บท
ตั้งค่า

Chapter 4 : แต่งงานแต่เป็นอนุ

"เหมือนขนาด เหมือนเฮาแท้ ๆ เลยอ้ายคำแสน เฮาชอบมาก ๆ เลยหนา อ้ายคำแสนเก่งมาก ๆ เลยหนา เจ้าพี่ เจ้าพี่ดูสิเจ้า เหมือนน้องมาก ๆ เลยใช่ก่อ(ไหม)เจ้า?"

พลันก็ลุกขึ้นเดินไปที่เจ้าพระยาศรีพิพัฒน์ เอารูปวาดที่คำแสนวาดชูขึ้นให้ดูใกล้ๆ

"เหมือนเจ้านางน้อยของพี่แท้ ๆ เลยหนา สวยและงดงามยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ ที่พี่เคยพบเจอมาเสียอีก"

มองภาพวาดแค่แป๊บเดียวแต่ก็หันหน้ามามองเจ้านางละอองดาวสายตาหยาดเยิ้ม คำแสนที่มองอยู่ก็ก้มหน้าลงทันที

"มันก็แน่อยู่แล้วสิเจ้า รูปนี้อ้ายคำแสนวาดให้น้องเพียงผู้เดียว เป็นรูปแรก มันก็ต้องมีครั้งเดียวนี่สิเจ้า มันจะมีครั้งไหนไปได้เยี่ยงใดเจ้า..เจ้าพี่ คิคิ"

"วันนี้น้องนางละอองดาวของพี่ ดูอารมณ์ดีมาก ๆ เลยหนา?"

"ก็แน่สิเจ้า..เจ้าพี่ น้องได้รูปวาดที่อ้ายแสนคำมอบให้ ในคุ้มนี้มิมีผู้ใดเคยมี น้องก็ต้องยินดีเป็นที่สุดหนาเจ้า เจ้าพี่ คิคิ"

"รูปวาดนี้ สำคัญกับเจ้านางของพี่มาก รือ?"

"มากสิเจ้า เจ้าพี่"

"มากกว่าปิ่นเงินปักผมของพี่ ที่พี่มอบให้รือ?"

"........"  เจ้านางละอองดาวนิ่งไปสักครู่จึงเอ่ยขึ้น

"จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรเล่าเจ้า เจ้าพี่ ปิ่นเงินปักผมนั้น กับรูปวาดนี้ ก็มีความสำคัญกับน้องทั้งสองอย่างนั่นแหละเจ้า มิมีสิ่งใดสำคัญกว่ากันเลยเจ้า เจ้าพี่ยืนตรงนี้ท่าจะร้อนแล้วหนา ข้าเจ้าว่า เฮาขึ้นไปบนเรือนใหญ่กันเถิดเจ้า เจ้าพี่  ป่านนี้เจ้าแม่คงเตรียมขันโตกไว้พร้อมแล้วหนา อ้ายแสนคำ พรุ่งนี้เฮาพบกันใหม่ที่เดิมตรงนี้เน้อ คำปู้จู้ไปส่งอ้ายคำแสนด้วยเน้อ ไปเจ้า เจ้าพี่" เจ้านางละอองดาวพูดตัดบทเพราะรู้สึกว่าบรรยากาศชวน อึดอัดยิ่งนัก ดูหน้าตาของเจ้าพี่พระยาศรีพิพัฒน์ที่เคร่งขรึม เจ้านางจึงคิดว่าหยุดความสนุกไว้ตรงนี้ก่อนดีกว่า จึงนำพระยาศรีพิพัฒน์ขึ้นเรือน ให้มาคุยกับเจ้าพ่อสักพัก เจ้านางจึงจักขอตัว

ทุกคนทานมื้อกลางวันด้วยกันเสร็จแล้ว พระยาศรีพิพัฒน์ก็คุยต่อ จนบ่ายคล้อยก็ไม่ยอมกลับ ชวนเจ้านางละอองดาวพูดคุยตลอดเวลา

