บท
ตั้งค่า

1. ราชโองการ มิเป็นดั่งหวัง

ณ ค่ายเลี่ยงรุ่ย

“ท่านแม่ทัพหากมิเดินทางวันนี้จะไปเข้าพิธีมิทันนะขอรับ” จางเฉิงเอ่ยกับผู้เป็นนาย ซึ่งยามนี้ยังคงฝึกดาบอยู่กับทหารในหน่วยของเขา

นัยน์ตาคมดุจเหยี่ยวชำเลืองมองคนของตนเล็กน้อย แต่ก็ยังคงง้างดาบปะทะกับคู่ต่อสู้เช่นเดิม ทำราวกับว่าสิ่งที่ได้ยินเป็นเพียงเสียงนกเสียงกา

กระทั่งสายจนเกือบเที่ยงเขาจึงได้วางดาบลง ร่างสูงซึ่งมีเหงื่อโทรมกายจ้องมองคนสนิทก่อนจะยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เมื่อเห็นท่าทางร้อนรนของรองแม่ทัพผู้นี้

“ยืนอยู่เฉยๆ ไยเจ้าถึงเหงื่อออกมากนัก” ซือฉางอี้เปล่งเสียงเย็น ก่อนจะหยิบผ้าขึ้นมาซับเหงื่อไคลบนหน้า

“ท่านแม่ทัพยามนี้หากมิรีบเดินทางคงไปมิทันฤกษ์เป็นแน่ขอรับ ออกเดินทางเถอะ ข้าน้อยขอร้อง”

“จางเฉิง ท่านแม่ทัพยังมิร้อนใจเลย แล้วเหตุใดเจ้าถึงได้รีบนัก” คนสนิทอีกหนึ่งของซือฉางอี้เอ่ยขึ้น พร้อมกับขำในท่าทีของสหายที่ดูเหมือนจะตื่นกลัวเป็นอย่างมาก

ซือฉางอี้นั่งมองคนของตนก่อนจะถอนหายใจออกมา “ไปเตรียมม้า จะได้ออกเดินทาง” เขาเอ่ยเพียงเท่านั้นก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงอีกครั้ง บุรุษหนุ่มวัยยี่สิบหกผู้นี้ หน้าตาคมคายรูปงามยิ่งนัก แต่เป็นคนเงียบขรึมชอบเก็บตัว เขามักจะขลุกอยู่ที่นี่เสียมากกว่าจะหาความสำราญในเมือง

ว่ากันว่าซือฉางอี้ผู้นี้เหี้ยมโหดไร้ปรานี หากกระทำผิดก็มีแต่สังหารอย่างเดียว จนบางครารังสีอำมหิตในตัวก็แผ่ออกมาจนผู้คนหวาดหวั่น แม้เขาจะมีรูปโฉมสง่างามราวเทพบุตรก็เถอะ แต่ซือฉางอี้ผู้นี้ก็ยังดูน่ากลัวจนมิมีสตรีใดกล้าเข้าใกล้ จึงได้อยู่ครองตัวเป็นโสดอยู่เช่นนี้ แม้ว่าฐานะที่แท้จริงเขาจะเป็นถึงท่านอ๋องได้รับแต่งตั้งจากฮ่องเต้องค์ก่อน และเป็นท่านน้าของรัชทายาท ทว่าสุดท้ายก็มิอาจนำพาให้ซือฉางอี้เป็นที่ต้องการของสตรีในแคว้นนี้แม้แต่คนเดียว

เพราะการใช้ชีวิตของแม่ทัพผู้นี้ มักอยู่กับการฆ่าฟันแม้จะมิมีศึก เขาก็ยังประจำในหน่วยพยัคฆ์ทมิฬ ซึ่งเป็นฝ่ายสืบสวนตรวจสอบคดีซึ่งทุกคนต่างก็เกรงกลัว เพราะมีอำนาจมาก เรียกได้ว่าฮ่องเต้องค์เก่าให้สิทธิ์เขาเต็มที่

