8. มิได้หวง
“ก่อนนี้ข้าจำได้ว่าพวกเจ้าเอ่ยถึงสามีของท่านหมอ บอกว่าคนผู้นั้นชั่วช้ามิสนใจภรรยามิใช่หรือ”
“แต่มันก็จริงตรงมี่นายท่านมิสนใจนางมิใช่หรือขอรับ ข้าน้อยก็มิได้เอ่ยสิ่งใดผิดไปนะ”
“กวนถง นี่เจ้ายังกล้าเอ่ยเช่นนี้อีกหรือ” จางเฉิงตำหนิสหายทันที ดูท่าพวกเขาคงถูกทำโทษอีกเป็นแน่
ด้านมู่อันอัน หลังจากวิ่งหนีออกมาได้ก็ขึ้นมาบนชั้นสองของโรงหมอ เพราะดันมาสบจังหวะที่คุณชายลู่เผิงมาพอดี จึงได้ปลีกตัวขึ้นมาหลบอยู่ด้านบน
“ยังมิไปอีกหรือ” เสียงหวานเอ่ยกระซิบถามชิงลี่
“กำลังคุยอยู่กับท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ”
“เอ๋! เขาออกมาทำไมล่ะ” ใบหน้าหวานชะโงกลงมาจากราวบันได ยังดีที่หานลู่เผิงยืนหันหลังให้ เลยทำให้มิเห็นนางที่นั่งเกาะระแนงด้านบนอยู่
“มู่อันอันเสร็จธุระแล้วก็ลงมาสิ” เสียงทุ้มอ่อนโยนดังขึ้น พร้อมกับสายตาของสามีที่มองมา ทำให้คนที่หลบอยู่จำต้องเดินลงมาอย่างเลี่ยงมิได้ ริมฝีปากอิ่มฉีกยิ้มมิเห็นฟัน ราวกับยินดีหนักหนา
“หึ! เอาคืนฉันเหรออีต้าแม่ทัพ” นี่คือสิ่งที่ในหัวของนางคิด ก่อนจะเดินมาหาคนที่ยื่นมือออกมา มู่อันอันฉีกยิ้มให้สามีก่อนจะวางมือขาวสวยให้อีกฝ่าย
“ท่านพี่มีมีอะไรกับข้าหรือเจ้าคะ” ตอบกลับเสียงหวาน ทำเอาคนที่หมายจะมาหาถึงกับขบกรามแน่น
“คุณชายหานอยากได้ยาแก้หวัดไปให้มารดา เจ้าช่วยจัดหาให้ที” ฉางอี้เอ่ยบอกเสียงเรียบ นัยน์คมก็จ้องอีกฝ่ายนิ่ง ลู่เผิงก็ได้แต่กำมือแน่นในใจก็ร้อนรุ่มยิ่งนัก
“ได้แล้วเจ้าค่ะ” ห่อยาถูกยื่นส่งให้ แต่คนตัวโตข้างกายกลับดึงมาแล้วส่งต่อเอง
“ขอบคุณ ที่มาอุดหนุ่นร้านข้า” บอกไปเสียงแข็ง พร้อมกับยกแขนขึ้นมาโอบไหล่ภรรยาของตน
“ข้ามิยอมหยุดแค่นี้หรอก” ลู่เผิงทิ้งถ้อยคำไว้แค่นี้ก็เดินหัวเสียออกไป ทำเอามู่อันอันถึงกับเป็นงงเพราะมิรู้ต้นสายปลายเหตุในท่าทีหงุดหงิดนี้
“เกิดอะไรขึ้นหรือลุงเหวิน” หันมาถามคนของตนทันที
เพราะถ้าจะถามคนตัวโต ดูท่าเขาคงมิยอมบอกอะไรเป็นแน่ ซ้ำยังทำหน้ายักษ์ใส่อีกต่างหาก
