บทที่ 5 องค์หญิงตัวเล็ก
บทที่ 5 องค์หญิงตัวเล็ก
ชาวบ้านตางพากันเดินถอยห่าง และแม่ของเด็กหญิงก็ได้บอกกับฟางลี่เว่ย
"ข้าเองก็ไม่ได้อยากยุ่งนักหรอก เจ้าเองก็ดูแลองค์หญิงให้ดีและอย่าพานางออกมาที่ตลาดอีก ข้าไม่อยากให้ลูกๆ ของข้าต้องมาเจ็บตัว" แม่นมวิ่งมาก็เห็นองค์หญิงหนิงเอ๋อกอดอยู่กับฟางลี่เว่ยสะอื้นไห้และสั่นกลัว
"เกิดอันใดขึ้น เหตุใดองค์หญิงถึงได้ร้องไห้ออกมาเช่นนี้"
"นางถูกกล่าวหาว่าทำร้ายร่างกายของเด็กหญิงผู้นั้นเจ้าค่ะ แถมองค์หญิงยังโดนทำร้ายอีกด้วยเราจะเอาอย่างไรกันดีเจ้าคะ"
แม่นมกวาดตามองชาวบ้านที่ยืนมุงดูด้วยสายตาอาฆาตจนผู้คนกวาดกลัว
"ต่อจากนี้หากมีผู้ใดกล้าทำร้ายองค์หญิงอีกข้าจะให้ทหารจับผู้นั้นไปลงโทษถึงองค์หญิงถูกเลี้ยงอยู่นอกวังแต่อย่างไรนางก็มีเลือดเนื้อเชื้อไขของฮ่องเต้หากผู้ใดกล้าทำร้ายก็เปรียบเสมือนดูหมิ่นเบื้องบนเช่นกัน" พูดจบแม่นมก็พยุงตัวขอหนิงเอ๋อลุกขึ้นเดินออกมาและกลับไปที่เรือนของตนอย่างโมโห
เมื่อมาถึงที่เรือนองค์หญิงเอาแต่นิ่งเงียบจากที่เคยยิ้มแย้มแจ่มใสก็เอาแต่เก็บตัวเงียบอยู่ในห้องเพียงลำพัง ทำให้แม่นมเป็นห่วงอย่างมาก นางจึงเดินเข้าไปพูดคุยกับองค์หญิง
องค์หญิงที่นั่งกอดเข่าอยู่ที่ริมหน้าต่างมองดูนกที่บินไปมาอย่างเหม่อลอย เฝ้าคอยคิดถึงคำพูดของชาวบ้านที่ต่อว่านางมาตลอด
"องค์หญิงเพคะ หม่อมฉันขอเข้าไปนะเพคะ" แม่นมได้เอ่ยถามแต่ก็ไร้เสียงที่ตอบกลับ
"องค์หญิงทรงคิดอันใดอยู่รึเพคะ วันนี้อยากออกไปเดินเล่นที่หลังสวนมั้ยเพคะหม่อมฉันจะพาไปเอง หรือว่าอยากจะวิ่งเล่นซ่อนแอบกับหม่อมฉันมั้ยเพคะ "
"แม่นมข้าไม่อยากทำอันใดทั้งนั้น แต่ข้าอยากรู้ว่าข้าคือใคร แล้วเหตุใดแม่นมกับท่านแม่ต้องโกหกข้าด้วย แล้วข้าไปทำอันใดให้ผู้ใดต้องตาย ข้าไม่เข้าใจเลย" หนิงเอ๋อพูดออกมาพร้อมสะอึกไห้ นางคิดว่าตนเองนั้นเป็นบุตรสาวของฮองเฮามาตลอดจนกระทั่งได้รู้เรื่องจากการที่ไปตลาด ทำให้นางรู้สึกเหมือนถูกหลอกมาตลอด
"โธ่องค์หญิงท่านจะไปฟังคำพูดชาวบ้านพวกนั้นทำไมกันเจ้าคะ พวกนั้นแค่ไม่หวังดีต่ององค์หญิงจึงพูดถ่อยคำที่ไม่น่าฟังออกมาองค์หญิงก็คือบุตรสาวที่ฮองเฮารักและหวงแหนที่สุดเยี่ยงไรเพคะ"
"ไม่จริง!!ข้าไม่เชื่อท่านหากแม่นมบอกว่าข้าเป็นบุตรของฮองเฮาเหตุใดข้าถึงต้องออกมาอยู่นอกวังหลวงเช่นนี้ ท่านตอบข้าไม่ได้เพราะข้าเป็นตัวกาลกิณีใช่หรือไม่ " แม่นมมิอาจจะพูดอันใดออกไปตอนนี้เพราะเช่นไรองค์หญิงยังทรงพระเยาว์คงไม่เข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นางได้แต่นิ่งเงียบและพยายามมาจับตัวองค์หญิงเพื่อปลอบใจ แต่ก็ถูกองค์หญิงปัดมือและวิ่งออกไปจากห้องของนาง
