Chapter 7 : เหตุใดต้องให้เฮาโทสะ
ณ เฮือนล้านนา (โรงแรม)
เมื่อมาถึงเฮือนล้านนา พระยาศรีพิพัฒน์ก็เดินเข้าไปถามหาเจ้านางละอองดาวทันที ครั้นเจอเถ้าแก่ที่กำลังนั่งคิดเลขด้วยลูกคิดอยู่ที่หน้าโต๊ะสำหรับจ่ายเงิน(เค้าน์เตอร์)จึงเอ่ยปากถามขึ้น
"เถ้าแก่ ที่นี่มีคนชื่อละอองดาวเข้ามาพำนักที่นี่หรือไม่?"
เถ้าแก่ไม่แม้แต่จักมองหน้าเอ่ยขึ้น
"อั๊วะไม่เห็งจักมีคงชื่อละอองดาวเข้ามาในเฮือนล้านนานี้เลยหนา ท่างน่ามาผิงที่แล้วหนา"
พระยาศรีพิพัฒน์ โยนอัฐให้ถุงใหญ่เอ่ยถามขึ้นอีกครา พระยานาสมที่อยู่ใกล้ๆทำท่าทางฟึดฟัดขัดใจ
"แล้วมีคนชื่อคำแสนเข้ามาพำนักหรือไม่?"
เถ้าแก่เห็นอัฐถุงใหญ่ก็ตาโตด้วยความโลภ จึงเงยหน้ามองผู้ที่มาเยือน ก็ต้องยิ่งตกใจเพราะมากันหลายคนนัก จึงทำท่าทางว่ากำลังคิด ใช้ปลายนิ้วชี้กับนิ้วโป้งมือขวาเกาคาง
"อั๊วะมิได้ถามนาม อีกอย่างลูกค้าของเฮือนอั๊วะ เป็งผู้มีบุงทั้งนั้น หากมีอัฐไม่ถึงก็เข้าพักไม่ล้าย เงิงมา กุงแจไป อั๊วะก็ม่ายล้ายสงใจชื่อเสียง เรียงนามอยู่แล้ว แต่เมื่อสายของวันนี้ มี สามคนผัวเมีย เข้ามาพักห้องที่ใหญ่ที่สุด และแพงที่สุด อยู่ชั้งบงโน่นนนน"
"ลักษณะท่าทางเป็นเช่นไรรือ?"
เจ้าพระยานาสมผู้เป็นบิดาร้อนใจจึงเอ่ยถามลักษณะท่าทางของแขกแก้วผู้มาเยือนเฮือนล้านนาแห่งนี้
"ผู้ชายตัวขาวสูง หน้าตาดีเลยทีเดียว ส่วนเมียทั้งสองคนของเขา ก็ดูรักใคร่กันดี คนนึงหน้าตาจิ้มลิ้ม ผิวพรรณผุดผ่องสดใส อีกคนหนึ่งค่อนข้างขี้อาย เอาผ้าคลุมหน้าคลุมตา แต่มองผ่านผ้าเข้าไป ก็สวยราวกับนางฟ้านางสวรรค์ ผิวพรรณผุดผ่องเป็นยองใย ดั่งกับเทพธิดาเลยขอรับ"
พระยาศรีพิพัฒน์และพระยานาสมได้ยินเช่นนั้นก็กระจ่างรู้ความว่า เป็นสามคนที่ตนตามหาเป็นแน่แท้ พระยาศรีพิพัฒน์รู้สึกโกรธคำแสนและเจ้านางละอองดาวเป็นอย่างมากจนควันออกหู หน้าแดงก่ำ ว่ากล้าดีอย่างไรมาอ้างตนว่าเป็นผัวเมียกัน จึงตะเบ็งเสียงออกมาใส่เถ้าแก่เฮือนล้านนาดังก้องด้วยโทสะที่สุมอยู่
"ไอ้อีพวกนั้น!!!มันอยู่ที่ใดกัน? เร่งนำเฮาไปเจอพวกมันบัดเดี๋ยวนี้!!!!"