“ขนาดข้ายืนอยู่ตรงนี้แท้ๆ ก็ยังมีบุรุษประกาศบอกว่าจะแย่งชิงเจ้าไปอีก ช่างมีเสน่ห์มากเหลือเกินนะมู่อันอัน” เสียงเข้มเปล่งออกมาพร้อมกับสายตาดุ คนฟังก็ได้แต่ผูกคิ้วเป็นปมด้วยความสงสัย
“อะไรกันเจ้าคะ ข้าก็อยู่ข้างบนยังมิได้พบเขาเลย ไยท่านถึงตำหนิข้าเช่นนี้ล่ะ เรื่องเสน่ห์มันก็ช่วยมิได้ที่ข้าเกิดมามีหน้าตางดงาม หรือท่านอยากมีภรรยาอัปลักษณ์” คนตัวเล็กตอบกลับด้วยถ้อยคำกวนอยู่ในที
ทำให้ได้เห็นมุมปากของอีกฝ่ายยกขึ้นเล็กน้อย ซึ่งดูเหมือนมันเป็นลางร้ายเสียมากกว่า เพราะมิถึงอึดใจร่างนี้ก็ลอยขึ้นเหนือพื้น
ฉางอี้แบกคนน้องกลับเข้าห้องนอนของตน โดยมีชิงลี่และเป่ยสวี่วิ่งตาม แต่ก็ต้องหยุดแค่ที่หน้าประตู เพราะถูกคนของแม่ทัพขวางเอาไว้ ทำให้ต้องยืนร้อนใจเป็นห่วงเจ้านายอยู่ด้านนอกแทน
“ปล่อยนะ นี่ท่านจะรังแกข้าหรือ” มือเล็กดันอกแกร่งเอาไว้ เมื่ออีกฝ่ายวางนางลงบนเตียงแล้ว
“เจ้าเป็นเมียข้าช้าเร็วก็ต้องมีวันนี้” เอ่ยจบใบหน้าก็ซบลงที่ซอกคอขาวเนียนของคนตัวเล็ก เขาขบเม้มสร้างความเป็นเจ้าของจนเกิดรอยแดง แต่ช่วงเวลานี้มู่อันอันมิได้ต่อต้าน จึงทำให้คนตัวโตเกิดความสงสัย ผละใบหน้าออกขึ้นมามอง ถึงได้รู้ว่านางกำลังร้องไห้
“กลัวข้ามากหรือ” เขาเอ่ยเสียงเบา มิมีเสียงตอบกลับมาจากคนตัวเล็ก ฉางอี้จึงขยับออกจากร่างนาง แก้มสากนูนขึ้นเพราะแม่ทัพหนุ่มกำลังข่มอารมณ์ที่มันคุกรุ่นอยู่ข้างใน แต่ก็ยังคงนั่งหย่อนขาหันหลังให้อยู่บนเตียง
“ต่อไปต้องนอนในห้องกับข้า สองคนนั้นต่างก็มีอำนาจมาก หากอยู่ในฐานะนี้ข้ามิอาจปล่อยเจ้าไว้คนเดียวได้” สิ่งที่เขาเอ่ยมันคือการออกคำสั่งเสียมากกว่า คนตัวเล็กมิได้ตอบสิ่งใดกลับไป ทำเพียงแค่ขยับเข้ามุมด้านในเท่านั้น มือเรียวจึงเอื้อมดึงผ้าห่มให้จนถึงคอ
“คืนนี้ข้าจะไปสืบข่าวที่เขาพิรุณ จะให้คนในหน่วยมาเฝ้า มิต้องตกใจล่ะ” เสียงเรียบเปล่งออกมาอีกครั้ง
ได้ยินแบบนั้นร่างเล็กก็ดีดตัวลุกขึ้นมานั่ง จนแม่ทัพหนุ่มถึงกับผงะเพราะตกใจ “อะไรของเจ้า!!”