หนิงเอ๋อที่ยังเด็กนางไม่รู้เอาแต่โกรธว่าทุกคนต่างพากันโกหกนาง นางจึงวิ่งไปที่ป่าหลังเรือนของตนเพื่อแอบไม่ให้ผู้ใดตามมาเจอ
แม่นมก็วิ่งออกตามมาแต่ก็ตามนางไม่ทัน ไม่รู้ว่าตอนนี้องค์หญิงไปอยู่ที่ใด นางตาหาไปทั่วและให้คนใช้ในเรือนตามหาช่วยกัน
หนิงเอ๋อวิ่งมาในป่าลึกจนนึกขึ้นได้ว่าตนนั้นมาไกลเกิน แถมในป่าแห่งนี้ช่างไม่คุ้นตานางยิ่งนัก นางจึงได้รู้ตัวว่าตอนนี้นางได้หลงทางเข้าแล้ว หนิงเอ๋อนั่งลงบนรากไม้ของต้นไม้ใหญ่ พร้อมร้องไห้ออกมาด้วยความกลัว
"แม่นมท่านอยู่ไหน ข้าขอโทษตอนนี้ข้ากลัวเหลือเกินโปรดมารับข้าที ฮื้อ ฮื้อ"
แคร่กกๆๆ!!
เสียงฝีเท้าที่เดินเยียบใบไม้ที่แห้งเหี่ยวเข้ามาใกล้ๆ หนิงเอ๋อนางกลัวมากใจสั่นระรัว นางก้มหน้าลงเพราะคิดว่าเป็นสัตว์ป่า
."นี่เจ้าเหตุใดถึงมาอยู่ในป่าลึกเช่นนี้ " มือน้อยๆ แตะที่ไหล่ของหนิงเอ๋อที่หลับตาปี้จนนางสะดุ้งร้องไห้ออกมานึกว่าผู้ที่มาทักนั้นเป็นวิญญาณของผีเด็ก
"ข้ากลัวแล้ว อย่าทำอันใดข้าเลยเจ้าเป็นผีก็อยู่ส่วนผีปล่อยข้าไปเสียเถอะ"
"นี่เจ้าเพ้อเจ้ออันใดข้ามิใช่ผีเสียหน่อย ลืมตาดูสิ" เสียงน้อยๆ ได้ตอบกลับหนิงเอ๋อ ทำให้นางรวบรวมความกล้าลืมตามาดูต้นเสียงที่ยืนอยู่ด้านหน้าของนาง เด็กชายตัวกะเปี้ยกร่างกายมอมแมมใส่เสื้อผ้าที่ขาดหลุดลุ่ย
"เห็นมั้ยว่าข้าเป็นมนุษย์มิใช่ผีป่าเสียหน่อยแล้วเจ้าเป็นผู้ใดมาทำอันใดในป่าแห่งนี้ " หนิงเอ๋อโล่งอกทีเป็นมนุษย์นางปาดน้ำตาและก็รีบตอบกลับทันที
"ข้าหลงเข้ามาในป่าแห่งนี้และหาทางกลับไม่ได้ แล้วเจ้าเป็นผู้ใดถึงมาในป่าลึกโดยไร้ความกลัว "
"ข้ามาเอาฟืนให้ท่านแม่ของข้า ข้าได้ยินเสียงร้องของเจ้าเลยเดินเข้ามาดู"
"งั้นหมายความว่าเจ้าพาข้าออกจากป่านี้ได้ใช่หรือไม่"
หนิงเอ๋อตาเป็นประกายเมื่อรู้ว่าตนเองจะหาทาออกจากป่าได้
"ใช่แล้ว ข้ามาในป่าแห่งนี้บ่อยจนรู้ทางออกได้หมดทุกทาง แต่ว่าหากเจ้าให้ข้าพาเจ้าไปส่งที่บ้านเจ้าต้องตอบแทนบุญคุณในครั้งนี้ด้วย" เด็กชายมองดูเสื้อผ้าอาภรณ์และใบหน้าที่เกลี้ยงเกลาก็รู้ในทันทีว่าเด็กหญิงที่อยู่ตรงหน้านี่มิใช่ลูกชาวบ้านธรรมดาเป็นแน่
"ได้สิ หากเจ้าไปส่งข้าที่เรือนข้าจะตอบแทนเจ้าเป็นอย่างดี " หนิงเอ๋อยิ้มร่าดีใจลุกขึ้นปัดชุดของนางพร้อมเดินตามเด็กชายออกจากป่า
"งั้นเจ้าตามข้ามา ข้าจะพาเจ้าออกไปเองแต่เจ้าอย่าลืมเรื่องที่เจ้ารับปากข้าด้วยล่ะ" เด็กชายเองก็ยิ้มออกมาอย่างดีใจเช่นกัน อย่างน้อยการพาเด็กหญิงออกไปส่งที่เรือนเขาน่าจะได้ของกินกลับบ้านไปให้ท่านแม่อย่างแน่นอน
