9. ประกาศให้รู้
สองสามีภรรยาที่ห่างหายกันไปนาน ยามนี้กำลังนั่งเงียบอยู่ในห้องหลังจากทานอาหารเสร็จ เพราะต่างก็สับสนกับเรื่องที่เกิดขึ้นกระทันหันนี้ มิรู้ว่าต้องจัดการเช่นไรดี โดยเฉพาะแม่ทัพหนุ่มซึ่งเขามิค่อยเข้าใจตนเองนัก
“ท่านแม่ทัพยังจะขึ้นเขาอีกหรือไม่เจ้าคะ” อดมิได้จึงเอ่ยถามทำลายความเงียบ เพราะตอนนี้นั่งกันอยู่บนเตียง
“เอาไว้จัดการเรื่องในวังแล้วเสร็จก่อน ข้าเชื่อใจเจ้าได้หรือไม่” ใบหน้าคมคายหันกลับมาหาคนตัวเล็ก มู่อันอัน จึงมองสบนัยน์ตาอีกฝ่ายโดยมิหลบ
“ข้าแต่งกับท่านแล้ว ก็ต้องไว้ใจได้สิ แล้วข้าไว้ใจท่านแม่ทัพได้หรือไม่ล่ะ” คนตัวเล็กยังมิวายย้อนถามเขา
“หึ! เช่นนั้นก็ดี” ฉางอี้มิได้ตอบคำถามของนาง แต่ล้มตัวลงนอนบนเตียงแทน ร่างเล็กถึงกับถดหนีไปจนสุดมุม ทำเอาแม่ทัพหนุ่มหน้าถอดสีเมื่อเห็นเช่นนั้น
“คิดว่าข้าจะพิศวาสเจ้าหรือ” เปล่งเสียงหยันแก้เก้อ
“ก็มิได้คิดว่าท่านแม่ทัพจะพึงใจข้าหรอก แต่ก็พอจะรู้ว่าบุรุษเช่นพวกท่านสามารถหลับนอนกับสตรีโดยที่มิต้องชอบก็ได้ แต่ต่างจากข้าที่ต้องกล้ำกลืนฝืนทนถ้าต้องถูกชายใดก็ตามทาบทับอยู่บนร่างกาย โดยหาได้เกิดจากความชอบที่มีในใจ แม้เราจะแต่งงานกันแล้วก็เถอะ แต่ก็ยังมิเคยได้ใช้ชีวิตร่วมกันเช่นสามีภรรยาทั่วไป และเราก็พึ่งจะได้พบกันอีกครั้ง มู่อันอันแค่อยากขอเมตตาจากท่านแม่ทัพให้ข้าได้เตรียมใจเสียหน่อยเถอะ หากท่านต้องการจะมีอนุหรือสตรีอุ่นเตียงกี่คนก็ตามแต่ใจท่านข้ามิขัด”
เสียงหวานติดสั่นเล็กน้อยร่ายยาวบอกความประสงค์ของตน นางมิได้รังเกียจเขา แต่ยังมิพร้อมจริงๆ เพราะสามีทิ้งให้อยู่คนเดียวจนชิน จึงมิแปลกที่จะหวั่นๆ เวลาอยู่ใกล้กัน แต่ก็รู้ตัวว่าตนแต่งงานกับอีกฝ่ายแล้ว สักวันเรื่องพวกนี้มันต้องเกิดขึ้น หาทางเลี่ยงมิได้หรอก นางจึงมิผลักไสตอนที่แม่ทัพเข้าใกล้และฉวยโอกาสจูบ
“หึ!..ใจกว้างจริงนะ” เปล่งเสียงประชดออกมาทันที เมื่อฟังถ้อยคำของคนตัวเล็กจบ “นอนได้แล้ววันพรุ่งข้าจะพาเข้าวัง ส่วนเรื่องฐานะอย่างไรก็ต้องเปิดเผยในสักวัน มีบุรุษเข้าหามากหน้าหลายตาเช่นนี้ จะให้ข้าถูกครหาไปด้วยกระนั้นหรือ” เอ่ยเพียงเท่านั้นเขาก็ปิดเปลือกตาลง
ริมฝีปากอิ่มยู่ใส่เพราะอีกฝ่ายหันหลังให้ ก่อนจะค่อยๆ เอนตัวลงนอนมองแผ่นหลังของเขา ซึ่งแปลกที่มันทำให้ใจดวงน้อยรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาด มิได้ตื่นกลัวเขาอย่างที่คิดเอาไว้ในคราแรก จึงหลับตาลงและหลับไปในที่สุดจนกระทั่งรุ่งสาง