“บนนั้นมีหมอกพิษ ท่านรู้วิธีแก้หรือ” เอ่ยถามทันที
“หมอกพิษ หมายความว่าอย่างไร” ร่างสูงหันกลับมาหาคนบนเตียง ซึ่งใบหน้ายังมีคราบน้ำตาอยู่ มือสากจึงยกขึ้นหมายจะเกลี่ยออกให้ แต่พอนึกถึงถ้อยคำนางที่เอ่ยถึงมือหยาบกระด้างของตน เขาก็ชะงักวางลงเช่นเดิม มู่อันอันมองการกระทำอีกฝ่ายนิ่ง
“เจ้ายังมิตอบว่ารู้ได้เช่นไร” เขาถามนางอีก
“เคยขึ้นไปหนหนึ่ง ตอนไปเก็บสมุนไพร แต่ครานั้นหมอกมิหนาเพียงนี้ ดูท่าด้านในหุบเขาคงมีพืชที่เป็นพิษมาก มันถึงกระจ่ายออกมาทั่วบริเวณเช่นนั้น”
“เจ้ารู้เรื่องพวกนี้ด้วยหรือ เช่นนั้นก็สามารถตรวจดูคนที่ป่วยได้สิ” เมื่อนึกบางสิ่งได้จึงรีบถามทันที
“เอ๋! ท่านลืมหรือว่าตอนนี้ข้าเป็นหมอนะ ก็ต้องได้สิ แขนท่านข้ายังรักษามาแล้วเลย” คนตัวเล็กตอบออกไปทันที ดูท่าคนตัวโตคงมองข้ามนางไปจริงๆ
“เช่นนั้นวันพรุ่งเจ้าเข้าวังกับข้า”
“ขะ เข้าวัง ทำไมต้องเข้าไปด้วยล่ะ ถ้าเข้าไปแล้วฐานะก็ต้องถูกเปิดเผยน่ะสิ เช่นนี้ใครจะกล้ามารักษากับฮูหยินแม่ทัพกันล่ะ รายได้ข้าก็หดหายกันพอดี” เสียงบ่นดังขึ้น
“ที่เจ้าแอบออกมาเปิดร้านก็เพราะจะหาเงินงั้นหรือ”
“ก็ใช่น่ะสิ ท่านคงมิรู้ว่าแต่ละเดือนพ่อบ้านให้เงินข้าใช้เท่าไหร่ สองตำลึง ข้าซึ่งเป็นฮูหยินแม่ทัพ ได้เงินเดือนละสองตำลึง ท่านอยู่ตรงนี้ก็ดีแล้ว เป็นท่านใช่หรือไม่ที่บอกให้เขาจ่ายเงินแค่นี้ มิเช่นนั้นพ่อบ้านจะกล้าทำหรือ” ส่งเสียงบ่นปนตำหนิออกมาแล้วก็เบ้ปากตั้งท่าจะร้อง
“ข้ามิได้สั่ง และมิเคยบอกอะไรเกี่ยวกับเรื่องของเจ้า คิดว่าทุกอย่างจะส่งผ่านมาถึงตัวเจ้าเลย เพราะข้ามิเคยอยู่จวน ขอโทษที่ทำให้เจ้าลำบากมาหลายปี” เอ่ยเสียงเบา
เมื่อนึกถึงการกระทำของตน เขาผิดที่มิเอ่ยฝากฝังหรือกำชับก่อนไป ทิ้งให้คนตัวเล็กเผชิญชะตากรรมในจวน ซึ่งคนเหล่านั้นล้วนแต่เป็นคนของไทเฮาที่จัดการมา เพราะปกติฉางอี้มิได้กลับไปอยู่ บางครั้งอาศัยอยู่ที่นั่นมิต่างจากโรงเตี๊ยม นอนแค่สองสามคืนก็หายไปเป็นปี
“เอาไว้ข้าจะจัดการให้แล้วกัน ข้าหิวแล้วเจ้าไปเตรียมอาหารด้วย” สั่งเสียงเรียบแล้วเขาก็ลุกเดินออกมานั่งที่โต๊ะกลางห้อง คนบนเตียงจึงได้โอกาสลุกหมายจะเดินออกไป แต่เสียงทุ้มเย็นก็ลอยตามมาอีกจนได้
“อย่าลืมที่ข้าบอก ว่าเจ้าต้องนอนในห้องกับข้า”
มู่อันอันมิได้ตอบรับ แต่นางเดินออกไปอย่างรีบร้อน ก่อนจะสั่งคนของตนด้านนอกตามที่อีกฝ่ายบอก