เดินมาได้สักพักหนิงเอ๋อก็สะดุดล้มกับรากไม้ที่ทางเดินปกคลุมไปด้วยใบไม้และสัตว์เล็กใหญ่ที่พากันวิ่งไต่ไปมา
"โอ๊ย!! นี่เจ้ารอข้าด้วยสิ "
"เป็นอย่างไรบ้างเจ้านี่ซุ่มซ่ามจริงๆ " เด็กชายผู้นั้นก้มลงมามองดูหนิงเอ๋อที่นั่งจับข้อเท้าด้วยความเจ็บ
"ข้าเจ็บข้อเท้า " เด็กหนุ่มจับดูข้อเท้าของหนิงเอ๋อ เมื่อมือเล็กๆ สัมผัสข้อเท้าที่บวมแดง
"โอ๊ย เจ้าเบามือหน่อยสิ "
"ข้าว่าข้อเท้าเจ้าพลิกคงเดินกลับไม่ได้ เจ้าขึ้นมาที่หลังข้าสิ เดี๋ยวข้าจะแบกเจ้าไปเอง " เด็กหนุ่มหันหลังวางไม้ฟื้นลงให้หนิงเอ๋อขึ้นหลัง
"ข้าตัวหนักเจ้าแบกข้าได้รึ"
"ร่างกายเจ้าเล็กขนาดนี้คิดว่าข้าจะแบกเจ้าไม่ได้หรือไง"
หนิงเอ๋อยอมขึ้นหลังแต่โดยดีทั้งสองคนก็ได้เดินออกมาจากป่าเด็กหนุ่มเหงื่อไหลออกมาด้วยความร้อนและเหนื่อยหอบ
"เรือนของเจ้าอยู่ที่ใด" น้ำเสียงขาดๆ หาย
"เรือนของข้าอยู่ด้านโน้น" หนิงเอ๋อชี้ไปด้านหน้า เด็กหนุ่มถึงกับชะงักแต่ก็ยอมเดินไปส่งหนิเอ๋อถึงเรือน
"เจ้าเป็นเด็กในเรือนนั้นหรือ เจ้าเคยได้ยินเรื่ององค์หญิงกาลกิณีหรือไม่"
หนิงเอ๋อเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถามเด็กหนุ่มออกไป
"ทำไม เจ้ากลัวหรือไม่"
"ไม่เลยข้ารู้สึกสงสารนางด้วยซ้ำ" หนิงเอ๋อได้ยินดังนั้นก็รู้สึกดีใจ
"เจ้าไม่กลัวสักนิดเลยรึ หากใบหน้าขององค์หญิงน่าเกียจน่ากลัวและเมื่อมีผู้คนอยู่ใกล้ก็จะเกิดอันตราย"
"ก็แค่คำพูดของชาวบ้าน ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องไม่ดีขององค์หญิงเลย " หนิงเอ๋อนิ่งเงียบเมื่อได้ยินคำตอบ อย่างน้อยก็มีเด็กหนุ่มที่ไม่รังเกียจและสงสารนาง
แม่นมวิ่งวุ่นตามหาองค์หญิงจนมองเห็นว่านางถูกเด็กหนุ่มอุ้มเข้ามาที่หน้าประตูเรือนนางจึงรีบวิ่งเข้าไปหาด้วยความเป็นห่วง
"องค์หญิงท่านไปอยู่ที่ไหนมารู้หรือไม่ว่าข้านั้นเป็นห่วงท่านมากแค่ไหน แล้วนี่เกิดอะไรขึนทำไมท่านถึงได้กลับมากับเด็กผู้นี้แถมยังอยู่บนหลังของเด็กคนนี้ด้วยเพคะ"
"แม่นมข้าแค่สะดุดล้มข้าขอโทษที่ทำให้ท่านเป็นห่วง ข้าหนีท่านไปแล้วเกิดหลงทาง โชคดีที่เด็กคนนี้ช่วยข้าเอาไว้" เด็กหนุ่มเมื่อรู้ว่าผู้ที่เขาแบกออกมาจากป่านั้นเป็นองค์หญิงถึงกับตกใจเพราะไม่คิดเลยว่านางจะเป็นองค์หญิงที่เขารำลือกัน
แม่นมพยุงตัวองค์หญิงลงจากหลังเด็กหนุ่มรีบก้มลงโค้งคำนับองค์หญิงอย่างไว
"ข้าไม่รู้ว่าท่านเป็นองค์หญิง ข้าต้องขอโทษด้วยที่ข้าล่วงเกินท่าน" องค์หญิงยิ้มออกมาแล้วบอกให้เด็กหนุ่มลุกขึ้น
