บทย่อ
"ข้ามิใช่สตรีที่อ่อนแอ ไม่ว่าผู้ใดมายุ่งกับคนของข้า ข้าจัดการไม่เว้นหน้าไม่ว่าท่านจะเป็นสามีของข้าก็ตาม" หนิงเอ๋อ องค์หญิงกาลกิณีที่ถือกำเนิดในค่ำคืนแห่งความโศกเศร้า นางถูกตราหน้าว่าเกิดมาทำให้ราชวงศ์เสื่อมเสียเป็นเหตุให้มารดาของตนเองต้องมาตายหลังจากที่คลอดนางมาได้ไม่กี่ชั่วยาม นางมิเคยได้รับความรักความเมตตาจากบิดาที่เป็นฮ่องเต้แม้แต่น้อย แต่นางมิใช่สตรีที่อ่อนแอการที่นางโดนเนรเทศออกมาอยู่นอกวังทำให้นางมีจิตใจแข็งแกร่งและมิเคยยอมผู้ใด ในเมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นตัวซวยนางจึงใช้ชีวิตไม่สนฐานะองค์หญิงเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งวันหนึ่งนางได้พบเจอกับ หางเฟิง นายโลมรูปงามที่สุดแห่งหอนายโลมและเขายังเป็นเด็กน้อยที่เคยพูดคุยกับนางเมื่อยังเยาว์วัยทำให้นางพอคลายเหงาได้บ้าง แต่ทว่าการที่นางพบเจอกับหางเฟิงและเลี้ยงดูเขานั้นถึงหูของฝ่าบาท เพื่อไม่ให้ราชวงศ์เสื่อมเสียไปมากกว่านี้ฝ่าบาทจึงได้เขียนราชโองการให้องค์หญิงหนิงเอ๋อได้เข้าพิธีแต่งงานกับ แม่ทัพหลิวอี้เฟย เรื่องวุ่นวายก็ได้ก่อกำเนิดขึ้นเพราะแม่ทัพหลิวอี้เฟยนั้นมีสตรีที่อยู่ในดวงใจของเขาอยู่แล้ว
บทที่ 1 องค์หญิงกาลกณีถือกำเนิด
บทที่ 1 องค์หญิงกาลกิณีถือกำเนิด
ภายใต้ท้องฟ้าที่มืดสลัวพายุพัดผ่านโคมไฟที่ห้อยทั่วตำหนักเริ่มสั่นไหวตามแรงลม เหล่านางกำนัลและขันทีที่ต่างพากันวิ่งไปทั่วตำหนัก เพราะบัดนี้ตำหนักของกุ้ยเฟยหนิงฮวาสตรีที่ฮ่องเต้มอบความรักและความใส่ใจให้มากกว่าสตรีใดในวังหลวงเพราะความงามและกิริยาจิตใจของนางนั้นช่างงดงามราวกับใบหน้า ทำให้นางได้ตั้งครรภ์บุตรของฝ่าบาทที่ตอนนี้กำลังนอนเจ็บปวดอยู่ที่ตำหนักเป็นเวลานานหลายเพลา
ฝ่าบาทคิ้วขมวดใบหน้ากังวลเป็นกุ้ยเฟยที่นอนเจ็บปวดแต่ว่าเขานั้นช่วยอันใดนางมิได้
"นี่หมอหลวงกุ้ยเฟยเป็นเช่นใดบ้าง ตอนนี้บุตรของข้าถือกำเนิดรึยังเหตุใดข้าถึงไม่ได้ยินเสียงใดๆ เลย"
ฝ่าบาทยืนอยู่ประตูด้านนอกตะโกนถามเข้าไปเพราะเป็นกุ้ยเฟยเหลือเกิน
"ทูลฝ่าบาทเพคะ บัดนี้พระชายาหนิงฮวายังไม่ได้ให้กำเนิดเพคะ เพราะพระนางหมดแรงตอนนี้ทางท่านหมอกำลังเร่งช่วยพระนางอยู่เพคะ "
เสียงนางกำนัลที่ตอบกลับมาทำให้ฝ่าบาทรู้สึกร้อนรุ่มในใจมากกว่าเดิม ฝ่าบาทแทบนั่งไม่ติดเดินไปเดินมาไปทั่วหน้าตำหนัก
