๒.๒ รักแท้ หรือแค่ลวง
ความคิดเกิดขึ้นได้ไม่นาน เท้าเล็กๆ ที่รองรับด้วยรองเท้าส้นสูงสีชมพูอ่อนเข้ากับชุดก็ก้าวตามคำสั่งของสมอง ไปตามทางเล็กๆ ที่เลียบกับแนวกำแพง กระทั่งถึงซุ้มดอกกระดังงาซึ่งเป็นจุดที่มีประตูเชื่อมระหว่างบ้านหลังใหญ่โตนี้กับบ้านของเธอ อนุรดีก็ยื่นมือไปเตรียมจะผลักประตู ทว่ากลับมีเสียงทุ้มๆ ดังขึ้นขัดจังหวะ ทำเอาร่างบางสะดุ้งน้อยๆ ด้วยความตกใจ
“จะไปไหนหนูดี”
หญิงสาวค่อยๆ หันกลับมา ฟังจากเสียงก็พอรู้ว่าเป็นใคร เขาตามเธอมาตั้งแต่เมื่อไหร่นะ แล้วจะตามมาทำไม หรือว่าเขาเองบังเอิญเดินมาแถวนี้พอดี
“กลับบ้านค่ะ”
เสียงหวานใสตอบสั้นๆ แล้วก็ยกมือขึ้นจะผลักประตูอีกรอบ แต่เตชินท์ไม่ยอมให้เธอหนีหน้าได้ง่ายๆ ร่างสูงก้าวขาเข้ามาใกล้กว่าเดิม มิหนำซ้ำยังขยับไปยืนขวางประตู ทำให้อนุรดีต้องถอยห่างออกมาอย่างเป็นอัตโนมัติ
“ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ไม่คิดจะทักทายพี่หน่อยเหรอ”
“หนูดีก็สวัสดีพี่เตแล้วนี่คะ”
“แค่ยกมือไหว้ ไม่ได้เรียกว่าทักทายหรอกนะสำหรับคนที่เคยสนิทสนมกันมาก่อนอย่างเราสองคน”
“แล้วพี่เตอยากให้หนูดีทักทายแบบไหน ถึงจะเหมือนคนสนิท”
“อย่างน้อยหนูดีก็ควรถามไถ่ ว่าพี่สบายดีไหม ไปเรียนต่อที่โน่นตั้งหกเจ็ดปีเป็นยังไงบ้าง คิดถึงบ้านหรือเปล่า มีแฟนหรือยัง หรือจะถามมากกว่านั้นก็ได้ พี่ยินดีตอบทุกคำถามของหนูดีอยู่แล้ว”
“ที่หนูดีไม่ถามก็เพราะเห็นว่าพี่เตมีแขกที่ต้องคุยด้วยเยอะแยะ เลยไม่อยากรบกวนเวลา อีกอย่างหนูดีพอเดาได้ว่าพี่เตคงไม่น่าจะมีปัญหาอะไรกับการไปเรียนต่อแค่หกเจ็ดปี ก่อนหน้านั้นสมัยเรียนมัธยมพี่เตก็ไปซัมเมอร์ต่างประเทศทุกปีอยู่แล้ว พอไปอยู่นานๆ ก็น่าจะมีคิดถึงบ้านอยู่บ้าง แต่คงไม่มากมายอะไร เห็นได้จากที่พี่เตไม่เคยกลับมาเยี่ยมบ้านเลย ส่วนเรื่องมีแฟนหรือยัง อันนี้หนูดีไม่อยากรู้ค่ะ เพราะเป็นเรื่องส่วนตัวของพี่เต”
เขาทำเสียงบางอย่างในลำคอ เมื่อเธอตอบชัดถ้อยชัดคำแบบไม่หลงเหลือเค้าของเด็กขี้อายคนเดิมที่เคยรู้จักอีกแล้ว
“อ้อ...รู้ดีไปหมด แต่พี่กลับไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับเราเลย ถ้าเราไม่ถามพี่ งั้นพี่ถามเราได้หรือเปล่า”