"เจ้าลุกขึ้นเถิด เป็นข้าต่างหากที่ต้องขอบคุณเจ้า แม่นมช่วยจัดเตรียมอาหารให้กับเด็กผู้นี้ด้วย ข้าขอเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจะออกมาหาเจ้าอย่าพึ่งกลับไปเสียก่อนละ" หนิงเอ๋อพูดจบก็เดินเข้าไปที่ห้องของตน แม่นมได้ส่งให้สาวรับใช้ไปเตรียมหาอาหารมาให้แล้วเดินตามองค์หญิงเข้าไปที่ห้องของนาง
เมื่อนางแต่งกายเสร็จสิ้นก็ได้เดินเข้ามาหาเด็กหนุ่มที่นั่งรอรอยู่ที่ห้องโถง หนิงเอ๋อได้นั่งลงตรงหน้า
"การที่ข้าได้ออกมาจากป่าในครั้งนี้ก็เพราะเจ้า เจ้าอยากได้รางวัลอะไรหรือไม่ "
"ข้ามิกล้าหรอกขอรับ "
"เจ้าคนเมื่อครู่ไม่เห็นจะพูดเช่นนี้ พูดกับข้าเช่นเดิมเถอะตอนที่ข้าได้ยินเจ้าบอกว่าเจ้าสงสารข้า รู้หรือไม่ว่าข้าดีใจเพียงใดข้าชื่อหนิงเอ๋อเรามาเป็นเพื่อนกันเถอะว่าแต่เจ้าชื่อว่าอะไร"
หนิงเอ๋อส่งยิ้มหวานให้กับเด็กหนุ่มก่อนที่เขาจะตอบชื่อออกมา
"ข้าชื่อว่าหางเฟิ่งขอรับ"
เมื่ออาหารมาถึงเขาก็ได้กินไปเล็กน้อยก่อนจะขออาหารกลับบ้านไปให้ท่านแม่หลังจากนั้นมาหนิงเอ๋อก็มีเด็กหนุ่มผู้นี้คอยมาเป็นเพื่อนเล่นของนางเสมอมา จนกระทั่งวันหนึ่งหนิงเอ๋อกับเด็กชายได้พูดกันไว้ว่าจะมาที่จุดนัดพบ แต่ทว่าวันนั้นเกิดฟ้าฝนกระหน่ำลงมาทำให้หนิงเอ๋อที่ไปยืนรอคอยก็ไม่พบแม่นมจึงชวนหนิงเอ๋อกลับเข้าที่เรือนเพราะตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มก่อตัวตั้งเค้าเกรงว่าองค์หญิงจะไม่สบายตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาหนิงเอ๋อก็ไม่ได้พบเด็กชายผู้นั้นอีกเลย นางจึงได้ให้คนใช้ตามหาข่าวคราวของหางเฟิ่งจนได้รู้ว่ามารดาของเขานั้นได้เสียชีวิต ทำให้เขานั้นกลายเป็นเด็กเร่ร่อนและถูกจับตัวไปขายให้กับใต้เท้าที่มีเงินทอง ทำให้หนิงเอ๋อคิดว่าเป็นเพราะตนชีวิตของหางเฟิ่งจึงต้องมาเจอกับเรื่องน่าเศร้าเช่นนี้ นางจึงเก็บตัวเงียบและไม่พบเจอผู้ใดอีกต่อไป นิสัยของหนิงเอ๋อเองก็เปลี่ยนไปอย่างมาก นางเริ่มเอาแต่ใจตนเองจากน่ารักกลายเป็นดุร้าย
8 ปีต่อมา
องค์หญิงหนิงเอ๋อได้เติบโตขึ้นเป็นสตรีที่สวยงาม ราชวงศ์เองก็ได้แต่งตั้งให้องค์ชายสามได้รับตำแหน่งองค์รัชทายาทตอนนี้ฮ่องเต้เองก็เริ่มมีพระวรกายที่ไม่ค่อยแข็งแรงนัก เป็นเรื่องน่าพึงพอใจสำหรับหวงกุ้ยเฟยแต่สำหรับฮองเฮานั้นยังจำคืนวันที่สูญเสียมิรู้ลืม
