ตีครั้งที่ 4
จวนของเซี่ยเหยียนสร้างอยู่ที่หุบเขาเฟิ่งหวง ไม่ใหญ่โตแต่กลับงามสง่ามาก ทุกอณูทุกตารางล้วนถูกดูแลอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
เปลี่ยนชุดสะอาดเรียบร้อยเซี่ยเหยียนก็ออกมาจากห้องด้านใน แล้วเลี้ยวไปตามทางเดิน ก็พบกับองค์รัชทายาทผู้สูงส่งกำลังนอนอยู่บนเก้าอี้พักผ่อนใต้รั้วองุ่นอย่างสบายอารมณ์ พอปรายตามองมาทางเซี่ยเหยียนก็ยิ้มบางออกมา “มีอะไรกินหรือไม่”
อารมณ์โมโหของเซี่ยเหยียนพุ่งปรี๊ด เจ้านี่ สรุปว่าจะมาเป็นผู้รับใช้หรือว่าคุณชายกันแน่
“ข้าทำอาหารไม่เป็น” เซี่ยเหยียนภายนอกดูเยือกเย็นทั้งที่ในใจออกจะระแวง เขาเว้นไปครู่หนึ่งก่อนจะเน้นย้ำ “ข้าเป็นนายของท่าน”
“ข้าก็ทำไม่เป็น” หนานเหอแบมือออก จากนั้นก็มองไปทางด้านหลังเซี่ยเหยียน
หลินอิ่งรีบโบกมือพัลวัน “ข้าก็ทำไม่เป็น”
คราวนี้ถึงคราวองค์รัชทายาทอึ้งบ้าง “ปกติพวกเจ้ากินอะไรกัน”
ในฐานะเซียน ที่จริงก็อิ่มทิพย์อยู่แล้ว การกินแค่เพื่อสนองความอยากเท่านั้น
แต่เซี่ยเหยียนกับหลินอิ่งต่างออกไป
เซี่ยเหยียนเป็นเซียน แต่พลังวิญญาณเขามีน้อยนิด ตบะต่ำต้อย ยังคงต้องกินอาหารห้าหมู่สามมื้อเหมือนกับมนุษย์ ส่วนหลินอิ่งเดิมทีก็เป็นคนธรรมดา
เซี่ยเหยียนกลับยิ้มออกมา มุมปากเกิดเป็นลักยิ้มจางๆ ดูซุกซนและเจ้าเล่ห์
มือขวาเขาล้วงเข้าไปในแขนเสื้อ หลังจากนั้นก็ล้วงเอากล่องข้าวใบใหญ่ออกมา กลิ่นหอมของอาหารโชยเตะจมูก
“ที่แท้ก็ถุงเฉียนคุนนี่เอง” หนานเหอเข้าใจในทันที
ถุงเฉียนคุนเป็นถุงพื้นที่เก็บของที่เซียนมักจะใช้กัน
“มีอะไรอร่อยๆ บ้าง” องค์รัชทายาทเดินมาก็จะแง้มฝากล่องอาหารท่าเดียว
เซี่ยเหยียนกลับหมุนตัวหนีแล้วขวางหนานเหอไว้ จากนั้นก็วางกล่องอาหารไว้บนโต๊ะหินข้างๆ ก่อนจะพูดติดยิ้ม “ขอโทษด้วย ไม่มีของท่าน”
เพิ่งพูดจบ จู่ๆ ก็มีบางอย่างคลุมหัว ภาพตรงหน้าของเซี่ยเหยียนดำมืดฉับพลัน
เขาลนลานรีบดึงเอาสิ่งที่คลุมหัวอยู่ออก แล้วก็ต้องพบว่าตัวเองนั้น…เปลือยล่อนจ้อนอยู่…
เฮ้ย เกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย
เซี่ยเหยียนอยู่ในภาวะสับสน…
“ท่านเซียน ท่านเซียนเซี่ย”
ครู่ใหญ่ เสียงของหลินอิ่งก็ดังมาจากทางเหนือศีรษะ ไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไร ได้ยินแค่สิ่งที่อยู่เหนือศีรษะส่งเสียงเหมือนเสียดสีกัน
ไม่นาน ด้านบนก็เปิดออกเป็นรู แสงสีเทาหม่นลอดส่องเข้ามา ตามด้วยศีรษะสองศีรษะที่ยื่นชะโงกมา
เซี่ยเหยียนเงยหน้า ทั้งสามมองหน้ากันไปมา
“ท่านเซียน...” หลินอิ่งปิดหน้า
หนานเหอกลับยกมุมปาก พลางผิวปากไปด้วย “หุ่นดีนี่”
เซี่ยเหยียนลุกลี้ลุกลน โดนเห็นหมดแล้ว อ๊ากๆ ๆ ๆ ๆ ๆ!