ทันใดนั้นเองก็มีขันทีประจำตัวของพระองค์ได้วิ่งหน้าตั้งเข้ามาหาด้วยใบหน้าตื่นตระหนก
"ทูลฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องร้ายมากราบทูลพะย่ะค่ะ'' ขันทีก้มตัวลงโค้งคำนับ
"มีเรื่องอันใด ตอนนี้ข้ายังไม่พร้อมที่จะฟังเจ้าก็รู้ว่าตอนนี้จิตใจของข้าเป็นห่วงพระชายาหนิงฮวาอยู่มิคลาย" ฮ่องเต้นั่งลงใช้มือกุมขมับคิ้วขมวด
"แต่ทว่าเรื่องนี้เองก็สำคัญกับฝ่าบาทนะพะย่ะค่ะ"
"เรื่องอันใดรีบบอกมาแล้วอย่ามากวนใจข้าอีก" ฮ่องเต้เบ่งเสียงตะละใบหน้าเคร่งเครียด
"องครักษ์ประจำตัวขององค์รัชทายาทได้มากราบทูลแจ้งต่อกระหม่อมว่าองค์รัชทายาทได้สิ้นพระชนม์แล้วพะย่ะค่ะ" ฝ่าบาทเมื่อได้ยินถึงกับไม่เชื่อหูตนเองดึงดาบจากทหารที่ยืนอยู่ตรงนั้นใส่คอของขันที ทำให้ขันทีตกใจกลัวจนทรุดลงนั่งกับพื้น
"เจ้าบังอาจนำเรื่องเช่นนี้มาพูดกับข้าได้อย่างไร องค์รัชทายาทมีพระวรกายที่แข็งแรง เจ้าช่างบังอาจนัก"
"กระหม่อมพูดเรื่องจริงนะพะย่ะค่ะ องค์รัชทายาทได้ออกไปล่าสัตว์เมื่อสองวันก่อนกับองค์ชายสาม ระหว่างล่าสัตว์อยู่นั้นองค์รัชทายาทพบเจอสัตว์ใหญ่ทำให้พระองค์ต้องการมาครอบครองและเข้าไปตามล่าและคลาดกับองครักษ์และเหล่าทหารเข้าไปในป่าลึก เมื่อองครักษ์ไปพบองค์รัชทายาทก็ได้สิ้นพระชนม์ไปแล้ว หากพระองค์ไม่เชื่อกระหม่อมก็เข้าไปทูลถามองค์ชายสามได้พะย่ะค่ะ ตอนนี้ขบวนเสด็จขององค์รัชทายาทใกล้จะถึงวังหลวงแล้วพะย่ะค่ะ" สิ้นคำพูดของขันทีสั่นกลัวดาบที่อยู่บนคอ ฝ่าบาทก็รีบวิ่งออกไปด้วยจิตใจที่หวาดกลัว และไม่อยากที่จะเชื่อคำพูดของขันที
"เปรี้ยง!!."
ทันใดนั้นเองเสียงฟ้าก็ผ่าลงกลางวังหลวงเม็ดฝนโปรยลงมาราวกับแสดงความเสียใจต่อฝ่าบาทที่ได้สูญเสียพระอาทิตย์ดวงเล็กของใต้หล้า แต่ทว่าเมื่อเสียงฟ้าร้องนั้นก็มีเสียงกรีดร้องของพระชายาหนิงฮวาร้องขึ้นอย่างดัง ฝ่าบาทพะวงหน้าพะวงหลังแต่แล้วเขาก็เลือกที่จะเดินไปดูร่างขององค์รัชทายาท
เสียงเด็กก็ได้ร้องออกมาแข่งกับเสียงฝนที่โปรยลงมา
ท้องพระโรง
ฝ่าบาทเดินผ่าฝนมาหาองค์รัชทายาทเขาเองแทบทรุดเมื่อเปิดผ้าดูก็พบว่าร่างที่นอนอยู่นั้นคือบุตรชายสุดที่รักของเขาจริงๆ เหล่าทหารองครักษ์รวมถึงองค์ชายสามต่างพากันคุกเข่าต่อหน้าฝ่าบาท
"ท่านพ่อ ข้าดูแลองค์รัชทายาทไม่ดีเองทำให้พระองค์ต้องเจอกับสัตว์ร้ายเช่นนี้ ข้ามิได้ตั้งใจพระองค์โปรดลงโทษข้าเถิด เป็นเพราะข้า" องค์ชายสามร้องไห้ออกมาและตบใบหน้าของตนที่ไม่สามารถดูแลองค์รัชทายาทได้