เดิมทีเจ้านางละอองดาวตั้งใจจะคุยเป็นมารยาทเท่านั้นก็ต้องอยู่พูดคุยกันยืดยาวต่อไป จนพลบค่ำพระยาศรีพิพัฒน์ก็ไม่ยอมกลับ ขออยู่ทานมื้อค่ำที่คุ้มพระยานาสมต่อ ทำให้เจ้านางละอองดาวจากที่ร่าเริงสดใสอยู่ก็เริ่มหน้าง้ำหน้างอ

"เจ้าพ่อ วันพรุ่งลูกจะมาอีกเน้อ ขอรับ"

"อะหยัง(อะไร)? เจ้าพี่ จะมาอีกทำไมนักหนา เดี๋ยวนี้ไม่ราชการแล้วรือเจ้า?" เจ้านางละอองดาวท้วงขึ้นอย่างเสียอารมณ์ เพราะหากพระยาศรีพิพัฒน์มาอีก เจ้านางก็ได้เจออ้ายคำแสนน้อยลง เวลาที่จะเล่นสนุกก็น้อยลง จึงรู้สึกไม่พอใจสักเท่าไหร่ แต่เจ้าพระยานาสมก็พูดแทรกขึ้น

"ได้เลยลูก พระยาศรีพิพัฒน์ เจ้าจะมาเมื่อใดก็ย่อมได้ ที่คุ้มนาสมนี้ก็เหมือนบ้านอีกหลังหนึ่งของลูก มาได้ทุกเมื่อเลยหนา"

"แต่ดูเหมือนน้องนางละอองดาว มิได้อยากให้เจ้าพี่ของน้องคนนี้มาอีกแล้วใช่หรือไม่?"

พระศรีพิพัฒน์แกล้งตัดพ้อ เอาหน้าไปชิดเจ้านาง จนเจ้านางต้องขยับตัวออกห่าง

"มิใช่เยี่ยงนั้นดอกเจ้า เจ้าพี่ น้องก็แค่สงสัยน่ะเจ้า ว่าถ้าเจ้าพี่มาทุกวัน ราชการที่ทำอาจจะเสียเอาได้ อีกอย่างช่วงนี้เจ้านางเพียงฟ้าก็เจ็บออดๆ  แอดๆ อยู่ มันจะดูมิงามเอหนาเจ้า..เจ้าพี่ ที่ไม่อยู่ดูแลเจ้านาง"

"เจ้านางมิเป็นไรมากดอก แค่พักเสียหน่อยก็จักดีขึ้น เจ้านางเป็นเยี่ยงนี้มาหลายปีแล้ว น้องนางมิต้องห่วงเจ้านางเพียงฟ้าให้มากไปดอกหนา"

"เช่นนั้นก็ตามใจเจ้าพี่เลยเจ้า อยากจะทำเยี่ยงใดก็ทำเลยเจ้า ข้าขอตัวก่อนหนา ไหว้สาเจ้า..เจ้าพี่"

"เดี๋ยว จะไปไหนรือ? ค่ำมืดป่านนี้แล้ว เป็นแม่ย่าแม่ญิง มิควรออกจากเรือนหนา" มือหนาคว้าแขนบางไว้อย่างรวดเร็ว กำแน่นเหมือนรู้ว่าเจ้านางกำลังจะไปไหน สายตาดุดันไม่พอใจ แต่แสร้งทำน้ำเสียงเรียบเฉย

เจ้านางละอองดาวพอได้สบตากับพระยาศรีพิพัฒน์ ก็รู้สึกใจหาย จึงต้องหลบตาก้มต่ำ เหมือนคนกำลังหนีความผิด

"ข้าเจ้า จะไปเดินเล่นข้างล่างเจ้า จะดูว่าคำปู้จู้กินอันใดหรือยังเจ้า"