“ท่านเซียน ท่านหลบก่อน” หลินอิ่งพูดขึ้น
ต้องรอเจ้านั่นบอกหรือ เซี่ยเหยียนหลบไปตั้งนานแล้ว
ไม่นาน ผ้าแพรชิ้นหนึ่งก็ถูกโยนลงมา
เซี่ยเหยียนรีบห่อตัวเองเอาไว้ จากนั้นก็ปีนขึ้นมาอย่างยากลำบาก
ตอนนั้นเองเขาถึงเพิ่งรู้ว่า ที่คลุมเขาอยู่คือเสื้อผ้าเขาเอง เพราะ…เขาตัวเล็กลง จุดที่เขาปีนออกมาเป็นปกคอเสื้อพอดิบพอดี
ไม่ใช่แค่เซี่ยเหยียน หลินอิ่งและองค์รัชทายาทก็ตัวหดเล็กลงเช่นกัน
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” เซี่ยเหยียนถามด้วยความไม่เข้าใจ
“ไม่ทราบขอรับ” หลินอิ่งก็ห่อตัวเองด้วยผ้าเหมือนกับเซี่ยเหยียน
แต่กลับเป็นหนานเหอที่ยังอยู่ในชุดเดิม
เซี่ยเหยียนมองดูเสื้อผ้าขนาดยักษ์บนพื้น และกำลังจะพูดบางอย่าง ก็ได้ยินเสียงโครกคราก จากนั้นก็มีเสียงดังขึ้นอีก และดังขึ้นอีก
ทั้งสามคนมองกันไปมา ก่อนจะพากันไหล่ตก หิวแล้ว
“ท่านก็หิวแล้วหรือ” เซี่ยเหยียนถามหนานเหอ
เซียนที่บรรลุขั้นอิ่มทิพย์จะไม่มีความรู้สึกหิวหรืออิ่ม แต่ถ้ามี ก็ยินดีด้วย ลำดับขั้นลดก็คือไม่มีพลังแล้ว กินข้าวเสียดีๆ ไม่เช่นนั้นคงต้องหิวตาย
ฐานของเซียน และผู้บำเพ็ญก็คือแก่นวิญญาณ แก่นวิญญาณดูดพลังวิญญาณและกำเนิดเป็นพลังเวทย์
“พลังของข้าถูกสะกด” องค์รัชทายาทกล่าว สถานการณ์ของเขาเป็นอย่างหลังอย่างไม่ต้องสงสัย
“ข้าก็ด้วย” หลินอิ่งกล่าว เขาคือผู้บำเพ็ญ
เซี่ยเหยียนรีบตรวจดูตัวเอง ดีจริง ถูกสะกดเช่นกัน
จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้น กลีบดอกไม้สองกลีบที่วนอยู่รอบตัวเขา ปลิวไปทางหลินอิ่งกับหนานเหอ แล้วจมหายไปในร่างกายของทั้งสอง เซี่ยเหยียนกำลังตรวจดูสภาพร่างกายของพวกเขาทั้งสอง
ครู่เดียวกลีบดอกไม้ก็บินออกมา เซี่ยเหยียนพ่นลมหายใจ “ไม่มีอะไรน่าห่วง เพียงแต่ว่าใครกันที่ทำให้พวกเราตัวเล็ก”
เซียนและผู้บำเพ็ญสามารถใช้พลังเวทย์เสกให้สิ่งของใหญ่ขึ้นและเล็กลง
“เสกให้เล็กลงยังไม่เท่าไร แต่สะกดพลังไว้ด้วยนี่สิ ทำไม่ได้ด้วยตัวคนเดียวแน่ ข้าผู้หนึ่งล่ะที่ทำไม่ได้” หนานเหอเอ่ย
องค์รัชทายาทเป็นถึงเทพที่ใกล้จะบรรลุขั้นเทียนเต้า ถ้าแม้แต่เขายังบอกว่าทำไม่ได้ งั้นก็คงต้องยากจริงๆ
“ท่านไปทำใครไม่พอใจมาหรือ” หลินอิ่งมองไปทางเซี่ยเหยียนพลางถามขึ้น
เซี่ยเหยียนมองไปทางองค์รัชทายาทด้วยความสับสน ที่เขาไปทำให้โกรธมาก็มีแค่ท่านผู้นี้!
“ไม่ใช่ข้านะ” หนานเหอยักไหล่
“หรือว่าใครแกล้งท่านเล่น” หลินอิ่งยังคงเดาต่อไป
หนานเหอกลับหลุดขำออกมา “สิ้นเปลืองพลังวิญญาณกับพลังเวทย์ปริมาณมากเพื่อแกล้งคนเล่นเนี่ยนะ งั้นผู้อยู่เบื้องหลังคงจะไม่มีอะไรทำ”
ตอนนี้ยังหาข้อสรุปไม่ได้ ทั้งสามจึงพักเรื่องนี้ไว้ก่อน เพราะพวกเขามีเรื่องที่สำคัญกว่านั้น เรื่องใหญ่เกี่ยวกับความเป็นความตาย เรื่องกิน!
ทั้งสามคนมองกล่องข้าวที่อยู่บนโต๊ะหินตาละห้อย ช่างอยู่แสนไกล
ทั้งที่อยู่ห่างเพียงก้าวเดียว แต่สิ่งที่ขวางพวกเขามีทั้งกองเสื้อผ้าสูงใหญ่ราวหินผา และโต๊ะหินที่สูงชัน
โต๊ะหินไม่ใหญ่มาก แต่สูงครึ่งตัวคน รอบๆ ยังวางเก้าอี้ตัวเตี้ยไว้ด้วย
เดินมาถึงใต้โต๊ะหิน เล็งเก้าอี้ไว้ตัวหนึ่ง เซี่ยเหยียนก็เดินลมปราณ ปลายเท้าสะกิดพื้น ร่างของเขาก็ลอยขึ้นด้านบน ไปได้ครึ่งทาง ก็อาศัยถีบตำแหน่งที่ยื่นออกมาของเก้าอี้ส่งแรงต่อ ก่อนจะลงมาหยุดอยู่บนเก้าอี้อย่างมั่นคง
เซี่ยเหยียนไม่ได้หยุดพัก ใช้วิชาตัวเบาแล้วเหาะขึ้นด้านบนต่อ
ถูกต้อง เซี่ยเหยียนรู้วรยุทธ์!
แต่ว่าความสามารถธรรมดา ฉะนั้นยังไม่ทันได้แตะโต๊ะหิน กำลังภายในก็ไม่พอจึงร่วงตกลงมา
แต่ตอนที่ตกลงบนพื้นเขาตีลังกาผ่อนแรงกระแทก ไม่ได้บาดเจ็บอะไร แต่สภาพเขาดูไม่ได้ทีเดียว
ล้มเหลว
จากนั้นก็ตาหลินอิ่ง วรยุทธ์ของเขาเรียนมาจากเซี่ยเหยียนยังเทียบเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ แม้แต่เก้าอี้ก็ขึ้นไปไม่ถึง
ล้มเหลวอีกแล้ว
สุดท้ายทั้งสองก็มองไปทางองค์รัชทายาท