4. คนแปลกหน้า
ฉางอี้ตำหนิอีกฝ่ายด้วยสายตา ทำเอาคนสนิททั้งสองของแม่ทัพถึงกับหน้าถอดสี เพราะดูท่าผู้เป็นนายจะมิยอมถอดออกแน่ๆ ปกติก็มิเคยมีท่าทีเช่นนี้ คงเพราะอีกฝ่ายเป็นสตรีกระมังจึงมิเชื่อใจให้รักษา
“หากมิถอดจะทำแผลได้เช่นไรเจ้าคะ สีหน้านายท่านดูเหมือนจะมีไข้ มิแน่บาดแผนนี้อาจจะติดเชื้อแล้วก็ได้ ขืนปล่อยไว้อาจต้องตัดแขนนะเจ้าคะ”
“บุรุษมิมีหรือไยเจ้าถึงจะลงมือเอง” เขาเอ่ยถามเสียงเย็น ทำเอาคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามถึงกับขมวดคิ้ว
“ที่นี่มีข้าน้อยเป็นหมอผู้เดียวเจ้าค่ะ หากนายท่านมิไว้ใจ เช่นนั้นเดินไปอีกสองตรอกจะมีโรงหมออีกแห่ง ที่นั่นมีหมอที่เป็นบุรุษอยู่ รีบไปรักษาเถอะเจ้าค่ะ เพราะอาการท่านดูท่าคงจะมิพ้นสองวัน น่าจะได้ตัดแขนเป็นแน่” คนตัวเล็กเอ่ยจบก็หมายจะเดินผละออกไป
แต่ก็ถูกมือแกร่งรั้งไว้ ก่อนที่เขาจะปล่อยมันทันทีเมื่อนึกได้ว่ามิควร “ข้าเหนื่อยอยากพักเร็วๆ เช่นนั้นเจ้าก็รักษาข้าแล้วกัน” เอ่ยบอกโดยที่มิมองหน้าสักนิด
“ทำเป็นเล่นตัว น่าปล่อยให้ติดเชื้อตายจริงๆ” คนเป็นหมอนึกในใจ ก่อนจะบอกให้คนเตรียมอุปกรณ์มาให้ กล่องสี่เหลี่ยมถูกเปิดออก ด้านในบรรจุสิ่งประดิษฐ์แปลกตายิ่งนัก ฉางอี้มองอย่างสนใจ เพราะเขามิเคยเห็นมันมาก่อน บางสิ่งดูเหมือนจะทำมาจากแร่เหล็กชนิดเดียวกับอาวุธ
“สิ่งของเหล่านี้” เขาถามทันที ซึ่งคนสนิทที่ยืนขนาบข้างก็คงสงสัยมิต่างกัน และเอาแต่มองมือขาวที่กำลังดึงเส้นไยบางอย่าง สอดเข้ากับเข็มงอขนาดเล็ก มิรู้ว่านางเอามันมาทำสิ่งใดกันแน่ ดูเหมือนจะยุ่งยากเหลือเกิน
“ถอดเสื้อสิเจ้าคะ” คนตัวเล็กมิได้ตอบคำถามอีกฝ่าย แต่กำลังเอียงคอมองคนตรงหน้า ซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามกับนาง และใกล้จนหัวเข่าชนกัน ทำเอาฉางอี้ถึงกับไปมิเป็น นานแล้วที่เขามิเคยอยู่ใกล้สตรีเช่นนี้
ครั้งสุดท้ายก็ตอนก่อนจะออกศึกนั่นแหละ ซึ่งเป็นเรื่องปกติของบุรุษ แม้จะแต่งงานแล้วก็เถอะ แต่ฮูหยินเขาก็เด็กนักที่จะทำเรื่องเช่นนั้นกับนาง เลยตัดปัญหาด้วยการซื้อกินมันเสียเลยง่ายกว่า
กวนถงรีบถอดเสื้อของผู้เป็นนายออก เมื่อเห็นท่านแม่ทัพยังนั่งเฉย ทำให้ได้เห็นสายตาดุของเขาในทันที ก่อนจะหันกลับมายังคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม ใจแกร่งวูบไหวเป็นคราแรกตั้งแต่เกิดมาสามสิบปี เมื่อเห็นสายตาที่เขามิสามารถอ่านออกเลยของคนตัวเล็ก