ส่วนหนิงเอ๋อนั้นก็ได้มีนิสัยที่เปลี่ยนแปลงไปจากที่เคยสดใสแต่ก็ต้องเป็นคนเก็บตัวเงียบ และหลังจากนั้นนิสัยของนางก็เริ่มร้ายแรงขึ้น เอาแต่ใจตนเองหากผู้ใดทำให้ไม่พอใจนางก็มักจะสั่งลงโทษ นางมีนิสัยใจร้อนและไม่เกรงกลัวผู้ใดอีกต่อไปในเมื่อนางเป็นองค์หญิงกาลกิณีที่ชาวบ้านพากันรังเกียจราวกับปีศาจ นางหยิ่งผยองด่ากล่าวโดยไม่กลัว เมื่อนางเริ่มโตขึ้นนางก็รู้ว่าตนนั้นมิใช่บุตรสาวของฮองเฮาเป็นเพียงบุตรสาวของกุ้ยเฟ่ยเท่านั้น ความเสียใจของนางที่มีต่อฮองเฮานั้นก็มีมากแต่ทว่าความรักที่ฮองเฮามอบให้ก็เปรียบเสมือนมารดาที่คลอดนางมาเอง มีเพียงฮ่องเต้เท่านั้นที่ไม่เคยมาดูดำดูดีนางแม้เพียงสักครา ทำให้นางรู้สึกเกียจชังและความไม่ยุติธรรมที่นางเคยเจอมาตั้งแต่เด็ก นางจึงทำตัวใช้ชีวิตให้ชาวบ้านกล่าวดูถูกราชวงศ์
ตอนหนิงเอ๋ออายุได้เพียง15ปี นางได้ออกไปที่ตลาดอีกครั้งและก็เกิดเหตุการณ์ที่มีชาวบ้านได้ล้มป่วยและตายกันหลายชีวิต เมื่อชาวบ้านเห็นหนิงเอ๋อจึงเอ่ยกล่าวหาว่าเป็นเพราะนาง ตัวกาลกิณีที่มาอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้ ทำให้เกิดอาเพศชาวบ้านพากันต่างรุมโยนข้าวของทำร้ายร่างกายหนิงเอ๋อ เรื่องนี้จึงถึงหูของฮองเฮาเมื่อนางทราบข่าว จึงได้มาหาหนิงเอ๋อและพาองครักษ์มาดูแลนางเพราะเกรงว่านางจะถูกชาวบ้านรังแกอีก เมื่อมีผู้ที่คอยคุ้มกันหนิงเอ๋อก็ทำตัวไม่เกรงกลัวผูู้ใด หนิงเอ๋อได้ออกไปเจอโลกภายนอกที่นางไม่เคยได้พบเห็น จนตอนนี้นางมีอายุ 18 ปี
วันนี้หนิงเอ๋อได้ออกมาท่องเที่ยวยามราตรีนางได้แอบแม่นมออกมากับองครักษ์ นางได้ใช้ผ้าคุมปิดใบหน้าของตนเองเพราะไม่อยากให้ชาวบ้านได้รู้ถึงการปรากฏตัวของนาง นางอยู่ออกมาเที่ยวอย่างเงียบๆ สักครา
“นี่เจ้าวันนี้ข้าได้ยินมาว่าหอนายโลมมีบุรุษรูปงามที่มาจากเมืองอื่นได้มาบรรเลงเพลงที่นี่เจ้าจะไปดูกับข้าหรือไม่ ” สตรีพากันยืนพูดคุยกันอย่างตื่นเต้นเมื่อรู้ว่ามีบุรุษรูปงามมาปรากฏตัว
“ใช่ๆ ข้าได้ยินมาว่าใบหน้างามราวเทพบุตร หวานหยดย้อยไหนจะเพลงที่บรรเลงออกมาสะกดให้ผู้คนหลงใหล ” หญิงอีกผู้หนึ่งได้พูดขึ้น
“งั้นข้าไปด้วย จะได้ไปเห็นกับตาว่าบุรุษที่หล่อที่สุดในใต้หล้านั้นจะเป็นเช่นไร” สตรีทั้งสามคนก็ได้พากันเดินไปที่หอนายโลม บทสนทนาทั้งหมดก็ได้เข้าหูของหนิงเอ๋อที่เดินผ่านมาพอดี นางจึงตัดสินใจไปดื่มสุราที่หอนายโลม
“องค์หญิงวันนี้ท่านจะไปที่ใดพะย่ะค่ะ”
“ข้ารู้แล้วว่าจะไปที่ใด เจ้าจงพาข้าที่หอนายโลมที่สตรีเมื่อครู่พูดถึงกันเถอะ” หนิงเอ๋อตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย ทำให้หลิวเหลาจือ องครักข์ที่คอยเฝ้าตามดูแลต้องฉงนใจในคำตอบ
