่ายังไม่มีแฟน”
“ไม่มีวันนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าวันหน้าหนูดีจะไม่มีนี่คะ”
“นั่นสินะ ถ้ามีจริงๆ หนูดีจะกล้าบอกแฟนหรือเปล่าว่าเคยจูบกับพี่มาแล้ว”
“แล้วพี่เตล่ะคะ กล้าบอกผู้หญิงที่พี่เตคบด้วยหรือเปล่า ว่าเคยกอด เคยจูบ หรือเคยนอนกับผู้หญิงคนไหนมาบ้าง”
“กล้าสิ แต่มันไม่ใช่วิสัยที่ผู้ชายจะพูด”
“เรื่องแบบนี้มันก็ไม่ใช่ที่ผู้หญิงจะพูดเหมือนกันค่ะ” เสียงหวานเอ่ยยอกย้อน ในลักษณะที่ปากยังชิดอยู่กับปาก น่าแปลกที่เสียงของหนังซึ่งดังหลายสิบเดซิเบล กลับไม่สามารถกลบเสียงกระซิบกระซาบของเขาและเธอได้
“แสดงว่าหนูดีจะเก็บความประทับใจของจูบแรกเอาไว้ในใจคนเดียว”
“หนูดีไม่ได้ประทับใจค่ะ พี่เตอย่าเข้าใจผิด”
“แต่พี่ว่าพี่เข้าใจไม่ผิดนะ”
“หนูดีจะกลับค่ะ ไม่อยากอยู่กับคนหลงตัวเองและนิสัยเสียอย่างพี่เตแล้ว”
อนุรดีตั้งใจเด็ดเดี่ยวที่จะหนีกลับให้ได้ เมื่อเตชินท์พูดเหมือนกับรู้ใจเธอไปเสียทุกอย่าง ทั้งๆ ที่ความคิดของเขานั้นคือการคิดเข้าข้างตัวเองทั้งเพ เธอไม่ได้ประทับใจกับจูบของเขาสักนิด ไม่ว่าจะเป็นครั้งแรกหรือครั้งนี้…