"พระองค์โปรดลงโทษพวกกระหม่อมด้วยพะย่ะค่ะ" เหล่าทหารที่ร่วมขบวนเสด็จไปล่าสัตว์ต่างก้มหน้ารับความผิด
"ไม่จริง!!ไม่จริง ข้าไม่เชื่อองค์รัชทายาทเจ้าฟื้นสิ " บัดนี้ความเสียใจเจ็บปวดทำให้ฝ่าบาทสติขาดไม่เชื่อภาพที่อยู่ตรงหน้า เสียงร้องไห้ของฝ่าบาทระงมไปทั่ววังหลวง
ตำหนักหมิ่งซื่อ
แม่ของแผ่นดินหรือว่าฮองเฮาที่กำลังนั่งปักผ้าเช็ดหน้าให้แก่บุตรที่กำลังจะเกิดของกุ้ยเฟยหนิงฮวาด้วยความยินดี นางมีนิสัยที่อ่อนโยนจิตใจดีมีเมตตา เอ็นดูหนิงฮวาเป็นอย่างมาก มิเคยอิจฉาริษยาที่นางมาแย่งความรักของฝ่าบาทไปแม้แต่น้อย
"ฮองเฮาเพคะ หม่อมฉันว่าบัดนี้กุ้ยเฟยน่าจะคลอดบุตรมาแล้ว เสด็จไปดูกันมั้ยเพคะ " นางกำนัลคนสนิทได้เอ่ยขึ้น
"ข้าว่าก็ดีเช่นกัน ดูสิตอนนี้ข้าก็ได้ปักผ้าเสร็จพอดี " ฮองเฮาชูผ้าผืนเล็กขึ้นให้เหล่านางกำนัลดูด้วยรอยยิ้มปลิ่มสุข
"ช่างสวยเหลือเกินเพคะ"
ยังไม่ทันที่ฮองเฮาจะได้เสด็จออกจากตำหนัก ก็มีขันทีวิ่งแข่งกันความแรงของเม็ดฝนด้วยความเร่งรีบเข้ามาที่ตำหนักจนโดนฮองเฮาตำหนิเอา
"เจ้านี่อยู่ในวังหลวงมาตั้งนานหลายปีเหตุใดถึงทำตัวเช่นนี้ เสื้อผ้าของเจ้าก็เปียกไปด้วยน้ำฝน "
ฮองเฮาตำหนิขันทีที่ตอนนี้เหนื่อยหอบกับการวิ่งมาหาพระนาง
"กระหม่อมมีเรื่องเร่งด่วนมาทูลฮองเฮาพะย่ะค่ะ กระหม่อมขอให้อภัยที่ทำตัวเช่นนี้"
"มันมีอะไรสำคัญไปกว่าที่เจ้าทำตำหนักของข้าเปียกด้วยหรือเจ้าไปเปลี่ยนผ้าแล้วค่อยมาบอกข้าก็แล้วกัน"
"เรื่องนี้สำคัญมากพะย่ะค่ะ กระหม่อมมิอาจใจเย็นได้ "
ขันทียืนไม่นิ่งมีอาการร้อนรนจู่ๆ สักพักเขาก็ทรุดตัวนั่งลงกับพื้นและร่ำไห้ออกมา
"เจ้าเป็นอันใดเหตุใดต้องร้องไห้ออกมาเช่นนี้"
"กระหม่อม กระหม่อมจะแจ้งต่อฮองเฮาบัดนี้องค์รัชทายาทได้สิ้นพระชนม์แล้วพะย่ะค่ะ " ขันทีก้มหน้าลงพื้นด้วยความรู้สึกเศร้าเสียใจ
ฮองเฮาเมื่อได้ยินคำพูดที่คิดไม่ถึง มือที่ถือผ้าได้ปล่อยลงอย่างหมดแรง
"เจ้าพูดเรื่องอันใด เจ้าโกหกข้าใช่หรือไม่ บอกข้ามาว่าเจ้าโกหก" ฮองเฮาทรุดตัวลงตรงหน้าของขันทีและถามเขาอีกครั้ง
"เรื่องจริงพะย่ะค่ะตอนนี้ร่างขององค์รัชทายาทอยู่ที่ท้องพระโรง " สิ้นเสียงที่เปล่งออกมาจากปากของขันทีฮองเฮาก็ได้ร้องกรี๊ดออกมาอย่างไม่เชื่อและเสียใจเป็นที่สุด
"กรี๊ด!! ไม่จริงข้าไม่เชื่อ ข้าไม่เชื่อ"
