3.เหมือนมิได้แต่ง
ตลาดในเมืองหลวง
“เจ้าดูแม่นางน้อยผู้นั้นสิ เป็นลูกเต้าเหล่าใคร ไยผิวพรรณถึงดูดีนัก หน้าเนียนราวกับไข่มุกเชียว”
“แต่ข้าว่าสีผิวนางเหมือนลูกท้อมากกว่านะ อมชมพูน่าหยิกเชียว บุตรสาวใครกัน” แม่ค้านางหนึ่งเอ่ยขึ้น
“ดูท่าคงเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่เป็นแน่ ถึงได้งามเช่นนี้” เสียงชื่นชมยังคงมีให้ได้ยินตลอดทางเดิน ทำให้ผู้ที่เดินผ่านอดสงสัยมิได้ว่าเหล่าพ่อค้าแม่ค้าเอ่ยถึงผู้ใด
“เจ้าเห็นสตรีที่คนในตลาดเอ่ยถึงหรือไม่” คุณชายหาน บุตรชายคนโตของอัครมหาเสนา ชะเง้อมองหาที่มาของคำชมทันที ก่อนจะสะดุดลงที่สตรีนางหนึ่ง เห็นเพียงแค่ด้านหลังเขาก็คิดว่านางต้องงามมากเป็นแน่
หานลู่เผิงมิรอช้ารีบเดินตรงแหวกฝูงชนเข้าไปยืนขวางหน้านางไว้ทันที เพียงเท่านั้นเขาก็ถึงกับชะงัก
“เจ้าเป็นเทพธิดากระนั้นหรือ ไยถึงงามนัก”
ร่างเล็กถอยห่างออกจากเขาทันที ก่อนที่คิ้วสวยจะขมวดเป็นปมเมื่อเห็นคนแปลกหน้าจ้องมอง
“นี่ท่านเป็นใคร ไยต้องมายืนขวางทางเรา” ชิงลี่เปล่งเสียงดุอยู่ในที แต่คนตรงหน้าก็หาได้ใส่ใจมิ
“เจ้าเป็นใครกัน ไยข้ามิเคยเห็นหน้าเลย” ลู่เผิงมิเอ่ยเปล่า แต่ยังตั้งท่าจะเดินเข้ามาหาอีก
“ขออภัยคุณชาย ข้าน้อยแต่งงานมีสามีแล้ว สิ่งที่ท่านทำกำลังนำพาคำครหามาให้ข้าน้อย โปรดช่วยหลีกทางด้วยเจ้าค่ะ” เสียงหวานที่ได้ยิน ช่างน่าฟังยิ่งนักสำหรับลู่เผิง มันทำให้เขายิ่งอยากเข้าใกล้อีกฝ่าย แม้นางจะบอกว่าแต่งงานแล้ว เพราะถ้าเขาจะเอาลูกเมียใครก็มิสน
“ข้ามิได้เกี้ยวสามีเจ้าเสียหน่อย ไยจะต้องสนด้วย คงมิรู้สินะว่าข้าเป็นใคร” เขาเอ่ยออกมาโดยมิสนสิ่งใด
เพราะตำแหน่งของบิดานั้นสูงสุดแล้วในระดับชั้นขุนนาง สามีของสตรีตรงหน้าไหนเลยจะกล้าขัด ถ้าเขาจะเอ่ยปากขอภรรยามาเป็นอนุ หรือถ้านางทำตัวดีอาจจะได้เป็นถึงฮูหยินของเขาก็ได้
“ข้าน้อยขอตัวเจ้าค่ะ” เพราะมิอยากเสวนากับอีกฝ่ายให้ยืดเยื้อ มู่อันอันจึงเดินเลี่ยงออกมา แต่แขนเล็กกลับถูกดึงรั้งเอาไว้ ทำให้ต้องหยุดสองเท้าลง
“หึ! ข้าจะแบกเจ้ากลับเรือนเสียเดี๋ยวนี้ ดูซิใครจะกล้าเข้ามาช่วย” ลู่เผิงเอ่ยเสียงดังราวกับกำลังตะโกน
“เช่นนั้นเจ้าก็ลองทำดูสิ” เสียงทุ้มดังขึ้นด้านหลังของลู่เผิง ทำให้เขาต้องรีบหันกลับไปมอง “ตี้อ๋อง” เสียงอวดดีเมื่อครู่หายไป แปรเปลี่ยนเป็นสั่นเล็กน้อย