เปลือกตาสวยตื่นขึ้นมาก็มิเห็นคนตัวโตแล้ว ร่างเล็กลุกขึ้นนั่งก่อนจะคลานลงจากเตียง เป็นจังหวะที่ชิงลี่เปิดเข้ามา พร้อมกับกล่องสี่เหลี่ยมกำมะหยี่ คิ้วสวยผูกกันเป็นปมมองพี่เลี้ยงของตนที่เดินยิ้มเข้ามา
“พี่เอาอะไรมาด้วย แล้วทำไมต้องยิ้มเช่นนี้” ถามออกไป พร้อมกับลุกขึ้นมาดูข้าวของที่วางอยู่บนโต๊ะ
“ท่านแม่ทัพบอกว่าจะพาฮูหยินเข้าวัง ต้องแต่งกายให้ดูดีสมฐานะเจ้าค่ะ” ชิงลี่บอกในสิ่งที่ฉางอี้ได้สั่งไว้ ก่อนที่เขาจะออกไปข้างนอกกับจางเฉิง ทิ้งกวนถงเอาไว้
“ชิ! คงเกรงจะขายหน้าผู้คนสินะ” ว่าแล้วก็จับพลิกอาภรณ์ตรงหน้าดู ซึ่งมันเป็นเนื้อผ้าชั้นดี มิรู้ว่าเขาไปเอามาจากไหนได้แต่เช้าขนาดนี้
“แต่งกายเข้าวังก็จำต้องทำให้ถูกกาละเทศะขอรับ ข้าน้อยว่าฮูหยินรีบจัดการตนเองเถอะ อีกหนึ่งชั่วยามนายท่านจะมารับ” กวนถงเอ่ยบอกที่หน้าประตู
“เช่นนั้นข้าจะกลับไปแต่งตัวที่เรือนหลัก” เอ่ยจบก็เดินเลี่ยงออกมา มีชิงลี่เดินตามโดยเหลือบมองคนตัวโตด้วยหางตา เช่นที่นางมักทำเป็นประจำ
“ชิ! สักวันเถอะข้าจะเอาคืนเจ้าให้ได้” เสียงรอดไรฟันดังขึ้น เมื่อนึกถึงตอนที่นางเตะที่น่องขาและอีกหลายคราที่ถูกชิงลี่กลั่นแกล้งตั้งแต่พวกเขาเข้ามาอยู่ที่นี่ เกิดมายังมิเคยเสียรู้พลาดโอกาสให้สตรีใดเลยเขาต้องเอาคืน
ยามเฉิน [07:00- 08-59]
รถม้าจากจวนแม่ทัพใหญ่ของแคว้นปรากฎออกมาสู่สายตาผู้คนเป็นคราแรกตั้งแต่ซือฉางอี้เข้ารับตำแหน่งนี้ สีดำทมึนส่งผ่านกลิ่นอายของความสง่างาม รอยสลักอันละเอียดอ่อนพร้อมกับธงประจำตำแหน่งโบกสะบัดอยู่เบื้องบน บ่งบอกให้รู้ฐานะเจ้าของรถม้าได้เป็นอย่างดี มันเคลื่อนผ่านฝูงชนที่ออกมาจับจ่ายในยามเช้า จนทุกสายตาต้องหันมาจับจ้องมองดู
“คุณหนู นั่นมันรถม้าประจำตำแหน่งท่านแม่ทัพ ที่ฮ่องเต้องค์ก่อนทรงสั่งให้จัดทำเป็นพิเศษใช่หรือไม่เจ้าคะ งดงามยิ่งนัก” สาวใช้แห่งจวนสกุลหวังเอ่ยกับผู้เป็นนาย
ร่างเล็กของคุณหนูสามสตรีงามวัยสิบหกยืนนิ่งอยู่มิไกลจากรถม้าที่กำลังหยุดลงหน้าโรงหมอ นางอยากรู้ว่าผู้ใดจะเดินลงมา ใช่คนที่นางเคยช่วยชีวิตไว้ในยามเด็กหรือไม่ ซึ่งมันก็มิผิดคาดอย่างที่คิดเท่าใดนัก เมื่อคนผู้นั้นก้าวลงมายืนด้วยท่าทางสง่างาม
