6.เจ้าเล่ห์
“พี่เป่ย มีอะไรก็ไปทำเถอะ” ว่าแล้วก็ยิ้มบางๆ ส่งให้ ทำเอาบุรุษหนุ่มถึงกับหูแดงอีกรอบ
มิรู้เป็นเพราะโกรธเรื่องเมื่อครู่ หรือเพราะผู้เป็นนายยิ้มให้ แต่น่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า เขาจึงเดินเลี่ยงออกไปโดยที่สายตาก็ยังมาดร้ายใส่ทั้งสาม
“ข้าเห็นเจ้ามีท่าทีสนิทสนมพูดคุยใกล้ชิดกัน จึงคิดว่าคนผู้นี้คงเป็นสามีเจ้า” เขายังมิวายเอ่ยเสียดสีอีกฝ่าย
“เอ๋!..ข้าน้อยจะคุยสนิทกับคนงานก็มิได้หรือเจ้าคะพวกเราอยู่ที่นี่ต่างก็สนิทสนมกันเป็นเรื่องปกติ บางครั้งเราก็มีเรื่องพูดคุยที่มิอยากให้ผู้อื่นรู้ และต้องเก็บเป็นความลับจริงหรือไม่เจ้าคะ” เสียงหวานเอ่ยจบก็ส่งยิ้มให้ ทำเอาผู้ที่จ้องจะหาเรื่องถึงกับนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะนึกขึ้นได้
“ข้าหิว ที่นี่มีอาหารหรือไม่”
“เจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าน้อยจะไปบอกคนครัว แต่ว่าค่าอาหารมิรวมกับค่าห้องนะเจ้าคะ ต้องจ่ายแยก” บอกไปแล้วก็ยิ้มกริ่ม ทำเอาคนตัวโตถึงกับชะงัก มิคิดว่าสตรีผู้นี้จะกล้าคิดเล็กคิดน้อยกับเขาทุกอย่าง หากรู้ฐานะที่แท้จริงดูท่านางคงจะมิกล้าปากเก่งกับเขาเป็นแน่
“ไปจัดมา แต่เจ้าคงรู้นะว่าถ้ามันแพงไป ที่นี่จะต้องถูกสอบสวน” แม่ทัพหนุ่มเปล่งวาจาขู่คนตัวเล็กบ้าง ทำเอาอีกฝ่ายถึงกับยิ้มแห้งต่างจากเมื่อครู่เป็นอย่างมาก
“เจ้าค่ะ” ตอบแล้วก็เดินถอยออกมา
“ท่านหมอผู้นี้ดูเหมือนจะหน้าเงินนะขอรับ ขนาดเก็บค่าห้องแพงเพียงนี้ยังจะมาคิดเพิ่มกับค่าอาหารอีก” กวนถงเอ่ยอย่างเหลืออด
“นั่นสิ มิรู้ว่าเป็นฮูหยินของผู้ใด ไยถึงปล่อยให้ออกมาทำงานหาเงินเช่นนี้ รอบตัวก็มีบุรุษเข้าหามากมาย หรือสามีนางจะตายไปแล้วขอรับ เลยต้องออกมาทำงานหาเงินเลี้ยงตนเอง” จางเฉิงออกความคิดเห็นบ้าง
คำพูดของคนสนิทที่เอ่ยออกมา มันทำให้แม่ทัพหนุ่มนึกถึงใครบางคนซึ่งเขาเองก็มิเคยสนใจนางเช่นกัน ตบแต่งเข้ามาแม้แต่หน้าตาก็ยังมิรู้เลยว่าเป็นเช่นไร
“เลิกเอ่ยถึงเรื่องของผู้อื่นเถอะ ติดต่อคนในหน่วยของเรา บอกไปว่าข้ากลับมาแล้ว พรุ่งนี้ไปเจอกันที่ศาลเจ้า”
เขาออกคำสั่งเสร็จก็เดินกลับไปยังห้องพัก และอยู่ที่นี่จนกระทั่งผ่านมาครึ่งเดือนแล้ว ในทุกวันก็จะออกไปสืบเรื่องเผ่าราอู ซึ่งคนของเขาสืบได้ว่ายังมีผู้ที่เหลือรอดอยู่
“นายท่านยามนี้รัชทายาทซูบผอมลงมากเลย หมอหลวงก็มิอาจปรุงยารักษาได้ ข้าน้อยเกรงว่า” กวนถงมิกล้าแม้แต่จะเอ่ยถ้อยคำออกมาอีก
“เรื่องด่วนยามนี้คงต้องหาหมอที่เก่งเข้าไปรักษาในวัง เพราะมิแน่ว่าหมอหลวงอาจจะรู้เห็นเป็นใจก็ได้”