เหล่านางกำนัลที่รับใช้ฮองเฮาต่างพากันร้องไห้เสียใจที่บัดนี้ฮองเฮาได้เสียองค์รัชทายาทไป
"ฮองเฮาเพคะ ลุกขึ้นก่อนเถอะเพคะ" เสียงสั่นของนางกำนัลคนสนิทได้พยุงตัวของฮองเฮาให้ลุกขึ้น
"ข้าไม่เชื่อข้าจะไปดูให้เห็นกับตา องค์รัชทายาทมีร่างกายแข็งแรง จะเป็นอันใดได้อย่างไร เจ้ารีบพาข้าไปที่ท้องพระโรงที" เสียงสะอื้นไห้ไม่ยอมรับความจริงของฮองเฮาช่างเจ็บปวด น้ำตาไหลรินออกมาเป็นสายเลือด
นางกำนัลและขันทีจึงพากันนำขบวนเสด็จพาฮองเฮาไปที่ท้องพระโรงทันที เมื่อมาถึงท้องพระโรงฮองเฮาวิ่งเข้าไปดูร่างขององค์รัชทายาทที่นอนนิ่งผิวขาวเผือกไม่มีเลือดวิ่งในร่างกาย พระนางวิ่งเข้ามาสวมกอดทันที
"ไม่จริง องค์รัชทายาทเจ้าตื่นสิ ฝ่าบาทบอกหม่อมฉันสิเพคะว่าไม่ใช่เรื่องจริงองค์รัชทายาทนอนอยู่ใช่มั้ยเพคะ" ฮองเฮาหันไปหาฝ่าบาทที่นั่งอยู่ข้างๆ ร่างองค์รัชทายาท
"ข้าขอโทษฮองเฮาแต่บัดนี้เราได้เสียองค์รัชทายาทไปแล้วจริงๆ " น้ำเสียงแหบแห้งได้เปล่งออกมาด้วยความรู้สึกเสียใจไม่ต่างอันใดกับฮองเฮา
"ไม่จริง ข้าไม่เชื่อลูกชายของข้าเป็นเด็กที่แข็งแรงมาตั้งแต่เด็ก จะมาเสียชีวิตอย่างนี้ได้อย่างไร หรือว่าเจ้าดูแลองค์รัชทายาทไม่ดี" ฮองเฮาหันไปมององครักษ์อย่างตำหนิ
"กระหม่อมสมควรตายพะย่ะค่ะ เป็นกระหม่อมเองที่ดูแลองค์รัชทายาทไม่ดี ฮองเฮาลงโทษหม่อมฉันได้เลยพะย่ะค่ะ" องครักษ์ประจำตัวของได้ก้มลงสำนึกผิด ฮองเฮาเข้าไปตุบตีด้วยความช้ำใจ หากแต่นางก็โดนฝ่าบาทดึงแขนให้หยุดการกระทำเช่นนี้ไว้
"เหตุใดไม่เป็นเจ้า เหตุใดต้องเป็นลูกของข้าด้วย "
"หยุดเถิดฮองเฮา ไม่มีผู้ใดอยากให้เกิดขึ้น องค์รัชทายาทถูกสัตว์ป่าทำร้าย ไม่ใช่ความผิดขององครักษ์หรอกนะ"
"ฝ่าบาทท่านจะรู้อันใดเพคะ บุตรชายของข้าเพียงผู้เดียวที่เป็นดั่งชีวิตของข้าตอนนี้ได้จากข้าไปแล้ว แล้วเช่นนี้ข้าจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร ฮื้อ ฮือ อึก..."
ฮองเฮาทรุดตัวลงร้องไห้ออกมาอย่างเสียสติ จิตใจแตกสลายโลกที่เคยสวยงามบัดนี้กลายเป็นมืดสนิท
ฝ่าบาทคว้าตัวฮองเฮามาสวมกอดเพื่อปลอบประโลม
"ข้าเองก็เสียใจไม่ต่างอันใดกับเจ้าหรอกนะฮองเฮา องค์รัชทายาทเป็นบุตรที่ข้ารักมากที่สุด ข้าเองก็เสียใจไม่น้อยเจ้าสงบสติอารมณ์เถิด"
ฝ่าบาทได้กอดฮองเฮาอยู่เช่นนั้นสักพักก็ได้มีขันทีของตำหนักกุ้ยเฟยวิ่งเข้ามาในท้องพระโรงด้วยสีหน้าตื่นตระหนก