“พี่เตจะถามอะไรล่ะคะ”
“ตอนนี้เราเรียนอยู่ปีไหนแล้ว”
“ปีสามค่ะ”
“เรียนคณะอะไร มหาวิทยาลัยไหน”
“เรียนอักษรศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัย...” อนุรดีบอกคณะที่ตัวเองเรียนพร้อมทั้งชื่อมหาวิทยาลัย โดยไม่ได้ขยายความอะไร เขาถามแค่ไหนก็ตอบแค่นั้น
“มีแฟนหรือยัง”
ประโยคนั้นเตชินท์ไม่แค่ถาม แต่ตาคู่คมกวาดมองไปยังร่างบางซ่อนรูปที่ตอนนี้สวยสะพรั่งเป็นสาวเต็มตัว คราวนี้อนุรดีไม่ได้ตอบในทันที ทว่ามองหน้าเขากลับคล้ายดั่งว่า เขาจะถามเธอทำไม ในเมื่อเธอยังไม่คิดจะถามเรื่องส่วนตัวพวกนี้ของเขา
“หนูดีจำเป็นต้องตอบหรือเปล่าคะ”
“จำเป็นสิหนูดี แฟร์ๆ หน่อย พี่ยังเปิดโอกาสให้ถามทุกอย่าง แต่เราเลือกที่จะไม่ถามเอง ดังนั้นพี่จึงขอใช้สิทธิ์ของพี่บ้าง ว่าไงมีแฟนหรือยัง” เขาถามย้ำอีกรอบและทำท่าว่าจะปักหลักขวางทางอยู่อย่างนั้นจนกว่าจะได้คำตอบที่ต้องการ
“ยังไม่มีค่ะ”
ตอบไปแล้วอนุรดีก็นึกโมโหตัวเองที่ไม่รู้จักโกหกเสียบ้าง เพราะทันทีที่เตชินท์ได้ยินคำตอบแบบนั้น ตาของเขาก็ไหวระริกคล้ายดั่งกำลังหัวเราะเยาะเธอ
“จริงน่ะเหรอ”
“มีความจำเป็นอะไรที่หนูดีต้องโกหกพี่เตคะ”
“ไม่รู้สิ หนูดีอาจจะเหมือนผู้หญิงอื่นๆ มั้ง ที่เวลาอยู่ลับหลังแฟนหรืออยู่กับผู้ชายอื่น ก็มักจะบอกว่าไม่มีแฟน”
“แต่หนูดีตอบตามความจริง พี่เตจะเชื่อหรือไม่เชื่อมันก็เป็นสิทธิ์ของพี่เตค่ะ หมดคำถามหรือยังล่ะคะ ถ้าหมดแล้วก็หลีกทางให้หนูดีเสียที หนูดีจะได้เข้าบ้าน”
“ยังไม่หมด พี่มีอีกหนึ่งคำถาม”
“อะไรคะ”
“หนูดีเคยจูบกับใครหรือยัง”
เมื่อกี้ว่าอับอายแล้วที่ถูกถามว่ามีแฟนหรือยัง แต่คราวนี้อนุรดีทั้งโกรธทั้งอาย กับคำถามล้วงลูกที่ไม่คิดจะเกรงใจของอีกฝ่าย
“คำถามนี้หนูดีไม่จำเป็นต้องตอบ”
“โอเค...หนูดีไม่ตอบก็ไม่เป็นไร พี่มีวิธีหาคำตอบด้วยตัวเอง”
อนุรดีคิดว่าเตชินท์คงหาคำตอบด้วยการแอบถามตระการตาน้องสาวของเขาซึ่งสนิทสนมกับเธอพอสมควร แต่เธอคิดผิดไปถนัด เมื่อมือใหญ่ข้างหนึ่งตวัดมากอดเอวเล็ก อีกมือช้อนเข้าที่ท้ายทอยของเธอ จากนั้นก็โฉบหน้าลงมา ใช้ปากของเขาประกบกับปากของเธอ แล้วทำในสิ่งที่เรียกว่า ‘จูบ’ กับเธอในทันที