"จะไปห่วงมันยะหยังปะล้ำปะเหลือ(จะไปห่วงมันทำไมมากมาย)?พ่อว่า ประเดี๋ยวมันก็หาอะไรกินเองนั่นแหละหนา อย่าได้กังวลให้มันมากนักเลยลูกละอองดาว" พระยานาสมเอ่ยขึ้นเพราะเห็นว่าไม่ใช่เหตุอันควรในเวลานี้ที่จะลุกออกไปจากวงขันโตก

"ลูก…"

"มีอันใดรือลูก? ละอองดาว" จ้าวแสงดาวก็พลอยสงสัยไปด้วย

"จะไปดูคำปู้จู้ หรือคำแสน?" พระยาศรีพิพัฒน์เอ่ยขึ้นอย่างรู้ทัน ทำให้เจ้านางถึงกับหันขวับมามองหน้าแก้ตัวด้วยน้ำเสียงที่แหลมสูง

"เจ้าพี่!!! พูดเยี่ยงนี้ได้อย่างไรเจ้า? ข้าเจ้าจะไปดูคำปู้จู้เจ้า"

"แล้วเหตุใดถึงต้องลนลานเล่าเจ้า?"

พระยาศรีพิพัฒน์เค้นหนัก จนเจ้านางละอองดาวเหงื่อซึมออกมา ด้วยหาข้ออ้างไม่ได้ ว่าเจ้านางจะลงไปดูคำแสนว่าเป็นเยี่ยงไรบ้าง ทานข้าวทานปลาหรือยัง อีกทั้งอยากจะกล่าวคำขอบคุณที่คำแสนอุตส่าห์วาดรูปให้ตนด้วย

"ว่าอย่างใด? เจ้านางละอองดาวของพี่ เหตุใดถึงนิ่งไปเล่า?"

"ข้า ข้าเจ้าไม่ไปก็ได้เจ้า..เจ้าพี่ เจ้าพี่ปล่อยข้าเจ้าก่อนเถิดหนา ข้าเจ้าเจ็บเจ้า"

ท่าที สายตา และน้ำเสียงที่เอาจริงของพระยาศรีพิพัฒน์ ที่เจ้านางไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้ดูน่าเกรงขามยิ่งนัก เจ้านางจึงมิอาจดึงดันได้

"เจ้าพ่อขอรับ เจ้าพ่อจะว่าเยี่ยงใด? หากลูกจะแต่งน้องนางละอองดาวให้มาเป็นอนุของลูกขอรับ" กล่าวทั้งที่มือจับแขนเจ้านางไว้อย่างนั้น แต่ก็คลายความแน่นออกไปมาก

"เจ้าพี่!!!!/พระยาศรีพิพัฒน์!!!!" 

ทุกคนในวงขันโตกต่างตกใจกับคำพูดที่เจ้าพระยาศรีพิพัฒน์เปล่งวาจาออกมา รวมทั้งเจ้านางละอองดาวด้วยเช่นกัน

"ไม่!!!!..ข้าเจ้าไม่แต่ง!!!!" เจ้านางละอองดาวถึงกับสะบัดแขนจากพระยาศรีพิพัฒน์จนหลุด ลุกขึ้นยืนในวงขันโตกกระทืบเท้า กระฟัดกระเฟียดวิ่งลงเรือนไปทันที

 "ละอองดาว ลูก!!" เจ้านางแสงดาวตะโกนตามหลังไปหวังจะลุกขึ้นตามไป พระยานาสมจับต้นแขน ส่ายหน้าปรามไว้ เจ้านางแสงดาวจึงนั่งลงทันทีแล้วกล่าวขึ้นด้วยความสงสัย และใจเย็น

"เหตุใดกระทันหันเช่นนี้เล่าพระยาศรีพิพัฒน์ลูก"

"นั่นน่ะก่า(นั่นสิ) ไหนลูกบอกว่าลูกรักน้องแค่น้องสาว และมิมีวันแต่งงานกับน้องได้ มิใช่รือ? เหตุใดวันนี้ถึงกลับกลอกเล่าพระยาศรีพิพัฒน์?"

"นั่นเพราะลูกยังมิได้รู้ใจตนเองขอรับเจ้าพ่อ เจ้าแม่ ยิ่งลูกได้รู้ว่า เจ้าพ่อจะให้น้องนางละอองดาวออกเรือนกับพระยาชัยเดช

"ลูกก็รู้สึกกระวนกระวายยิ่งนักขอรับ ลูกจึงจักขอความกรุณาเจ้าพ่อ เจ้าแม่ ให้น้องนางละอองดาวออกเรือนกับลูกเถิดขอรับ ลูกจักจัดงานแต่งให้ยิ่งใหญ่มิให้น้อยหน้าเจ้านางเพียงฟ้าเลยขอรับ" พระยาศรีพิพัฒน์เอ่ยขึ้นด้วยหน้าตาเศร้าหมองรู้สึกผิด

"เรื่องนี้ต้องหารือกับละอองดาวก่อนหนาเจ้า พระยาศรีพิพัฒน์ แม่กับพ่อ แท้จริงมิมีอันใดติดขัดดอก แต่ลูกจักต้องรับรู้ความรู้สึกของน้องด้วย ว่าน้องจักรู้สึกเยี่ยงใดที่จักต้องแต่งเข้าไปเป็นอนุ ทั้งที่หมายหมั้นปั้นมือว่าจักต้องเป็นเมียเอกมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว"

จ้าวแสงดาวเอ่ยขึ้น ในใจก็รู้สึกโกรธเคืองมิใช่น้อย ที่พระยาศรีพิพัฒน์ดูหมิ่นน้ำใจของพระยานาสมสามีของตนมาก่อนแล้ว ตอนนี้จักมาดูหมิ่นน้ำใจลูกสาวของนางอีก เจ้าแสงดาวจึงไม่พอใจเป็นอย่างมากแต่ก็แสดงอาการออกไปไม่ได้ จึงได้แต่เก็บเอางำไว้

"ใช่ พ่อก็เห็นด้วยหนา พ่อจึงมิอยากบังคับเจ้านางละอองดาวหนาพระยาศรีพิพัฒน์ โปรดเข้าใจด้วยเถิดหนา"

พระยานาสมเองก็ใช่ว่าจะเห็นด้วยทั้งหมด เพราะเขาเองก็เคยเต็มใจยกเจ้านางละอองดาวให้ แต่พระยาศรีพิพัฒน์ปฏิเสธน้ำใจของเขา

ซ้ำวันนี้จักมาบังคับจิตใจของเจ้านางละอองดาวที่เป็นหัวแก้วหัวแหวนของเขาอีก ยังไงวันนี้ก็ขอเล่นแง่ไว้เสียหน่อย

"ขอรับ เจ้าพ่อเจ้าแม่ ลูกเข้าใจขอรับ เจ้าพ่อเจ้าแม่ มิต้องกังวลดอกหนา ลูกจักทำให้น้องนางละอองดาวออกเรือนกับลูกด้วยความเต็มใจให้ได้ ขอรับ"

พระยาศรีพิพัฒน์รู้ดีว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้แต่งงานกับเจ้านางละอองดาวในเพลานี้ ด้วยปฏิเสธไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนี้เขาจักไม่ยอมปล่อยเจ้านางไปไหนแน่ หากต้องสูญเสียเจ้านางละอองดาวให้แก่บ่าวผู้ต่ำต้อยผู้นั้น หรือพระยาชัยเดชผู้มักมากในกามอีกคน เขายอมบังคับขืนใจ ให้เจ้านางละอองดาวแต่งงานกับเขา แล้วให้เจ้านางเกลียดเขาไปทั้งชีวิตซะยังดีกว่า

"อืม เยี่ยงนั้นพ่อกับแม่ก็สบายใจหนา"