“จริงด้วย ในวังก็ใช้แต่หมอข้างใน มิเคยลองหมอข้างนอกเลยสักครา มิแน่ว่าเรื่องทั้งหมดนี้คงมีคนวางแผนเอาไว้แต่แรก ข้าน้อยจะไปสืบดูว่าพักหลังมานี้หมอหลวงไปมาหาสู่กับผู้ใดบ้างนะขอรับ” จางเฉิงรีบออกความคิดเห็น ก่อนออกจากเรือนไปเพื่อสืบเรื่องอย่างที่เอ่ย แต่จู่ๆ เขาก็เดินกลับเข้ามาอีก
“มีอะไร” ฉางอี้ขมวดคิ้วก่อนจะถาม
“ตี้อ๋องมาที่นี่ขอรับ ได้ยินว่าบาดเจ็บ”
“ใครรักษา” ถามออกไปทันที
“ท่านหมอขอรับ” คนสนิทตอบแล้วก็ยิ้มแหย เพราะรู้ดีว่าผู้เป็นนายมิค่อยชอบใจนักยามที่มีบุรุษเข้าใกล้นาง
ฉางอี้ลุกขึ้นมายืนอยู่ข้างหน้าต่าง ก่อนจะมองไปยังห้องซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามในระยะห้าสิบก้าว มันสามารถมองเห็นได้พอดี เวลาที่คนตัวเล็กมีคนป่วยเข้ามารักษา ก็มักจะใช้ห้องนั้นเพื่อตรวจดูอาการ
“หมู่นี่ตี้อ๋องเข้ามาที่นี่บ่อยขึ้นนะขอรับ คงมิได้มาตามเกี้ยวท่านหมอกระมัง เขาเองก็มีสนมอยู่แล้ว อีกอย่างท่านหมอก็แต่งงานแล้วเช่นกัน” คนสนิทเอ่ยขึ้นอีก
“แต่ข้าก็มิเห็นว่าท่านหมอจะสนใจผู้ใดเลยนะ คนไข้ที่มาส่วนมากก็เป็นบุรุษทั้งนั้น ซ้ำยังเป็นพวกบุตรชายขุนนางเสียส่วนใหญ่ ดูท่าคงมิใช่แค่อยากมารักษากระมัง”
“เจ้าสองคนเลิกเอ่ยถึงเรื่องของนางเสียที หาได้เกี่ยวกับงานของเราไม่” คนฟังเริ่มหงุดหงิดหันมาตำหนิคนของตน แต่สายตาเขานั้นก็จ้องฝั่งตรงข้ามมิวางตา
“แล้วที่นายท่านทำอยู่คืออะไรหรือกวนถง”
“คงสอดแนมตี้อ๋องอยู่กระมัง เจ้าก็รู้ว่านายท่านหาได้สนใจนางไม่ ก็แค่ขวางหูขวางตาเท่านั้นแหละ” สองสหายหันมาซุบซิบกันถึงท่าทางของผู้เป็นนาย
“คนของเราสืบมาได้ความว่าเช่นใด คนของเขาทำอะไรบ้างในแต่ละวัน” เขาหันกลับมาถามคนของตน ก่อนจะนั่งลงข้างหน้าต่างนี่แหละ เพราะอยากรู้ว่าคนฝั่งตรงข้ามมีท่าทีเช่นไร สนิทสนมกันมากแค่ไหน
“บางคราก็ออกไปนอกเมืองขอรับ และขึ้นไปยังป่าไผ่บนหุบเขาพิรุณ และอยู่บนนั้นนานนับชั่วยามจึงจะกลับลงมา มิรู้ว่าไปพบผู้ใดกันแน่ จะตามขึ้นไปก็มิได้ โดยรอบมีหมอกหนา และบางวันก็เหมือนจะมีเวรยามเฝ้าขอรับ”
“หากมิได้ทำเรื่องชั่ว เหตุใดถึงมิอยากให้คนพบเห็น คืนนี้ข้าจะออกไปสืบดู” ฉางอี้เอ่ย แต่สายตากลับจ้องไปที่ร่างเล็กซึ่งยามนี้กำลังถูกตี้อ๋องดึงรั้งแขนไว้ จนมิอาจผละตัวออกมาได้
“เดี๋ยวสิ ข้าอยากเลี้ยงอาหารเจ้าเพื่อตอบแทนสักมื้อ เจ้าไปกับข้านะ” ซีเหยียนเอ่ยกับคนตัวเล็กตรงหน้าเสียงอ่อนโยน เขาถูกใจนางตั้งแต่แรกเห็นในวันนั้น พอคนสนิทสืบรู้ที่อยู่จึงได้ทำทีเข้าหาโดยอ้างความเจ็บป่วยที่สร้างขึ้นมาเอง อย่างวันนี้ก็ให้คนของตนเอามีดแทงที่ช่วงอก จะได้มาถอดอาภรณ์เผยร่างกายกำยำของตนให้นางเห็น