มู่อันอันมิเอ่ยสิ่งใด นางละสายตาจากรอยแผลเป็นที่มีให้เห็นมากมายบนร่างแกร่ง มายังแผลบนแขนซ้ายของเขา ซึ่งมันกลายเป็นสีคล้ำแล้วในตอนนี้
“ข้าน้อยจำต้องกรีดเนื้อที่เสียออกก่อน หากปล่อยให้พิษที่อยู่บนปากแผล เข้าไปในเส้นเลือดนายท่านคงอยู่ได้มิถึงสามวัน เจ็บมากแต่ต้องทนนะเจ้าคะ” เสียงหวานเอ่ยขึ้นราวกับว่ากำลังปลอบอีกฝ่าย
“แล้วแต่เจ้าเถอะ เป็นหมอมิใช่หรือ” ตอบออกมาเสียงเย็นชาเช่นเคย แต่สายตานั้นก็ยังคงจ้องอยู่ที่ใบหน้างาม ก่อนที่มันจะถูกผ้าสีขาวมัดปิดเอาไว้ เพราะมู่อันอันกำลังเตรียมตัวจะรักษาคนเจ็บแล้ว
“เจ้ามิกลัวหรือ” จู่ๆ เขาก็ถามขึ้น ซึ่งคงมิใช่แค่ฉางอี้หรอกที่สงสัย เพราะคนสนิททั้งสองก็เอาแต่จ้องสตรีตัวน้อยผู้นี้ ซึ่งดูแล้วนางมิน่าจะรอบรู้เรื่องวิชาแพทย์เลย แต่เหตุใดผู้เป็นนายจึงยอมให้นางรักษา ซ้ำตอนนี้นางก็จะกรีดเนื้อออกอีก มันเจ็บมิใช่น้อยเลยแค่นึกก็เสียวแล้ว
“ข้าน้อยมิได้สังหารคน แต่กำลังช่วยคน ไยต้องกลัวเจ้าคะ จะเริ่มแล้วนะเจ้าคะ หากทนมิไหวก็กัดสิ่งนี้ไว้” เอ่ยพร้อมกับล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าส่งให้ ฉางอี้รับมาก่อนจะมองดูเล็กน้อย คิดในใจว่าคงมิต้องใช้มันหรอก ทว่าเมื่อคนตัวเล็กลงมือใช้บางสิ่งที่เหมือนกรรไกรตัดชิ้นเนื้อเท่านั้น เขาก็ต้องรีบยัดผ้าผืนเล็กเข้าปาก กัดมันเอาไว้แน่นเพราะรู้สึกปวดบาดแผลมาก
ทำเอาคนสนิททั้งสองต่างก็ยืนตัวเกร็งไปด้วย เพราะมิเคยเห็นการรักษาเช่นนี้มาก่อน บาดแผลของผู้เป็นนายเปิดกว้างออกเป็นทางยาวเช่นตอนที่ถูกฟันใหม่ๆ
“เนื้อเสียถูกตัดออกหมดแล้วเจ้าค่ะ” แม้จะบอกเช่นนั้นแต่มือเล็กก็ยังง่วนกับการใส่ยาและเย็บบาดแผล โดยมีกวนถงเช็ดเลือดที่มันไหลออกมาให้ เรื่อยไปจนกระทั่งมือเล็กผูกปมอันสุดท้ายเสร็จ
นางบรรจงใช้ผ้าเช็ดเบาๆ ก่อนจะตามด้วยสุราที่หมักไว้เพื่อเอามาฆ่าเชื้อยามล้างแผลโดยเฉพาะ อาการแสบร้อนประดังเข้ามา จนเสียงครางเพราะความเจ็บปวดเล็ดลอดให้ได้ยิน ทำเอามู่อันอันอดหันไปมองใบหน้าอีกฝ่ายมิได้ ยามนี้ฉางอี้เหงื่อเต็มใบหน้าและลำตัว
มือขาวยกขึ้นเกลี่ยบนแก้มสากของอีกฝ่ายเบาๆ ทำเอาทั้งสามต่างก็ชะงักงัน โดยเฉพาะคนที่พึ่งร้องครางเมื่อครู่ การกระทำของนางมันทำให้เขาลืมความเจ็บไปเลย
“จากนี้ก็ทานยาทุกวัน มินานก็หายเป็นปกติเจ้าค่ะ”
เอ่ยบอกพร้อมกับถอดผ้าบนหน้าออก ทำให้ฉางอี้ได้เห็นรอยยิ้มของอีกฝ่ายที่ส่งมาให้ และแปลกใจที่นางปฎิบัติกับเขาราวกับว่ารู้จักคุ้นเคยกันดี ทั้งที่เป็นบุรุษแปลกหน้าโดยแท้ เพราะเขาพึ่งกลับมาจากชายแดน และมั่นใจว่ามิเคยรู้จักนางมาก่อน
“ขอบใจ ค่ารักษาเท่าไหร่” เขาถามเสียงเรียบ
“แล้วนายท่านจะพักที่นี่ด้วยหรือไม่ ถ้าพักจะได้คิดรวมกันไปเลย ถ้าไม่ก็จะได้คิดแค่ค่ารักษา”
“คิดรวมมา ข้าจะอยู่ที่นี่หนึ่งเดือน” คำตอบของเขามันทำให้คนสนิททั้งสองถึงกับเป็นงง แต่ก็มิมีเสียงทักท้วง
“อืม ถ้าหนึ่งเดือนสามคนก็ สองร้อยตำลึงเจ้าค่ะ ส่วนค่ารักษาก็ยี่สิบตำลึง รวมแล้วก็สองร้อยยี่สิบตำลึง”
“หา!..อะไรนะ นี่เจ้ารู้หรือไม่ว่าสองร้อยตำลึงเช่าโรงเตี๊ยมได้ครึ่งปีเลยนะ” จางเฉิงเอ่ยขึ้นทันที ทว่า!
“ได้ ข้าจะเช่าเรือนพักของเจ้า” แม่ทัพหนุ่มเอ่ยขึ้นขัดคนของตน ก่อนจะหันมาหาทั้งสองที่ยืนอยู่ข้างกัน
“นายท่านเรามิมีเงินติดตัวมากขนาดนั้นขอรับ ต้องกลับไปเอาที่จวน หรือไม่ก็ที่หน่วย” กวนถงกระซิบ แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือสายตาดุ “ขอรับข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้”
มู่อันอันมองตามร่างสูงของบุรุษข้างกายคนเจ็บก็นึกขันในท่าทีรีบร้อนนั้น “สงสัยออกไปหาเงินสินะ”
“เดี๋ยวคนของข้ากลับมาพร้อมเงิน จะพาข้าไปดูเรือนพักได้หรือไม่” ร่างสูงลุกขึ้นยืนให้คนของตนใส่เสื้อให้ ซึ่งสตรีตรงหน้าก็ยังคงใช้สายตา มองร่างกายของเขาเหมือนคราแรก ทำเอาแม่ทัพหนุ่มถึงกับขบกรามแน่น บอกมิถูกว่าเขารู้สึกเช่นไรยามที่เห็นนางมองมา
“กลัวหรือว่าสงสารล่ะ” อดมิได้จึงถามให้รู้แจ้ง
“ไม่ทั้งสองอย่างเจ้าค่ะ ข้าน้อยเพียงแต่คิดว่านายท่านต้องผ่านอะไรมาบ้างในแต่ละวัน ถึงได้มีบาดแผลเต็มตัวเช่นนี้ ต้องแลกกับกี่ชีวิต เพื่อปกป้องหลายชีวิต แล้วมีใครบ้างที่ปกป้องนายท่าน” เอ่ยจบก็ยิ้มบางๆ ส่งให้ ทำเอาคนฟังถึงกับนิ่งไปเพราะคำพูดนี้มิเคยมีใครพูดกับเขามาก่อน
“ฮูหยิน โรงหมอของท่านจ้าวขาดยาแก้ท้องร่วงเจ้าค่ะจึงให้คนมาขอยืม จะให้หรือเปล่าเจ้าคะ” ชิงลี่เดินเข้ามาถามผู้เป็นนายทันที เพราะเห็นว่ารักษาคนเจ็บเสร็จแล้ว