"ลูกขอตัวก่อนหนาขอรับ พรุ่งนี้ลูกจักมาใหม่ มาคุยกับน้องนางละอองดาวอีกคราขอรับ ลูกไหว้สาขอรับเจ้าพ่อเจ้าแม่" คิดการเสร็จก็ขอตัวกลับ

"อืมๆ เดินทางปลอดภัยเถิดหนาเจ้า"

"ขอรับ เจ้าพ่อเจ้าแม่"

เดินลงมาจากเรือนใหญ่ ก็ไม่เจอเจ้านางละอองดาวเสียแล้ว ยกยิ้มมุมปากขึ้นอย่างรู้ทัน สอดส่ายสายตามองหา จึงกลับหลังหันไปคุยกับพระยานาสมอีกครั้ง

"เจ้าพ่อเจ้าแม่ขอรับ ระหว่างลูก เจ้าพระยาศรีพิพัฒน์ กับบ่าวผู้ต่ำต้อยที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้า เจ้าพ่อกับเจ้าแม่จักเลือกผู้ใดเป็นเขยขอรับ?"

"ถามกระไรเยี่ยงนั้นเล่าเจ้า พระยาศรีพิพัฒน์ จะให้พ่อเลือกบ่าวที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้ามาเป็นเขยได้เยี่ยงใดเล่า? รู้ถึงไหนอายถึงนั่นเลยหนา" พระยานาสมพูดออกมาอย่างยิ้มแย้ม ไม่คิดว่าเรื่องที่พระยาศรีพิพัฒน์เอ่ยวาจาออกมาจักเป็นเรื่องจริงแต่อย่างใด

"นั่นสิลูก พระยาศรีพิพัฒน์ เหตุใดจึงเอ่ยวาจาเยี่ยงนี้ออกมาเล่า? ที่ผ่านมาแม่ก็มิเคยเห็นเจ้านางละอองดาวสนิทสนมกับบ่าวไพร่ผู้ชายตนใดเป็นนักเป็นหนาเกินกว่านายบ่าวเลยสักคนหนา"

จ้าวแสงดาวเอ่ยขึ้นสำทับด้วยรู้จักนิสัยลูกสาวของตนดีว่า หากได้สนิทสนมกับผู้ใด จักต้องมากล่าวรายงานกับนางแน่นอน ไม่มีวันปิดนางได้

"เป็นเยี่ยงนั้นลูกก็คลายกังวลขอรับ ลูกไปก่อนหนาขอรับ ลูกไหว้สา"

"อืมๆๆ ไป ไป พรุ่งนี้ค่อยเจอกันใหม่"

ล้อเกวียนพระยาศรีพิพัฒน์หมุนออกจากคุ้มไปห่างพอสมควร สองสามีภรรยาจึงได้พูดคุย ปรึกษาหารือกัน

"เจ้าคิดเยี่ยงใดรือ เจ้านางแสงดาว?"

"เรื่องใดรือเจ้า? เจ้าพี่"

"นั่นสินะ เรื่องใดก่อนดี?"

"หากเป็นเรื่องแต่งงาน ก็ต้องแล้วแต่ลูกอยู่แล้วเจ้า เจ้าพี่"

เจ้าแสงดาวเอ่ยขึ้นอย่างหนักใจ

"แล้วเรื่องบ่าวที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าล่ะ?" เจ้าพระยานาสมเอ่ยขึ้นอย่างหนักใจเช่นกัน

"ข้าเจ้าบ่(ไม่)รู้แล้ว ข้าเจ้าปวดหัว วันพรุ่งค่อยสอบถามหาความกับลูกดูก่อนเถอะเจ้า เจ้าพี่ คืนนี้ข้าเจ้าปวดหัว ข้าเจ้าไปอาบน้ำอาบท่านอนก่อนหนา เห้อออออ"

เจ้าแสงดาวรู้สึกปวดหัวกับเรื่องที่เกิดขึ้นกระทันหันในวันนี้จึงขอตัวก่อน เจ้าพระยานาสมก็เช่นกัน ทั้งสองคนพากันเข้านอนโดยไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย

 

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel