2.แม้แต่หน้าก็ไม่เห็น
เมื่อเสียงประตูปิดลงแล้ว คนที่นั่งอยู่บนเตียงก็รับรู้ถึงแรงกระแทกบางอย่าง ทำเอาร่างเล็กตระหนกมิน้อย เป็นเพราะคนตัวโตทิ้งตัวลงนอนเอาดื้อๆ มู่อันอันขยับตามความรู้สึก แต่อีกฝ่ายก็ยังคงเงียบอยู่ มือเล็กจึงอดมิได้แง้มผ้าคลุมบนหน้าออกดู
“หลับเหรอ จริงดิ นี่เขาหลับไปแล้วเหรอ” เจ้าสาวนึกในใจ ก่อนจะชะโงกดูเล็กน้อย เมื่อเห็นเขานิ่งแล้วจริงๆ จึงได้ลุกออกมานั่งที่โต๊ะ พร้อมกับดึงผ้าคลุมออก
“แบบนี้ก็ดีแฮะ หลับยันเช้าเลยนะเจ้าคะ” พูดขึ้นในหัวแล้วก็หันมาสนใจอาหารบนโต๊ะ เพราะต้องตื่นแต่เช้า ซ้ำยังมิได้กินอะไรนอกจากแป้งปิ้งชิ้นเดียวที่ชิงลี่เอามาให้ มู่อันอันเลยรู้สึกหิวมาก จึงรีบกินจนแน่นท้อง
“นอนนี่แล้วกัน” เสียงใสของเด็กน้อยเอ่ยขึ้น ก่อนจะเหยียดกายลงนอนบนพื้นพรมข้างโต๊ะทำงานของสามีหมาดๆ ที่พึ่งเข้าพิธีกันไป จวบจนรุ่งเช้าของอีกวัน
“คุณหนูเจ้าคะตื่นเถอะเช้าแล้ว” ชิงลี่เขย่าร่างเล็กเบาๆ เปลือกตาสวยเปิดขึ้น ก่อนจะบิดซ้ายขวาไปมาเช่นทุกวัน “ท่านแม่ทัพกลับไปที่ค่ายแล้วเจ้าคะ สั่งไว้ว่าให้คุณหนูอยู่ที่นี่ตามสบาย เพราะท่านแม่ทัพคงมิได้กลับมาอีกนาน” ชิงลี่รายงานข่าวทันที เพราะเจ้าของจวนออกไปตั้งแต่เช้ามืด นางเป็นห่วงผู้เป็นนายจึงรีบมานั่งเฝ้า
“หา! จริงหรือ” ปากน้อยเผยยิ้มออกมา ก่อนจะลุกขึ้นไปนอนบนเตียงกว้างต่อ
“ขอนอนอีกหน่อยนะ เมื่อคืนหลับมิสบายเลย” หันมาเอ่ยเสียงอ้อนกับพี่เลี้ยง
“ได้เจ้าค่ะ” อีกฝ่ายก็ตอบรับ ก่อนจะดึงผ้าห่มให้ด้วย มินานผู้เป็นนายก็หลับไปอีกรอบ จนกระทั่งเที่ยงของวัน
มู่อันอันถูกจับอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ ให้สมฐานะฮูหยินของจวนแม่ทัพ ซึ่งนางเองก็มิรู้ว่าจะแต่งไปให้ใครดู เพราะอยู่แต่ในจวนทุกวันจนกระทั่งผ่านมาสามเดือนแล้ว มู่อันอันก็ยังมิเคยเห็นหน้าสามีของตนเลย
“คุณหนูได้ยินว่าวันพรุ่งท่านแม่ทัพต้องไปทำศึกทางทิศใต้นะเจ้าคะ” ชิงลี่ทำหน้าตื่นเดินเข้ามา
“เหรอ” เสียงหวานตอบแค่นั้นก่อนจะหันมาสนใจของตรงหน้าต่อ ทำเอาชิงลี่ถึงกับหน้าเสีย เพราะผู้เป็นนายดูจะมิสนใจอะไรเลย นอกจากสิ่งประดิษฐ์ในมือ
“คุณหนูเจ้าคะ สามีจะไปรบนะเจ้าคะ ไยถึงมิมีท่าทีตกใจเลยสักนิด” ร่างเล็กของสาวใช้นั่งลงข้างกาย มู่อันอันหันมาหาคนของตนที่นั่งมองตาละห้อยก็นึกขัน
“พี่จะให้ข้ารู้สึกเช่นไรล่ะ แต่งมาอยู่ที่นี่สามเดือนแล้ว หน้าตาสามีเป็นเยี่ยงไรข้าก็มิรู้ จะให้ข้าอาลัยอาวรณ์คนที่มิเคยใส่ใจทำไมกันล่ะ อีกอย่างคิดดูนะถ้าออกไปเดินอยู่ข้างนอกแล้วชนกันขึ้นมา อย่าว่าแต่ข้าเลยเขาเองก็มิรู้หรอกว่าคนตรงหน้านี้เป็นใคร เพราะฉะนั้นปล่อยเขาไปทำหน้าที่ของตัวเองเถอะ เข้าใจแล้วนะ”
มู่อันอันเอ่ยด้วยถ้อยคำที่มิยี่หระเลยสักนิด
“เย็นชายิ่งนัก ข้าน้อยเคยได้ยินว่าท่านแม่ทัพเป็นคนโหดเหี้ยมไร้เมตตา และเงียบขรึม แต่พอมาเห็นท่านเป็นเช่นนี้แล้ว ก็มิรู้ว่าใครกันแน่ที่ดูน่ากลัวกว่ากัน” ชิงลี่เอ่ยประชดผู้เป็นนายทันที
“ก็ต้องเป็นท่านแม่ทัพอยู่แล้วสิ ข้ายังมิเคยฆ่าใครเสียหน่อย มีแต่จะช่วยคน เห็นหรือไม่ยาทั้งนั้น” เสียงใสเอ่ยขึ้น พร้อมกับชี้ใส่กระจาดไม้ไผ่ด้านนอก ซึ่งมีใบไม้ชนิดต่างๆ ตากแห้งอยู่เรียงรายกันเป็นชั้นๆ
“ยาอะไรหรือเจ้าคะ ข้าน้อยว่าจะถามหลายหนแล้ว ฮูหยินเอาต้นไม้พวกนั้นมาปลูกทำไม ดอกก็มิมีให้ดู แล้วก็มิเห็นจะงามเลยสักนิด” คนถามหันไปมองยังสวนหน้าเรือน ซึ่งยามนี้เขียวชอุ่มไปทั่วบริเวณ
“สมุนไพรทั้งนั้น มีติดเรือนไว้ก็ดีกว่าปล่อยพื้นที่ให้เสียเปล่า ยุคสมัยนี้โรคภัยมีมาก อีกหน่อยอาจจะเกิดโรคระบาดขึ้นก็ได้” มู่อันอันหันมาเอ่ยกับคนที่เท้าคางมอง
ซึ่งทำหน้าแปลกใจมิคิดว่าผู้เป็นนายรอบรู้เพียงนี้
“ข้าน้อยอยู่กับฮูหยินตลอด ไปเรียนรู้เรื่องพวกนี้ตั้งแต่เมื่อใดกันเจ้าคะ” อดมิได้จึงถามออกไปอีกครั้ง
“ข้าฝันเห็นปรมาจารย์ ท่านบอกเรื่องวิธีรักษาคนให้” อีกฝ่ายเอ่ยคำโป้ปดใส่ และยังทำหน้าตาจริงจังด้วย ทำเอาคนฟังถึงกับมุ่ยปากให้พร้อมกับค้อนไปหนึ่งที ก่อนจะลุกขึ้นยืน
“ข้าน้อยจะไปเตรียมอาหารให้นะเจ้าคะ” ว่าแล้วชิงลี่ก็เดินออกไปจากห้องปรุงยา ทิ้งให้มู่อันอันนั่งขันกับท่าทางของนาง ก่อนจะหันมาสนใจประดิษฐ์แป้นพิมพ์ต่อ
หลังจากวันนั้นมู่อันอันก็ใช้ชีวิตอยู่เช่นนี้ทุกวันโดยไร้เงาสามี เพราะอีกฝ่ายทำศึกอยู่ที่ชายแดน และกินเวลานานนับปีและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะคราแรกแม่ทัพภาคพ่ายแพ้จนเสียถึงสองเมือง พอจะตีคืนมาก็เป็นช่วงน้ำหลากอีก จึงทำให้เสียเวลาและเสบียง จนกลายเป็นศึกที่ยืดเยื้อยาวนานถึงสามปี กว่าจะตีเอาเมืองคืนกลับมาได้ ยามนี้รบชนะแล้วเหล่าทหารจึงได้พักกันจริงจังเสียที
“ท่านแม่ทัพบาดเจ็บเพียงนี้ ต้องรีบรักษานะขอรับ” จางเฉิงเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นบาดแผลบนต้นแขน ซึ่งมันมีขนาดใหญ่พอสมควร มิรู้ว่าผู้เป็นนายทนได้เช่นไรตั้งสามวัน จนกระทั่งชนะศึกแล้วก็ยังใจเย็นอยู่อีก
“เจ้าก็ใส่ยาให้ข้าทุกวันมิใช่หรือ จะให้รักษาอันใดอีก” เอ่ยเสียงเรียบ เขามองไปยังธงของแคว้นที่กำลังโบกสะบัดตามลมก็นึกเบาใจ ก่อนจะหันมาถามถึงเรื่องสำคัญ
“สาส์นยอมจำนนถูกส่งไปแล้วใช่หรือไม่”
“ขอรับ เห็นว่าฝ่ายนั้นยอมให้องค์ชายรองมาเป็นตัวประกันด้วย จนกว่าจะครบสัญญาสงบศึก”
“หึ! ก็ดี เช่นนั้นก็เตรียมตัวเคลื่อนทัพกลับเมืองหลวง ยามนี้ในราชสำนักมีการเปลี่ยนแปลงมาก ข้าคงต้องไปดูเสียหน่อย” ฉางอี้เอ่ยเสียงเย็นเช่นเคย หากมิใช่เพราะคนของหลานชายส่งจดหมายลับมา เขาก็คงมิรีบกลับ
“รัชทายาทป่วยหนักเพียงนี้ จะเป็นการลอบวางยาปลงพระชนม์หรือไม่ขอรับ” กวนถงเอ่ยถามทันที
“ข้าเกรงว่าจะเป็นเช่นนั้น แต่หมอหลวงก็บอกว่าเกิดจากอาการป่วยด้านใน หาใช่ถูกคนวางยามิ เรื่องนี้ข้าจะกลับไปสืบให้รู้แจ้ง” เอ่ยจบซือฉางอี้ก็เตรียมตัวออกเดินทาง ซึ่งเขาควบม้ากลับก่อนพร้อมคนสนิทของตน