เสียงฮือฮาดังขึ้นเมื่อซือฉางอี้ปรากฎตัว ด้วยอาภรณ์สีน้ำเงินครามเข้ารูปเผยร่างอันสง่างาม บนขอบปกเสื้อปักลายมังกรสีทองตัดกัน เป็นทางยาวพาดมาจนถึงเข็มขัดรูปทรงหัวพยัคฆ์ ผมเขาเกล้าขึ้นโดยมีเครื่องประดับสีทองครอบไว้ พร้อมด้วยปิ่นลายมังกรเสียบประกบอีกที
ใบหน้าที่เคยมีหนวดเครายามนี้ถูกโกนออกจนเกลี้ยงเกลา เผยใบหน้าคมคายรูปงามราวเทพบุตร ซึ่งต่างจากคำล่ำลือที่เคยได้ยินมา แต่ก็ใช่ว่ามันจะมิจริงที่เขาเป็นคนเย็นชาเหี้ยมโหด และเงียบขรึมมิพูดจากับคนภายนอก ยามนี้แม่ทัพซือฉางอี้ก็ยังคงทำหน้านิ่ง
“นี่ใช่แม่ทัพซือหรือไม่ รูปงามนัก มิน่าเชื่อเลยว่าวันนี้ข้าจะได้เห็น” เสียงจากแม่ค้าในตลาดดังขึ้น
“รถม้าที่ฮ่องเต้องค์พระราชทาน ก็มีแค่ท่านแม่ทัพที่ใช้ได้ มิใช่ท่านแม่ทัพแล้วจะเป็นใครล่ะ”
“จริงด้วยว่า ได้ยินเสร็จศึกนานแล้ว ดูท่าคงพึ่งกลับมากระมัง แต่เหตุใดถึงมาที่นี่ล่ะ”
เหล่าสตรีในตลาดต่างก็พากันส่งเสียงซุบซิบชื่นชม ปนความสงสัยที่มี เพราะจู่ๆ แม่ทัพของแคว้นก็โผล่มาอยู่ในเมืองได้ ทั้งที่ปกติแทบจะมิมีใครรู้จักหน้าค่าตาผู้ที่ทำศึกปกป้องบ้านเมืองผู้นี้เลย
“คำนับท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ ข้าน้อยหวังลี่เหม่ย บุตรสาวเสนาซ้ายเจ้าค่ะ มิทราบว่าท่านแม่ทัพจำข้าได้หรือไม่” เสียงหวานของสตรีตัวน้อยเอ่ยขึ้น พร้อมกับท่าทีนอบน้อมมีมารยาทงามจนผู้คนต่างก็ส่งเสียงชื่นชม
ฉางอี้หันกลับมาหาคนที่เดินเข้ามาทักทายตน พอดีกับที่มู่อันอันกำลังเดินออกมา นางจึงหยุดชะงักอยู่ด้านใน รอให้สามีพูดคุยกับสตรีงามตรงหน้าร้านเสียก่อน
“ข้าจำมิได้” ตอบออกไปเสียงเรียบหาได้ใส่ใจอีกฝ่ายที่หน้าเหวอมิ
“คิดจะยืนหลบอยู่อีกนานแค่ไหน ข้ารีบ” เขาหันไปส่งเสียงดุใส่คนตัวเล็กด้านในทันที นัยน์ตาก็จ้องเขม็งไปยังคนที่ก้าวเดินลงมา ซึ่งมันสะกดเขาจนเผลอมองอยู่นานเลยทีเดียว จนนางลงมายืนอยู่เบื้องหน้าแล้ว
ปกตินางแต่งตัวด้วยอาภรณ์ชาวบ้านธรรมดาก็ว่างามแล้ว แต่พอสวมใส่ชุดสีฟ้าอ่อนพริ้วไหวเช่นนี้มันช่างขับให้ผิวพรรณผ่องยิ่งนัก ผมก็ถูกเกล้าขึ้นจนหมดแต่งเติมด้วยเครื่องประดับพอดีมิมากเกินไป
เขามองดูภรรยาตัวน้อยอย่างลืมตัว เพราะนางงามราวกับภาพวาดของจิตรกรเลื่องชื่อ คงมิใช่แค่เขาที่คิดเช่นนี้ ชาวบ้านต่างก็พากันส่งเสียงชื่นชมเช่นกัน