“ท่านคิดดีแล้วหรือพะย่ะค่ะ”
“เจ้าจะเกรงกลัวอันใด ข้าคือตัวซวยที่ราชวงศ์ขว้างทิ้งเหตุใดข้าต้องเกรงกลัวว่าราชวงศ์ต้องเสื่อมเสียด้วยเล่า เจ้าพาข้าไปเดี๋ยวนี้มิเช่นนั้นข้าจะบอกท่านแม่ว่าเจ้าดูแลข้าไม่ดี” หนิงเอ๋อเดินยืดอกออกไปอย่างสง่า ทำให้หลิวเหลาจือถอนหายใจก่อนจะเดินตามองค์หญิงไปที่หอนายโลม
หอนายโลม
ผู้คนมากมายเสียงดังสนั่นคงเป็นเพราะบุรุษผู้งามที่ผู้คนต่างอยากมาเห็นในคำร่ำลือทำให้วันนี้ที่นี่คึกคักเป็นอย่างมาก
องครักษ์หลิวได้เข้าไปหาเจ้าของหอนายโลมเป็นนายหญิงรูปงามก็ได้ออกมาต้อนรับหนิงเอ๋อเป็นอย่างดี
“หอของข้าขอต้อนรับสตรีผู้สูงส่ง ข้าจะนำพาท่านไปนั่งที่สูงที่สุดและมองเห็นนายโลมที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาอยู่ที่หอของเราในวันนี้เจ้าค่ะ เชิญตามข้ามา” นายหญิงของหอนายโลมได้ผายมือให้หนิงเอ๋อเดินตามนางไปชั้นบนเพื่อมองดูการแสดงอย่างเห็นได้ชัด สถานที่แห่งนี้ถูกปกครองโดยใต้เท้าไป๋
หนิงเอ๋อมาถึงที่นั่งนางจึงนั่งลงมีนายโลมที่นายหญิงส่งตัวมาคอยดูแลปรนนิบัติคอยรินสุราให้กับหนิงเอ๋อ
เมื่อนางนั่งมาได้สักพักเสียงกรี๊ดร้องของสตรีที่เข้ามาชมการแสดงดนตรีของนายโลมก็ได้ดังขึ้น ทำให้หนิงเอ๋อเองก็ชำเลืองตามองลงมาด้านล่าง นายโลมได้ถือเครื่องเล่นดนตรีมานั่งลงท่ามกลางเหล่าสตรีมากหน้าหลายตา เขาค่อยๆ นั่งลงด้วยท่าทีนอบน้อมอ่อนหวานราวเทพบุตรอย่างที่ถูกร่ำลือ มือเรียวที่ใช้ดีดสายพิณช่างสง่างามใบหน้าที่ดูหล่อเหลาแต่แฝงไปด้วยความอ่อนหวานทำให้หนิงเอ๋อตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็น หัวใจนางสั่นไหวเต้นระรัวแม้นางยังไม่รู้ว่าอาการนี้เรียกว่าอะไร แต่สิ่งหนึ่งที่นางรู้ก็คือนายโลมผู้นี้นางจะเอากลับที่เรือนของนางให้จงได้ หนิงเอ๋อใช้มือกวักเรียกองครักษ์หลิวที่ยืนอยู่ด้านหลังมาหานาง องครัษ์หลิวก้มตัวลงฟังคำสั่งหนิงเอ๋อกระซิบข้างหูสักพักองครักษ์หลิวก็ได้เดินออกไปพร้อมเดินกลับมากับนายหญิงเจ้าของหอนายโลม
“ไม่ทราบว่าท่านต้องการสิ่งใดหรือเจ้าคะ” นายหญิงเมื่อมาถึงก็ได้ถามหนิงเอ๋อทันที
“เมื่อนายโลมผู้นั้นทำการแสดงเสร็จสิ้นแล้วท่านช่วยพาตัวของเขามาหาข้าที ”
นายหญิงยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะพูดออกมา
“ท่านคงจะทราบนะเจ้าคะ ว่านายโลมผู้นี้มีชื่อเสียงเลืองลือ และเป็นที่นิยมในหมู่สตรี หากท่านต้องการตัวของเขามา ท่านต้องจ่ายหนักนะเจ้าคะ”
