บทที่ 2 ห้าปีต่อมา พบกันอีก
“เสี่ยวฉือฉือ นายดูสิมีคนหลงฉันอีกแล้ว เฮ้อ หน้าตาสวยนี่ยุ่งยากจริง”
หลังจากข่งหรันได้ยินคำวิจารณ์จากผู้คนโดยรอบ ก็ใช้นิ้วจิ้มน้องชาย ทั้งๆ ที่ทำสีหน้าภูมิใจ แต่ดันแสร้งทอดถอนใจคล้ายหงุดหงิด
ข่งฉือไม่แปลกใจเลย กล่าวคล้อยตามแบบไม่จริงใจ “ใช่ๆๆ มองพี่กันหมดเลย พี่สาวสวยที่สุดแล้ว”
“เฮอะ พูดแบบส่งๆ ถ้าทำอีกฉันจะเบิ้ดกะโหลกนายให้แตก!”
ข่งหรันรู้จักคติพจน์อันเป็นสัจจะอย่าง “ตีน้องต้องตีให้ไว” อย่างลึกซึ้ง แกว่งหมัดใส่น้องชายคล้ายกับข่มขู่
ทุกคนโดยรอบขบขันจนเปล่งเสียงหัวเราะออกมากับการทะเลาะของเด็กน้อยน่ารักสองคน
ด้านหน้า ข่งหว่านเกอได้ยินเสียงหัวเราะจากรอบๆ ก็ดันแว่นกันแดดขึ้น แล้วหันไปเอ่ยเร่งอย่างจำใจ “พอได้แล้ว พวกหนูอย่าซน ตามหม่ามี้มาใกล้ๆ อย่าเดินหลง”
“ได้ค่า/คร้าบ~” สองจิ๋วแค่รีบตามไป
เห็นทิวทัศน์อันคุ้นเคย ข่งหว่านเกอเกิดความรู้สึกปลง
เวลาผ่านไปห้าปี เธอกลับมาอีกครั้ง
กลับมาคราวนี้ถ้าหาลูกชายคนเล็กที่หายตัวไปในปีนั้นไม่เจอ เธอจะยอมไม่เลิกรา
เธอนำสองจิ๋วออกมาจากปากทางเดินสัญจร โทรศัพท์เพิ่งมีสัญญาณกลับมา ก็มีโทรศัพท์โทรเข้า
เธอเหลือบมองเบอร์ที่โทรเข้า ก่อนจะหันกลับไปพูดกับลูกทั้งสอง “หม่ามี้ไปรับโทรศัพท์ก่อน พวกหนูเฝ้ากระเป๋าเดินทางอยู่ตรงนี้ อย่าวิ่งวุ่นนะจ๊ะ”
“ลึกลับจัง หม่ามี้ หม่ามี้คงไม่ได้คบแฟนใหม่ลับหลังเราหรอกใช่ไหม?” ข่งฉือถามด้วยหน้าตาจริงจัง
“หม่ามี้ ถ้าเป็นเรื่องจริงหนูสนับสนุน แด๊ดดี้ตายมาตั้งหลายปี หม่ามี้ควรหาแด๊ดดี้คนใหม่ให้เราตั้งนานแล้ว แต่ตกลงกันก่อนนะ ถ้าหน้าตาน่าเกลียดไม่เอา” ข่งหรันแสดงสีหน้านินทา
“หม่ามี้ แด๊ดดี้ตายไปแล้วจริงๆ เหรอครับ?” ผ่านไปตั้งหลายปี ข่งฉือยังไม่ค่อยเชื่อคำพูดของหม่ามี้
“จริงน่ะสิ หม่ามี้โกหกพวกหนูได้หรือไง ถ้าไม่ใช่ตอนนั้นแม่น้ำไหลเร็วเกินเอาศพขึ้นมาไม่ได้ ตอนนี้หญ้าที่หลุมศพคงสูงสามฟุตแล้ว!”
ข่งหว่านเกอลูบหัวสองจิ๋วอย่างละอายใจ แล้วเอ่ยปลอบ “พวกหนูอย่าคิดเลอะเทอะ หม่ามี้แค่กระหายน้ำ รับโทรศัพท์เสร็จจะไปซื้อกาแฟสักแก้ว พวกหนูต้องเป็นเด็กดีรอหม่ามี้อยู่ตรงนี้ โอเคไหม?”
หลังจากข่งหว่านเกอกำชับซ้ำๆ ก็เดินไปยังที่ไม่ไกลสามารถมองเห็นลูกได้ แน่ใจแล้วว่าสองจิ๋วไม่ได้ตามมา ถึงได้กดปุ่มรับสาย
ที่ปลายสายโทรศัพท์ เป็นเสียงอบอุ่นของเหยียนซู่พี่ชายคนโต “ตอนนี้เธอถึงเจียงเฉิงแล้วใช่ไหม? ต้องระวังตัวหน่อยนะ มู่หรงถิงกำลังตามหา ‘ฉานอี’ อยู่”
“ว่าไงนะ ผ่านไปตั้งหลายปี ไอ้เวรนี่ยังไม่เลิกตามหาฉันอีก?” ข่งหว่านเกอประหลาดใจนิดหน่อย
“ไม่ใช่ มู่หรงถิงไม่รู้ว่าฉานอีคือเธอ ได้ยินมาว่าที่บ้านเขามีคนป่วย หาแพทย์แผนปัจจุบันมานับครั้งไม่ถ้วนก็ไร้ผล เลยอยากเชิญหัตถ์เทพแผนจีนชื่อดังอย่างเธอไปช่วยดูหน่อย”
อีกฝ่ายหยุดชะงักไป ก่อนจะเสริมอีกประโยคหนึ่งอย่างหาได้ยาก “ไม่งั้นเธอลองไปดูหน่อยไหม ถ้ารักษาหาย จะได้คลายความขัดแย้งระหว่างพวกเธอพอดี”
“ช่างเถอะ ความขัดแย้งระหว่างเราไม่ได้คลี่คลายง่ายๆ ยิ่งกว่านั้น ฉันกลับมาคราวนี้แค่อยากตามหาลูกชายเงียบๆ ถ้าไม่สุดวิสัย ฉันไม่อยากเจอเขา ลูกหรันกับลูกฉือจะได้ไม่เปิดเผยตัวก่อนที่ลูกชายคนเล็กจะหาเจอ”
“ก็ได้ งั้นเธอก็ระวังตัวด้วย”
“เข้าใจแล้ว ไม่ต้องห่วงนะคะ”
หลังจากวางสาย ข่งหว่านเกอฉวยโอกาสช่วงรอกาแฟ ไปซื้อหน้ากากอนามัยสามชิ้นที่ร้านสะดวกซื้อ
หลังจากเจอสองจิ๋ว เธอก็ควักหน้ากากอนามัยออกมา ปกปิดสองจิ๋วอย่างแน่นหนาอย่างช่วยไม่ได้
“มา ใส่หน้ากากอนามัยไว้ คนเยอะแบคทีเรียก็เยอะ ป้องกันโรค”
ข่งหรันหน้าตาเหมือนเธอ แต่ข่งฉือคล้ายคลึงกับมู่หรงถิงหกเจ็ดส่วน อย่างไรที่นี่ก็คือเจียงเฉิง เธอระวังหน่อยดีกว่า
“หม่ามี้ ต้องใส่จริงๆ เหรอ?” ข่งหรันมองหน้ากากอนามัยอย่างเศร้าใจ
ใส่เจ้านี่ไว้ คนอื่นก็ชื่นชมหน้าตาล้ำเลิศของเธอไม่ได้น่ะสิ
“ต้อง!”
“งั้นก็ได้” ข่งหรันเห็นข่งหว่านเกอเด็ดเดี่ยว จึงประนีประนอม
ในยามปกติหม่ามี้จะดูอ่อนโยน แต่เวลาระเบิดอารมณ์นั้นน่ากลัวสุดๆ เธอไม่กล้ายั่วยุ
ทั้งสามติดอาวุธกันเสร็จสรรพ ข่งหว่านเกอก็ลากกระเป๋าเดินทางขณะพาลูกเดินไปที่ทางออกสนามบินต่อ
คาดไม่ถึงว่าเดินไม่ถึงสองก้าว ข่งหรันพลันร้องตะโกน “หม่ามี้ระวัง!”
ข่งหว่านเกอยังไม่ทันตอบสนอง ก็ชนเข้ากับชายคนหนึ่งที่กำลังคุยโทรศัพท์ กาแฟในมือรดใส่ร่างอีกฝ่าย
เธอกำลังคิดจะเอ่ยขอโทษ เหนือศีรษะก็มีเสียงเย็นขรึมหนึ่งลอยมา “เดินดูทางหน่อยสิ”
ข่งหว่านเกอชะงักงัน
เสียงนี้มัน……มู่หรงถิง?!