"ใจเย็นเถิดหนาพระยาศรีพิพัฒน์ ละอองดาวอาจไม่ได้รู้เรื่องนี้ก็เป็นได้ ลูก"
พระยานาสมได้ฟังเช่นนั้นก็ตกใจยิ่งนัก เหตุใดไอ้คำแสนถึงกล้าอ้างตนว่าเป็นสามีของเจ้านางละอองดาวทำให้ลูกสาวตนเองแปดเปื้อนไปด้วย เจ้าพระยานาสมได้แต่ภาวนาในใจว่า ขออย่าให้เจ้านางละอองดาวรู้เห็นเป็นใจด้วยเลย
"ฮ่อ ๆ สักประเดี๋ยวเถิกอั๊วะจักพาไป เหตุใดจึงโมโหถึงเพียงนี้กัง?"
เถ้าแก่สะดุ้งโหยงตกใจตัวสั่น เสียงสั่น
"จักไม่ให้ข้าโมโหได้เยี่ยงไรเล่า หนึ่งในตนที่มันอ้างว่าเป็นเมียนั้นเป็นคู่หมายของข้า!!!!!"
พระยาศรีพิพัฒน์โมโหสุดขีด ตวาดเถ้าแก่อย่างเหลืออด เถ้าแก่ได้ยินเยี่ยงนั้นก็ตกใจมากขึ้นไปอีกจนทำอะไรไม่ถูก อุทานออกมาเสียงดัง
"ไอ้หยา!!ซี้ซั้วต่า แบบนี้อั๊วะก็ซวยล่ะสิ"
"สูจะซวยมากกว่านี้หากสูไม่บอกว่าสามคนนั้นอยู่ที่ใด!!?มิเช่นนั้นเฮาจักบั่นคอสูเสียบัดเดี๋ยวนี้!!!! เร็ว!!!!!"
พระยาศรีพิพัฒน์ที่ โมโหจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ ตวาดเถ้าแก่ออกไปอย่างคนเสียสติอีกครา ชักดาบออกมา ปลายดาบจ่อไปที่คอหอยของเถ้าแก่ มือไม้สั่น เถ้าแก่เห็นดาบที่พระยาศรีพิพัฒน์เอามาจ่อไว้ที่คอหอย ก็กลัวจนตัวสั่นรีบค้อมตัวลง
"ไอ้หยา!! อั๊วะกลัวแล้วอั๊วะกลัวแล้วอ่า อย่าเลย อย่าทำอั๊วะเลยอั๊วะจักพาไปประเดี๋ยวนี้แล เชิงตามอั๊วะมาเลยนายท่าน"
รีบผายมือให้กับพระยาศรีพิพัฒน์ พระยานาสมและบ่าวที่ติดตามมาเดินตามไปยังห้องที่เจ้าละอองดาวและสองบ่าวกำลังพักหลับอยู่
ก๊อกๆก๊อกๆก๊อกๆก๊อกๆ เคาะห้องอย่างรัว ๆ มือไม้สั่น
"มีใครอยู่ในห้องมั่ง? เปิดประตูให้อั๊วะสักประเดี๋ยวเถิก"
คำแสนที่นอนเฝ้าประตูอยู่สะลึมสะลืองัวเงียตะโกนถามออกไปด้วยไม่คิดว่าจักมีคนตามเถ้าแก่มาด้วย
"มีเหตุอันใดรือเถ้าแก่??"
"เอ่อ…."
"ไอ้คำแสนเปิดประตูบัดเดี๋ยวนี้เฮาเป็นพ่อของละอองดาว เจ้าพระยานาสม สูจงเปิดประตูบัดเดี๋ยวนี้" ด้วยความร้อนใจพระยานาสมรีบตะโกนให้คำแสนเปิดประตู
"ตายแล้ว!!!!..เจ้าพ่อมาเจ้า เจ้านางพวกเราจักทำเยี่ยงไรดีเจ้า?” คำปู้จู้ได้ยินเสียงพระยานาสมก็ตกใจยิ่งนักจนทำตัวไม่ถูก
"อย่าได้เปิดประตูเป็นอันขาดอ้ายคำแสน มิเช่นนั้นพวกเฮาจักถูกจับไปโบยเป็นแน่แท้"
"เจ้านางละอองดาวอยู่ข้างในหรือไม่? เปิดประตูให้พ่อหน่อยเถิด พ่อมิได้ต้องการจักลงโทษเจ้าดอกหนา แค่กลับไปคุยกันดีๆที่คุ้มเถิดหนาลูก"
"น้องนางละอองดาวของพี่เปิดประตูเถิดหนา พี่มารับเจ้ากลับไป เหตุใดจึงหนีการแต่งงานเล่า?"
"ข้าเจ้าไม่อยากเป็นอนุเจ้า..เจ้าพี่เจ้าพ่อ ข้าเจ้าไม่ออกไปเจ้า เจ้าพี่กับเจ้าพ่อกลับไปเถิดหนาเจ้า ข้าเจ้าอยากมีชีวิตเป็นของตัวเองเจ้า ข้าเจ้าไม่อยากแต่งงานเจ้า"
เจ้านางละอองดาวปล่งวาจาผ่านประตูห้องออกไป ทำให้พระยาศรีพิพัฒน์เดือดดาลแทบจะอยู่ไม่ติด แต่ก็ต้องแสร้งทำเป็นนิ่งเฉยให้มากที่สุด กัดกรามพูดอย่างใจเย็นอีกครั้ง แต่แท้ที่จริงในใจนั้นร้อนรุ่มยิ่งกว่าถูกไฟแผดเผา
"ออกมาคุยกันเถิดหนาน้องนางละอองดาวของพี่ หากเจ้าไม่ออกมาพี่จักพังประตูเข้าไปแล้วหนา"
"ละอองดาวออกมาเถิดหนาลูก มิมีอันใดดอก เฮาแค่ออกมาคุยกันหนาลูก เจ้าต้องการสิ่งใด พ่อจักจัดหาให้" พระยานาสมผู้เป็นบิดา หวังแค่ได้เจอได้คุยกับลูก จึงมิได้สังเกตหน้าตาท่าทางของพระยาศรีพิพัฒน์
"......"
ข้างในยังคงเงียบทั้งเสียงของเจ้านางละอองดาว คำแสนและคำปู้จู้
"เยี่ยงนั้นเฮาจะไม่ไว้หน้าแล้วหนา เหตุใดต้องทำให้เฮามีโทสะด้วย!!!!"
พระยาศรีพิพัฒน์ใช้เท้าที่ถนัดที่สุดก็คือเท้าขวาถีบประตูห้องเข้าไปอย่างสุดแรง กลอนประตูที่ขนาดเป็นไม้ถึงกับกระเด็นออก คำแสนที่ยืนใกล้ประตูถึงกับถอยร่นไปยืนถือดาบบังเจ้านางละอองดาวและคำปู้จู้ไว้เพื่อปกป้อง
"ไอ้คำแสนเก็บดาบบัดเดี๋ยวนี้!!!!"
เจ้าพระยานาสมออกคำสั่งเมื่อเห็นคำแสนยืนถือดาบเก้ๆกังๆเหมือนคนไม่เป็นดาบก็ขัดตายิ่งนัก
"ข้าน้อยไม่เก็บขอรับ วันนี้ถึงตายข้าน้อยจักต้องขอปกป้องเจ้านางละอองดาวด้วยชีวิตขอรับ ท่านเจ้าพระยานาสม"
"ไอ้คำแสน มิมีอันใดดอก แค่จักให้เจ้านางละอองดาวกลับคุ้มกับเฮาก็เท่านั้น จากนั้นสูจักไปไหนก็ไป"
"ไม่ได้ขอรับ!! ข้าน้อยให้คำมั่นกับเจ้านางน้อยละอองดาวแล้วขอรับว่าจักปกป้องเจ้านางน้อยด้วยชีวิต แลจักพาเจ้านางน้อยไปให้ห่างจากเจ้าพระยาศรีพิพัฒน์ขอรับ ข้าน้อยมิอาจผิดคำมั่นสัญญาได้ขอรับ ท่านเจ้าพระยานาสมได้โปรดปล่อยพวกเราไปเถอะขอรับ"
"สูคิดว่าสูเป็นใครรึไอ้คำแสน!!? ริอาจที่จะมาต่อกรกับเฮารึ คิดดีแล้วใช่หรือไม่?"
"ข้าน้อยคิดดีแล้วขอรับ ท่านเจ้าพระยาศรีพิพัฒน์ เหตุใดต้องบังคับขู่เข็ญเจ้านางน้อยละอองดาวด้วยขอรับ เจ้านางน้อยละอองดาวมิอยากแต่งงานกับท่าน เหตุใดท่านต้องทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ด้วยเล่าขอรับ?"
"สูคิดให้ดีหนาไอ้คำแสนว่าใครกันเล่าที่ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่หากสูปล่อยเจ้านางละอองคําให้ไปกับเฮา เฮาจักไม่เอาความสู สูจักไปที่ใดก็รีบไปเถิดเฮาจักไว้ชีวิตสู รีบไปเถิด"
พระยาศรีพิพัฒน์ ยังคงทำใจเย็น มิอยากเอาความไอ้คำแสน หากไอ้คำแสนปล่อยน้องนางของเขามาสู่อ้อมอก เขาก็คิดว่าจักไม่เอาความอันใดกับคำแสน สบตาพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังและหน้าตาที่เคร่งขรึม
คำแสนแม้จะหวาดหวั่น และขลาดกลัวต่อสายตาของพระยาศรีพิพัฒน์อยู่บ้าง แต่ก็ทำเป็นใจกล้าเพราะรักษาสัจจะวาจาว่า ไม่ว่าเจ้านางละอองดาวจักไปที่ใด หรือมีภัยอันตรายใดๆเขาจักต้องปกป้องเจ้านางน้อยละอองดาวให้จงได้
"มิได้ขอรับท่านเจ้าพระยาศรีพิพัฒน์ ข้าน้อยมิอาจผิดคำมั่นสัญญาได้ขอรับ ท่านเจ้าพระยาศรีพิพัฒน์นั่นแลขอรับ ปล่อยเจ้านางละอองดาวไปเถิดขอรับ ให้เจ้านางได้มีชีวิตใหม่ มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าน้อยล่วงเกินเลยขอรับ"
"จิ๊ จิ๊ จิ๊ จิ๊" พระยาศรีพิพัฒน์จิ๊ปากอย่างหัวเสีย ทั้งที่พยายามข่มใจให้เย็นไม่บุ่มบ่ามแล้ว แต่คำแสนก็ไม่รู้ความ จึงตะเบงเสียงออกมาอย่างอารมณ์เสียสุดขีด
"ไอ้คำแสน สูช่างไม่เจียมตัวเอาเสียเลยหนา คิดรือว่าคนเยี่ยงสูจักปกป้องดูแลเจ้านางละอองดาวได้หนา? ช่างไม่ตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาตนเองเสียบ้างเลยหนา หลบไป!!!!..เฮาจักเอาน้องนางละอองดาวของเฮากลับคุ้ม อย่าได้ขัดขวาง มิเช่นนั้นเฮาจักบั่นคอสูเสีย"
"ไม่ขอรับ ข้าน้อยไม่หลบขอรับ จักบั่นคอข้าน้อยก็บั่นเลยขอรับ ข้าน้อยยอมตายดีกว่าต้องเสียสัจจะวาจาขอรับ"
"ไอ้คำแสน!!!!..บังอาจเหลือเกิน พวกสูไปจับตัวมันลงไปข้างล่างเฮือนบัดเดี๋ยวนี้!!!!" เจ้าพระยานาสมที่ยืนมองอยู่ทนไม่ไหว จึงออกคำสั่งให้บ่าวไพร่ที่ตามมาด้วยจับตัวคำแสนออกไป
"เจ้าพ่ออย่าเจ้า อย่าทำเยี่ยงนี้เลยเจ้า เหตุใดเจ้าพ่อถึงเข้าข้างเจ้าพี่เล่าเจ้า เจ้าพ่อ? ก็เห็นว่าลูกไม่อยากแต่งงาน เหตุใดถึงบังคับลูกเล่าเจ้าพ่อ?"
"พ่อมิได้บังคับลูกในเรื่องแต่งงาน แต่ลูกหนีออกมากับบ่าวไพร่ที่เป็นผู้ชายเยี่ยงนี้ ตอนนี้ทั้งคุ้มรู้กันหมดแล้ว ไม่แคล้วจักรู้กันทั้งแคว้นหนา ฉะนั้นวันนี้อย่างใดเสีย ลูกก็จักต้องกลับไปกับพ่อแล้วแต่งงานกับเจ้าพระยา ศรีพิพัฒน์เสียเถิดหนา เพราะหากเจ้าไม่แต่งงานกับเจ้าพระยาศรีพิพัฒน์แล้วไซร้ คุ้มของเฮาจักต้องเป็นขี้ปากชาวบ้านเป็นแน่แท้"
"เจ้าพ่อจักสนใจขี้ปากชาวบ้านไปทำไมเล่าเจ้า? มิมีผู้ใดกล้าพูดดอกเจ้าปล่อยลูกไปเถิดหนาเจ้าพ่อ"
"จับตัวมันลงไป..เร็ว!!!!"