“ค่าตัวเท่าไหร่ข้ายอมจ่าย แต่เจ้าต้องพานายโลมผู้นั้นมาหาข้าให้ได้” หนิงเอ๋อมองดูนายโลมที่บรรเลงเพลงอยู่อย่างชวนหลงไหลไม่ต่างจากสตรีที่อยู่ในที่แห่งนี้ ราวกับว่าเสียงดนตรีที่เขาแสดงออกมานั้นมีมนต์สะกดให้ผู้คนต่างต้องการตัวของเขา
“ได้เจ้าค่ะ วันนี้โชคดีของท่านนะเจ้าคะที่จะได้ตัวนายโลมมาครอบครอง เดี๋ยวข้าจะให้นายโลมมาหาท่านทันทีหลังแสดงจบ ข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ”
หลังจากที่นายหญิงเดินออกไปองครักษ์หลิวก็ได้เดินมาพูดกับองค์หญิงทันที
“องค์หญิงท่านจะทำอันใดพะย่ะค่ะ อย่าลืมนะว่าท่านเป็นใครอีกอย่างหากเรื่องนี้ถึงหูฮองเฮาข้าเกรงว่าท่านต้องถูกลงโทษเป็นแน่ ” สีหน้าขององครักษ์หลิวเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“หากเจ้าไม่แจ้งต่อท่านแม่ก็ไม่มีผู้ใดรู้เรื่องนี้เป็นแน่ อีกอย่างข้าได้บอกเจ้าว่าอย่างไร ออกมาข้างนอกห้ามเรียกข้าเช่นนั้นให้เรียกข้าว่าหนิงเอ๋อ เจ้านี่ไม่รู้จักจำเสียที” องครักษ์หลิวทำอันไดมิได้เขาเองก็รู้ดีว่าหนิงเอ๋อนั้นมีนิสัยเช่นใด เขาจึงถอยหลังยืนคอยดูแลตามหน้าที่ที่ได้รับ
เมื่อการแสดงเสร็จสิ้นลงนายหญิงก็ได้พานายโลมขึ้นมาหาหนิงเอ๋อด้านบน นายโลมนั่งลงอยู่เบื่องหน้าของหนิงเอ๋อ นางได้พยักหน้าให้องครักษ์หลิวเพื่อจ่ายค่าตัวให้นายหญิงก่อนที่นางจะรับและยิ้มอย่างดีใจก่อนจะเดินออกจากห้องนี่ไปปล่อยให้นายโลมได้ปรนนิบัติหนิงเอ๋อ
หนิงเอ๋อเดินมาจับปลายคางของนายโลมขึ้นก่อนจะถามชื่อของเขา
นายโลมผู้นั้นได้เงยหน้ามองสบตากับหนิงเอ๋ออย่างหยดย้อยก่อนจะตอบชื่อออกมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล
“ข้านายโลมผู้ต่ำต่อยมีนามว่าหางเฟิงขอรับ ” หนิงเอ๋อเมื่อได้ยินชื่อนี้ก็นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่และปล่อยมือจากคางของหางเฟิงก่อนจะนึกย้อนหาเด็กผู้นั้น แต่ทันใดนั้นเองนางก็ต้องรีบส่ายหน้า เด็กผู้นั้นจะมาอยู่อย่างนี้ได้อย่างไร ในเมื่อนางได้ยินมาว่าเด็กนั่นถูกขายให้ไปเป็นข้ารับใช้ปานนี้จะเป็นจะตายอย่างไรก็ไม่รู้ ไม่อาจจะเป็นบุรุษที่หน้าตาดีผู้นี้ได้
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร” หนิงเอ๋อใช้มือปลดหน้าที่ปกปิดใบหน้าของนางออกแสดงให้หางเฟิงเห็น
“ข้าไม่รู้ขอรับ แต่ที่รู้ๆ คือท่านเป็นสตรีที่มีใบหน้างดงามเหลือเกิน จนข้าไม่คิดว่าสตรีที่งดงามเช่นท่านจะมาเที่ยวหอนายโลมเช่นนี้ ” หนิงเอ๋อเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะหางเฟิงจึงลุกขึ้นมารินสุราให้แก่นาง