ตี้ซีเหยียนยกยิ้ม ก่อนจะมองไปยังสตรีตัวน้อยที่ยืนนิ่งอยู่มิไกลจากผู้ที่ลวนลามนางเมื่อครู่ “บุตรสาวบ้านใด ไยถึงงามนัก เหตุใดข้าจึงมิเคยพบ” เขานึกในใจและยังคงจ้องนางอยู่เช่นนั้น จนกระทั้งอีกฝ่ายเอ่ยขึ้น
“ขอบพระทัยท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันมีธุระต้องรีบไปทำต่อ ขอทูลลาเพคะ” ว่าแล้วก็ย่อตัวยกมือขึ้นประสานกันด้วยท่าทางนอบน้อม ก่อนจะรีบเดินออกไปจากตรงนี้ โดยมีสายตาของลู่เผิงมองตามตาละห้อย
“ท่านอ๋องจะให้กระหม่อมสืบหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าชอบที่เจ้ารู้ใจข้าตงไห่” เอ่ยเพียงเท่านั้นก็สะบัดพัดออกมาแล้วเดินผ่านหน้าลู่เผิงไป
“ชิ!..ฝากไว้ก่อนเถอะ สักวันข้าจะเอาคืน” เสียงรอดไรฟันเปล่งออกมา อุตส่าห์เจอเหยื่อที่ถูกใจแล้วแท้ๆ ดันมีคนมาขวางได้ แต่คนเช่นเขาก็หาได้ละความพยายามมิ หานลู่เผิงยังคงออกเดินตามหาสตรีตัวน้อยต่อ
ในตรอกหนึ่งซึ่งอยู่มิไกล มีบุรุษร่างสูงยืนมองภาพเมื่อครู่อยู่เช่นกัน คราแรกพวกเขาก็เดินมาเพื่อตรงไปยังจวน แต่ดันมาเจอหานลู่เผิงรังแกสตรีเสียก่อน จึงอยากรู้ว่าคนผู้นี้เป็นใคร ไยถึงกล้าวางอำนาจนักทั้งที่อยู่กลางเมือง ผู้คนก็มิกล้าแม้แต่จะเข้ามาช่วยสตรีนางนั้น
แต่พอเห็นตี้อ๋อง เรื่องที่ดูอยู่ก็ยิ่งสนุก แม้จะรู้สึกแปลกใจที่สตรีตัวน้อยมิมีท่าทีตื่นกลัวคนทั้งคู่ก็เถอะ
“ดูท่าสองคนนี้จะมิค่อยถูกกันนะขอรับ” จางเฉิงเอ่ยขึ้น ก่อนที่กวนถงจะสัมทับ
“คุณชายท่านนี้คงเป็นบุตรของขุนนางใหญ่เป็นแน่ ถึงได้กล้าทำเรื่องเช่นนี้กลางวันแสกๆ”
“หาเรือนสักหลัง ยังมิต้องกลับเข้าจวน” แม่ทัพหนุ่มออกคำสั่งทันทีเมื่อคิดแผนได้ คนที่นี่ล้วนแต่มิเคยเห็นเขา หากมิใช่ทหารที่ร่วมรบหรือคนของหน่วย มิมีทางจำได้ว่าคนผู้นี้คือแม่ทัพใหญ่ ที่คอยปกป้องแคว้น เพราะเขาไว้หนวดเคราเพื่อปิดบังใบหน้า แต่ก็มิได้รกจนน่าเกลียด
“จะมิกลับไปที่จวนสักนิดหรือขอรับ” จางเฉิงถามย้ำ
“เจ้าอยากไปก็ไปสิ ไยต้องมาถามข้า” ย้อนกลับคนสนิทด้วยสีหน้าสงสัยทันที
“นายท่านลืมหรือขอรับว่าแต่งงานแล้ว” ครานี้เป็นกวนถงที่เอ่ยขึ้นบ้าง ทำเอาผู้เป็นนายถึงกับนิ่งไป
เป็นเพราะฉางอี้ลืมไปเสียสนิทว่าเขานั้นแต่งงานแล้ว และตอนนี้ฮูหยินก็คงจะโตเป็นสาวมิต่างจากสตรีที่ถูกลวนลามเมื่อครู่ เพราะตอนที่แต่งงานกันนางก็ย่างสิบสี่ ยามนี้ก็คงจะสิบเจ็ดแล้วกระมัง
“อืม..ข้าลืม” ตอบเสียงเรียบ ก่อนจะเดินนำไปยังโรงเตี๊ยมใหญ่ของเมือง ทำเอาคนสนิททั้งสองถึงกับเป็นงง คิดว่าผู้เป็นนายจะกลับจวนไปดูหน้าภรรยาเสียอีก
“กวนถงเจ้าพานายท่านไปพักก่อน ข้าจะไปซื้อยา”
“พอดีเลย นายท่านไปหาหมอเสียหน่อยนะขอรับ มีเลือดซึมออกเช่นนี้ดูท่าคงปริอีกเป็นแน่” เอ่ยพร้อมกับดันผู้เป็นนายไปที่โรงหมอ ดูท่าคงพึ่งจะเปิดใหม่ได้มินาน เพราะเมื่อสามปีก่อนยังมิเห็นมี ฉางอี้จำต้องเดินตามคนของตนเข้าไป เพราะเขาเองก็รู้สึกปวดแขนอยู่มิน้อย คิดว่าคงเป็นเพราะบังคับม้าเดินทางมากระมัง
“ท่านลุงนายท่านข้ามีบาดแผลใหญ่ มิทราบว่ามีหมอที่พอจะรักษาได้หรือไม่” กวนถงรีบถามทันที
“มีสิ แต่คงต้องรอหน่อยนะ พอดีตอนนี้ท่านหมอกำลังทำแผลให้กับคนที่ตกต้นไม้อยู่ด้านใน เข้าไปนั่งรอที่ห้องทางนั้นก่อนก็ได้ มีน้ำชาแต่จัดการกันเองนะ ข้ามิว่าง” ชายแก่ผู้ทำหน้าที่เฝ้าหน้าร้านเอ่ยขึ้น
“ไปขอรับไหนๆ ก็มาแล้ว เผื่อที่นี่อาจจะมีข่าวสารก็ได้” จางเฉิงเอ่ยกับผู้เป็นนายราวกับกำลังหลอกล่อเด็ก
“เช่นนั้นข้าน้อยจะไปหาห้องพักนะขอรับ”
“ห้องพักหรือ? ที่นี่เราก็มีห้องพักนะ อยู่ด้านหลังนี่แหละ เป็นเรือนมีสี่ห้องนอน นายท่านสนใจหรือไม่” คนงานที่ยกน้ำชามาให้เอ่ยขึ้น
“อะไรกันที่นี่เป็นโรงหมอมิใช่หรือ ไยถึงมีที่พักด้วย” กวนถงเอ่ยถามทันที แต่คนที่ตอบกลับมิใช่เด็กหนุ่มผู้นี้
“พอดีข้าน้อยเช่าที่นี่รวมไปถึงเรือนสองหลังนั่นด้วยเจ้าค่ะ จึงมิอยากปล่อยทิ้งไว้ หากนายท่านทั้งสามมิอยากพักที่นี่ก็มิเป็นไรเจ้าค่ะ คนของข้าน้อยก็แค่แนะนําเท่านั้น ว่าแต่ใครกันที่บาดเจ็บเจ้าคะ”
ทั้งสามนั่งนิ่งมองคนที่เดินเข้ามาเอ่ยถ้อยคำเสียงหวาน ใบหน้านี้มันช่างสะกดสายตาทุกคู่ได้ดีเสียจริง ทำเอามู่อันอันถึงกับยิ้มแห้งเมื่อถูกมองจนทำตัวมิถูก
“เจ้าเป็นหมอ?” คนที่ได้สติก่อนผู้อื่นเอ่ยถาม
“เจ้าค่ะ คงเป็นนายท่านที่บาดเจ็บ หน้าซีดเชียว” ว่าแล้วก็เดินเข้ามาหา ทำให้ฉางอี้ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากตัวนาง เขาเผลอสูดดมเพราะมันทำให้รู้สึกผ่อนคลายมิน้อย
“ที่แขนใช่ไหมเจ้าคะ” เอ่ยถามอีกครั้งเมื่อเห็นรอยซึมบางอย่าง ซึ่งสีของชุดที่ใส่มันทำให้มิสามารถรู้ได้ว่าเป็นโลหิตหรือไม่
อีกฝ่ายพยักหน้ารับ แต่พอมือขาวจะถอดชุดเขาออก แม่ทัพหนุ่มกลับยึกยัก เป็นเพราะจู่ๆ ฉางอี้ก็มิอยากให้นางเห็นร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผล ซึ่งมันมีมิต่ำกว่าห้าแห่งบนตัวเขา