แม้จะรู้ว่าท่านหมอแต่งงานแล้วก็เถอะ แต่ได้ยินว่าคนตรงหน้ามิได้อยู่กับสามีมาเกือบสี่ปีแล้ว ตั้งแต่แต่งงานมา อีกฝ่ายก็หายไปมิไยดี นั่นคือสิ่งที่มู่อันอันต้องการให้ทุกคนรับรู้ ในตอนที่มาเปิดโรงหมอแห่งนี้ ซึ่งทั้งหมดมันก็คือเรื่องจริงทั้งนั้น เพียงแต่บอกมิหมดว่าใครกันสามีของนาง
“มิได้เพคะ หม่อมฉันแต่งงานแล้วจะไปกับบุรุษอื่นได้เช่นไร ท่านอ๋องปล่อยเถอะเพคะ”
“หึ! แต่งงานแล้ว เช่นนั้นสามีเจ้าล่ะ” เขาย้อนถามกลับทันที เพราะคิดว่าเรื่องทั้งหมดนางก็คงแค่กุขึ้นมา เพื่อกันคนเข้าหาเท่านั้น มิได้เป็นเรื่องจริงสักนิด
“สามีหม่อมฉันพึ่งกลับมาได้มินาน ยามนี้พักอยู่ที่เรือนด้านในเพคะ” รีบตอบออกไปเพื่อหาทางเลี่ยงทันที
“เช่นนั้นข้าก็จะไปดูให้เห็นกับตา นำทางสิ”
“อ้าว..อีตานี่ บอกว่ามีสามีแล้วยังมิเชื่ออีก” นึกในใจอย่างกังวล จนมันแสดงออกมาให้เห็นทางสีหน้า
“ฮูหยินนายท่านเรียกหาขอรับ” เสียงคนสนิทฉางอี้ดังขึ้น พร้อมกับเป่ยสวี่ที่ยืนหลบมุมอยู่มิไกล เขาเองก็อยากเข้ามาช่วย แต่เพราะเห็นคนรู้จักเดินเข้ามาในร้าน จึงมิอาจเปิดเผยตัวตนว่าเขานั้นอาศัยอยู่ที่นี่ และยังมิตาย
“นายท่านหรือ เจ้าหมายถึงใคร” จงซีรีบถามทันที
“นายท่านคือสามีของหมอผู้นี้ขอรับ” กวนถงแสร้งเอ่ยด้วยวาจาปกติ ทำทีมิรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
“เช่นนั้นหม่อมฉันขอตัวก่อนนะเพคะ” ว่าแล้วก็เดินเลี่ยงออกไปทันที ปล่อยให้คนของตนจัดการเรื่องอื่นต่อ โดยมีสายตาของตี้อ๋องมองตามจนกระทั่งถึงหน้าเรือน และร่างสูงของใครบางคนที่ยื่นมือออกมารับนาง
มู่อันอันเดินมาหยุดตรงหน้าคนตัวโต ซึ่งยืนจ้องนางเขม็ง ราวกับว่าทำสิ่งใดผิดมาเสียอย่างนั้น แต่ต้องแสดงละครต่อเพราะคนผู้นั้นยังมองอยู่ นางจึงยื่นมือไปหาคนตรงหน้าอย่างเลี่ยงมิได้ ร่างเล็กถูกดึงเข้าไปหาพร้อมกับสวมกอดทันที
และสิ่งที่มิทันคาดคิดก็เกิดขึ้นโดยที่มิได้ตั้งตัว เมื่อริมฝีปากหนาซึ่งมีหนวดขึ้นรำไรแนบลงมาประกบ โดยมีมือใหญ่ตรึงท้ายทอยนางไว้ให้แหงนรับจูบ ทำเอาคนสนิททั้งสองต้องรีบหันหนีในทันที
“อื้อ..อ่อย” เสียงอื้ออึงในลำคอดังขึ้น พร้อมกับมือเล็กที่ผลักอกแกร่งไปด้วย แต่ไหนเลยจะสู้แรงของคนโตกว่าได้ ซึ่งฉางอี้จูบดูดเม้มริมฝีปากนี้จนพอใจถึงได้ผละออก พร้อมกับเสียงแหบพร่าที่เปล่งออกมา
“นี่คือบทลงโทษที่เจ้ายอมให้ชายอื่นแตะต้อง”