“เจ้านี่ช่างพูดช่างจาเสียจริง ไม่ใช่แค่ใบหน้าและการแสดงของเจ้าที่ต่างให้สตรีทั้งใต้หล้าต้องการ วาจาของเจ้านั้นก็ต่างพาให้สตรีที่แตกสาวหรือสตรีที่แก่คำคึกหลงใหลช่างสมกับค่าตัวของเจ้าเสียจริง”
“ท่านก็กล่าวเกินไปขอรับ ว่าแต่ท่านจะให้ข้าปรนนิบัติถึงขั้นไหนกันหรือขอรับแค่รินสุราหรือต้องการให้ข้านวดร่างกายของท่าน” เมื่อองครักษ์หลิวได้ยินดาบที่อยู่ข้างเอวบัดนี้ได้มาอยู่บนบ่าใกล้คอของหางเฟิงเรียบร้อย
“บังอาจนักไม่รู้ที่ต่ำที่สูง” เสียงที่เปล่งออกมาด้วยความโกรธ
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ เอาดาบออกจากคอของหางเฟิงเดี๋ยวนี้” หนิงเอ๋อเสียงแข็งบอกองครักษ์หลิว
“แต่ว่าชายผู้นี้ได้เอ่ยคำที่ไม่สมควรนะขอรับ”
“ข้าบอกให้เจ้าวางดาบลง ไม่อย่างนั้นครั้งหน้าข้าจะมาเพียงผู้เดียว” หนิงเอ๋อจ้ององครักษ์หลิวไม่วางสายตา หางเฟิงตัวสั่นเล็กน้อยเพราะไม่คิดเลยว่าดาบจะอยู่บนคอของตนเช่นนี้
“ก็ได้ขอรับ ”
“ดูสิ หางเฟิงของข้าตัวสั่นไปหมดแล้ว ไม่ต้องกลัวนะที่ข้าเรียกตัวเจ้ามาเพราะต้องการพูดคุยกับเจ้าเท่านั้น ไม่ได้หวังถึงขั้นขึ้นเตียงหรอกนะ เจ้าชอบชีวิตแบบนี้หรือไม่ที่ต้องออกแสดงทุกค่ำคืนเพื่อแลกเบี้ยอัฐ”
“ข้าจะเลือกชีวิตของข้าได้อย่างไรขอรับ ชีวิตของข้านั้นช่างอาภัพถูกขายเป็นข้ารับใช้ตั้งแต่เด็ก ถูกโบยตีจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดโชคดีที่เจอกับนายหญิง นายหญิงเป็นเหมือนท่านแม่ของข้า ได้มอบชีวิตใหม่ให้และซื้อตัวข้ามาจากนรกที่ข้าเคยอยู่ การที่เป็นนายโลมก็ดีอย่างหนึ่งนะขอรับไม่เหงา แต่ละคืนเจอผู้คนมากหน้าหลายตา ข้าเองก็อยากจะใช้ชีวิตเช่นดั่งผู้อื่นแต่ติดที่ว่าค่าตัวที่นายหญิงซื้อข้ามานั้นมากมายเหลือเกินจนข้าไม่รู้ว่าชาตินี้ทั้งชาติข้าจะหามาคืนจนหมดหรือไม่” หางเฟิงพูดออกมาด้วยสายตาว่างเปล่า จนหนิงเอ๋อเองที่ได้ยินถึงกับเข้าใจ
“เช่นนั้นเจ้าอยากไปอยู่กับข้าหรือไม่ ไม่ว่าค่าตัวเจ้าเท่าไหร่ข้าก็ยอมจ่าย” หางเฟิงเงยหน้ามองหนิงเอ๋อทันที พร้อมเข้าไปโอบกอดขาของนางอย่างดีใจ
“ขอบใจท่านมากขอรับ หากท่านพาข้าออกไปใช้ชีวิตเช่นดังปกติ ข้าจะขอรับใช้ท่านไปตลอดชีวิต” หนิงเอ๋อลูบหลังของหางเฟิงพร้อมบอกให้เขาลุกขึ้น
“ลุกขึ้นมาเถิดเจ้าก็ไปพูดคุยกับนายหญิงของเจ้าไว้ ภายในสามวันนี้ข้าจะมาถอนตัวเจ้าเอง โปรดรอข้าและอย่าไปกับผู้ใดก่อน วันนี้ข้าคงต้องกลับแล้ว”
“ได้ขอรับ ข้าจะรอท่านนะขอรับ ว่าแต่ท่านผู้มีเมตตาชื่อว่าอะไรกันขอรับ”
“ข้าชื่อว่าหนิงเอ๋อ” หนิงเอ๋อพูดจบก็ได้เดินออกมาจากห้องและกลับไปที่เรือนของตน