แต่อีกสองวันข้างหน้า ซือฉางอี้ต้องเข้าพิธีแต่งงานกับบุตรสาวของท่านโหว นามว่ามู่อันอัน ซึ่งเป็นบุตรสาวคนรองของตระกูลมู่ ว่ากันว่านางตายแล้วฟื้นเมื่อหนึ่งเดือนก่อน หลังจากนั้นก็มักจะเก็บตัวเงียบ มิหนำซ้ำนางยังมีอายุเพียงแค่สิบสี่ปี ยังมิถึงวัยปักปิ่นด้วยซ้ำ และที่สำคัญนางถูกจับให้แต่งแทนบุตรสาวคนโตของตระกูล เพราะเหม่ยอิงผู้เป็นพี่สาวนั้นมิยอม

“ใครมันจะแต่งกับคนโหดร้ายป่าเถื่อนเช่นนั้นกัน วันดีคืนดีเขาตวัดดาบบั่นคอลูกจะทำเช่นไร” นั่นคือเสียงของพี่สาวคนโตเอ่ยเมื่อสองวันก่อน หลังจากนั้นคนที่ต้องรับกรรมต่อก็คือมู่อันอัน ผู้ที่ยามนี้มีนิสัยเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนมาก หากเป็นเมื่อหนึ่งเดือนก่อนคงโวยวายไปแล้ว

“คุณหนู มิเป็นไรนะเจ้าคะ พี่จะตามไปทุกหนแห่ง มิทอดทิ้งคุณหนูเด็ดขาด” ชิงลี่สาวใช้คนเดียวที่ดีกับนาง และเป็นดั่งญาติที่เหลืออยู่ของมู่อันอัน เพราะคนในจวนนี้แต่ไหนแต่ไรก็มองนางมิต่างจากสาวใช้ในเรือน

เพราะมู่อันอันเป็นเพียงบุตรฮูหยินคนรองที่ได้ตายจากไปแล้ว ยามนี้นางจึงมิเหลือที่พึ่งใด เพราะบิดาก็เอาแต่นึกถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับหากตนได้เกี่ยวดองกับราชวงศ์ แม้ยามนี้ซือฉางอี้จะเป็นรองอ๋องเหยียนก็เถอะ แลกกับบุตรสาวที่มิสำคัญแต่ได้ฐานอำนาจมาเพิ่มก็ถือว่าคุ้ม

ยามนี้มู่อันอันนั่งเอาแขนเกยกับขอบหน้าต่าง ก่อนจะเอ่ยถามพี่เลี้ยงของตน โดยที่สายตายังคงมองทอดออกไปเบื้องหน้า “พี่ชิงลี่ แม่ทัพซือที่ว่านี้เขาโหดมากหรือ”

“ได้ยินมาเช่นนั้นเจ้าค่ะ แต่พี่เองก็มิรู้ว่าจริงหรือไม่ เพราะน้อยคนนักที่จะได้พบหน้าค่าตาของท่านแม่ทัพ เขาอยู่ในกองทัพตั้งแต่อายุสิบสี่ มิค่อยกลับเมืองหลวง” สิ้นคำของตนชิงลี่ก็ยกมือขึ้นลูบแขนไปมา

“เป็นอะไรพี่ชิงลี่” เด็กสาวหันมาถามอาการที่พี่เลี้ยงเป็นทันที เพราะดูเหมือนนางจะตื่นกลัวบางสิ่ง

“พอนึกถึงท่านแม่ทัพแล้วขนมันก็ลุกขึ้นมาเจ้าค่ะ เขาออกรบตั้งแต่อายุยังน้อย คงสังหารคนมานับมิถ้วน นี่ก็” มือขาวยกขึ้นทำท่านับนิ้วไปมา “สิบสองปีแล้วนะเจ้าคะที่ท่านแม่ทัพทำศึก ต่อให้มีบางช่วงที่กลับมา ก็ยังทำภารกิจของหน่วยพยัคฆ์ทมิฬ จัดการกับพวกคนร้ายอยู่ดี คุณหนูพี่ว่าเราหนีกันดีกว่านะเจ้าคะ หากแต่งไปแล้ววันดีคืนดีเกิดเขาง้างดาบใส่เช่นที่คุณหนูใหญ่เอ่ยจะทำเยี่ยงไร”

มู่อันอันมองพี่เลี้ยงของตนตาโตเพียงครู่ ก่อนจะขันออกมาน่าตี “ขำอะไรเจ้าคะ เรื่องคอขาดบาดตายเลยนะ”

“เรามิได้ทำสิ่งใดผิดต่อเขาไยต้องกลัวด้วยล่ะ ใครจะมาง้างดาบบั่นคอผู้อื่นได้ง่ายๆ กัน” ว่าแล้วก็หันออกไปทางหน้าต่างตามเดิม แม้จะเอ่ยออกไปเช่นนั้นก็ใช่ว่าคนตัวเล็กนี้จะมิคิดมาก แต่จะให้ทำสิ่งใดได้ในเมื่อมันคือราชโองการของเจ้าเหนือหัวที่มิมีใครกล้าขัด

“พี่สงสารคุณหนูนัก แผ่นดินนี้มีบุรุษมากมาย ไยคุณหนูของพี่ถึงโชคร้ายนัก ได้แต่งกับคนเหี้ยมโหดเช่นนั้น”

มู่อันอันหันกลับมาหาพี่เลี้ยงอีกครั้ง ก่อนจะยกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย แล้วส่ายหัวเบาๆ ให้กับความกังวลของนาง ซึ่งดูจะมีมากกว่าคนที่ต้องแต่งงานเสียอีก และชิงลี่ก็เป็นอยู่เช่นนั้น จนกระทั่งถึงวันมงคล

“คุณหนูคนของท่านแม่ทัพมาแล้วเจ้าค่ะ” ชิงลี่เดินเข้ามาพยุงผู้เป็นนาย เมื่อมองไปโดยรอบก็อดเศร้ามิได้ เพราะนางเองก็ต้องตามคุณหนูไปอยู่ที่จวนใหม่เช่นกัน ผิดกับคนที่กำลังถูกพาออกไปในยามนี้ เพราะนางมิได้อาลัยอาวรณ์ที่นี่เลย แต่ก็ใช่ว่าจะดีใจที่ได้ไปอยู่ในจวนใหม่ เพราะมิรู้ว่าต้องเจอกับอะไรบ้าง

“ดูแลตัวเองนะน้องหญิง” เสียงหยันของพี่สาวต่างมารดาเอ่ยขึ้น มู่อันอันได้แต่คว่ำปากมองบนอยู่ภายใต้ผ้าคลุม สาเหตุที่อยากออกไปจากที่นี่ก็เพราะเจ้าของเสียงนี้แหละ เกรงว่าสักวันตนจะทำเรื่องมิควรกับอีกฝ่ายเข้า

หากบิดามิลำเอียงรักบุตรเท่ากันนางก็มิต้องแต่งออกไปเร็วเช่นนี้ เพียงเพราะเห็นว่ามู่อันอันซื่อบื้อ หาได้มีความฉลาดเฉลียวเช่นพี่สาว ที่เขาหมายจะส่งนางไปเป็นสนมหรือชายารัชทายาท เผื่อวันข้างหน้าอาจได้เป็นฮองเฮา ท่านโหวจึงตัดสินใจยกมู่อันอันให้ซือฉางอี้ผู้โหดเหี้ยมแทน ซึ่งอย่างน้อยก็ยังได้เพิ่มฐานอำนาจตน

พอมาถึงประตูก็ล่ำลากับคนในครอบครัว เดาได้ว่าคงยิ้มหน้าบานกันเป็นแน่ เพราะได้เกี่ยวดองกับราชวงศ์เช่นนี้ สกุลมู่คงฉลองกันตลอดทั้งวันทั้งคืนมิพัก ขบวนเจ้าสาวเดินทางมาจนถึงหน้าประตูแล้ว เสียงของชาวเมืองต่างก็ดังขึ้นเรื่อยๆ และเป็นไปในทางเดียวกัน นั่นคือเจ้าบ่าวสง่างามเป็นอย่างมาก แต่ก็มีเสียงแทรกแซงถึงรังสีอำมหิตของเขาอยู่บ้างประปราย ก่อนจะเงียบลงเมื่อซือฉางอี้กวาดตามอง ทำเอาคนที่มายืนออกันที่หน้าจวนก้มหน้าทันที

“ข้าจะพาเข้าจวน” เสียงเย็นเปล่งออกมา ก่อนจะแบมือเพื่อให้อีกฝ่ายวางทับลงมา

เจ้าสาวตัวน้อยซึ่งมีความสูงแค่อกเห็นเช่นนั้นก็ทำตามอย่างว่าง่าย “โอ้โห..นี่มือหรือว่ากระดาษทรายเนี่ย ทำไมหยาบขนาดนี้ นี่สินะนักรบจับแต่ดาบ มือถึงได้หยาบกระด้างนัก” คนตัวเล็กคิดในใจ ขณะที่เดินอยู่ก็เหลือบมองเท้าของคนที่ก้าวอยู่ข้างๆ ไปด้วยจนถึงที่หมาย

“บ่าวสาวเตรียมตัวทำพิธี” แม่สื่อเอ่ยบอกก่อนจะจับทั้งคู่หันออกมาทางหน้าประตู

“1. คำนับฟ้าดิน” มู่อันอันก้มคำนับตามที่แม่สื่อบอก มิต่างจากผู้ที่ยืนอยู่ข้างๆ

“2. คำนับบิดามารดา” ครานี้ทั้งคู่หันกลับมายังป้ายวิญญาณของบรรพบุรุษซือฉางอี้ โค้งลงอย่างนอบน้อม

“3. สามีภรรยาคำนับกัน” พอมาถึงลำดับที่สามมู่อันอันยืนนิ่งอยู่พักหนึ่ง ทำให้แม่ทัพหนุ่มยกยิ้มที่มุมปาก

“คุณหนู คำนับสิเจ้าคะ” แม่สื่อเอ่ยบอกอีกครั้ง ครานี้คนตัวเล็กจึงก้มโค้งคำนับเช่นที่อีกฝ่ายทำ เมื่อเสร็จตรงนี้แล้วมู่อันอันก็ถูกพาไปรอยังห้องหอ

“คุณหนูกลัวหรือเปล่าเจ้าคะ ถึงแม้ท่านแม่ทัพจะหน้าดุมิยิ้ม อีกทั้งรังสีอำมหิตแผ่ซ่านรอบตัว แต่ก็ถือว่าเป็นบุรุษรูปงามมากนะเจ้าคะ มิแน่สิ่งที่เราได้ยินมาอาจเป็นแค่ข่าวลือก็ได้” ชิงลี่เอ่ยปลอบผู้เป็นนายทันที เมื่อเข้ามาในห้องหอแล้ว ทำเอาใบหน้าใต้ผ้าคลุมถึงกับยิ้มขำ

“ตกลงพี่ปลอบข้าหรือขู่กันแน่ ไยฟังดูแล้วถึงได้แปลกเช่นนี้” เสียงใสของเจ้าสาวเอ่ยขึ้น ก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบลงในเวลาต่อมา เพราะเจ้าบ่าวเดินเข้ามาแล้วนั่นเอง

“ออกไป!..ข้าจะนอน” สิ้นเสียงทุกคนก็หน้าตื่น

“คุณหนูพี่ไปนะเจ้าคะ” ชิงลี่ยังมิวายเอ่ยขึ้น แม้จะกลัวสายตาของท่านแม่ทัพมากก็เถอะ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel