ตีครั้งที่ 5
หนานเหอก้าวไปข้างหน้าภายใต้สายตาของทั้งคู่ จากนั้นก็กระโดดขึ้น ห่างจากพื้นเพียงครึ่งนิ้ว พอเท้าแตะถึงพื้น ก็หันมาพูดกับพวกเขาทั้งสอง “ข้าก็ทำไม่ได้”
เซี่ยเหยียน “......”
หลินอิ่ง “......”
“ฝ่าบาท ท่านช่วยตั้งใจหน่อยได้หรือไม่” เซี่ยเหยียนส่งยิ้มกว้าง ส่วนในใจ ‘น่าโมโหชะมัด’
จากนั้นหนานเหอก็แสดงความจริงใจออกมา เขากระโดดอีกรอบ สูงจากพื้นแค่หนึ่งนิ้ว
“พวกเจ้าดู ข้าพยายามแล้ว”
เซี่ยเหยียน “......” ล้อกันเล่นหรือ
“ในถุงเฉียนคุนของเจ้ายังมีของกินหรือไม่” หนานเหอถาม แต่พอเห็นสีหน้าของหมอเทวดาเซี่ยที่บูดบึ้งขึ้นเรื่อยๆ จึงรีบอธิบาย “ข้าไม่เป็นวรยุทธ์”
“ยังมีขนมข้าวเหนียวอยู่หนึ่งจาน” เซี่ยเหยียนตอบอย่างเหนื่อยใจ ที่จริงนั่นเป็นของว่างของเขา
หนานเหอมองเขาด้วยสายตาน่าสงสารทันที
เซี่ยเหยียนยอมแพ้ แต่สายตาแปลกๆ ทอดไปบนตัวเขา
ส่วนหลินอิ่งนิ่งอึ้งไป นี่คือองค์รัชทายาทผู้เกรียงไกรของพวกเขาหรือ สายตาน่าสงสารแบบนั้น คืออ้อนอยู่หรือ ใช่ไหม
“เป็นอะไรไป” หนานเหอสัมผัสได้ถึงสายตาแปลกๆ จากทั้งคู่
“อะแฮ่ม” เซี่ยเหยียนกระแอม จากนั้นก็พูดเนิบๆ “องค์รัชทายาท ท่าทางอ่อนแอน่าสงสารอะไรแบบนั้น ดูไม่ค่อยเหมาะกับท่าน” เป็นไม้เบื่อไม้เมากับองค์รัชทายาทมาหลายปี เขาไม่เคยเห็นองค์รัชทายาทในมุมแบบนี้มาก่อน ช่างขัดกับภาพลักษณ์ที่องอาจเกรียงไกรจริงๆ
หนานเหอยิ้มบางๆ “ได้ผลก็พอแล้วนี่”
เซี่ยเหยียน “......” เอาเถอะ เขาได้เห็นมุมใหม่ๆ ขององค์รัชทายาทเข้าแล้ว
ทั้งสามยอมแพ้ให้กับโต๊ะหิน แล้วเดินวนไปรอบเสื้อสีเหลืองบนพื้น ในที่สุดก็หาแขนเสื้อที่มีถุงเฉียนคุนอยู่จนเจอ จากนั้นจึงมุดเข้าไป
ตาเป็นประกายตา แต่แล้วมืดลงโดยพลันหลังเสียงฟุ้บดังขึ้น
ของที่อยู่ในถุงเฉียนคุนของเซี่ยเหยียนเยอะที่สุดก็คือยันต์วิเศษ กองเป็นภูเขาลูกย่อมๆ พอพวกเขาเข้าไป ก็โดนฝังใต้ยันต์วิเศษทันที
กว่าจะปีนออกมาได้ ทั้งสามคนหอบหายใจกันยกใหญ่ สีหน้าของหนานเหอดูแย่มาก คว้ามุมของยันต์วิเศษใบหนึ่งได้ก็หมายจะฉีกเสีย ตอนนี้แม้แต่ยันต์วิเศษก็ยังใหญ่กว่าพวกเขา
“หยุดนะ” เซี่ยเหยียนรีบห้ามพัลวัน ยันต์วิเศษพวกนี้ได้มาจากการที่เขาช่วยรักษาคน ทุกใบเก็บกักพลังวิญญาณอันแรงกล้าไว้ เขาหวงเอามากๆ โดนเฉพาะใบที่อยู่ในมือขององค์รัชทายาท “นั่นยันต์ที่ท่านเทพสังหารวาดเลยนะ”
เทพสังหารคือเทพสงครามอันดับหนึ่งในสวรรค์ ไอเซียนบนตัวส่องประกายเจิดจ้ายิ่งกว่าองค์รัชทายาทเสียอีก
สุดท้ายหนานเหอก็ไม่ได้ฉีกยันต์วิเศษนั้น
แต่ถุงเฉียนคุนของเซี่ยเหยียนรกมาก ทั้งสามคนช่วยกันหา ในที่สุดก็หาขนมข้าวเหนียวเจอที่มุมมุมหนึ่ง
เซี่ยเหยียนรีบพุ่งเข้าใส่ทันที เขาไม่ได้กินข้าวกลางวันแล้วยังลำบากลำบนมาตั้งนาน หิวจนไส้กิ่วแล้ว
เพียงแต่ขนมข้าวเหนียวที่เดิมทีใหญ่แค่ฝ่ามือ บัดนี้มีขนาดใหญ่พอๆ กับตัวเขา
เซี่ยเหยียนออกแรงสุดฤทธิ์ แต่ก็กินไปได้แค่เสี้ยวเดียว ไม่เห็นแม้แต่ไส้ข้างใน น่าหงุดหงิดจริงๆ
แต่พอเขาเหลือบมองอีกสองคนก็อารมณ์ดีขึ้นมาทันใด “ฝ่าบาท ท่านเป็นแมวหรือ ถึงเสวยน้อยแบบนี้” กินไม่ถึงครึ่งของเขาด้วยซ้ำ
หนานเหอทำหน้าบึ้ง “เจ้าอยากโดนต่อยอีกหรือ”
เซี่ยเหยียนผิวปากแล้วมองฟ้า อ้อ มองถุงเฉียนคุนสิ
แล้วเขาก็เห็นว่าที่ส่วนบนของถุงเฉียนคุน จู่ๆ ก็เว้ายวบลงกะทันหัน หลังจากนั้นก็มีเสียงดังตุบ เหมือนมีบางอย่างร่วงใส่ถุงเฉียนคุน
ทั้งสามคนปีนออกมาจากถุงเฉียนคุนอย่างทุลักทุเล ก็เห็นคนตัวเล็กคนหนึ่งที่นอนตะแคงอยู่บนแขนเสื้อสีเหลือง แววตาทั้งสองดูงงงวย
“อู๋เฟิง?” เซี่ยเหยียนจำเจ้าเพื่อนจอมปลอมของเขาได้ในทันที
อู๋เฟิงได้สติ รีบพลิกตัวลุกขึ้นยืน แล้วถามอย่างสับสน “เซี่ยเหยียน ทำไมทุกอย่างถึงใหญ่ขึ้นล่ะ แล้วพลังเวทย์ข้าก็ใช้ไม่ได้ ข้าไม่สบายหรือ”
เซี่ยเหยียนฝืนยิ้ม “ไม่ใช่ว่าทุกอย่างใหญ่ขึ้น แต่เจ้าตัวเล็กลง พวกเราเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
ฟ้ามืดสนิทแล้ว ดวงดาวมากมายเผยตัวเต็มท้องฟ้า ลมกลางคืนพัดผ่าน ผ้าที่เซี่ยเหยียนใช้ห่อตัวพลิ้วไปตามสายลม
อู๋เฟิงเพิ่งจะสังเกตเห็นการแต่งตัวของเขา เขาอึ้งไปพักหนึ่ง ก่อนจะอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ฮ่าๆ เซี่ยเหยียน เจ้าทำอะไรของเจ้า”
เซี่ยเหยียนหน้าบึ้ง เดิมทีเขาสนใจเรื่องภาพลักษณ์มาก แล้วยังให้ความสำคัญกับอาหารการกินและอาภรณ์ด้วย ของกินต้องอร่อยที่สุด เสื้อผ้าต้องงามที่สุด เพราะแบบนี้ผู้รับใช้ที่เขาเลือก ครึ่งหนึ่งเป็นพ่อครัว ส่วนอีกครึ่งเป็นช่างตัดเสื้อ
องค์รัชทายาทน่ะหรือ นั่นเหนือความคาดหมายไป
ส่วนหลินอิ่งก็เป็นช่างตัดเสื้อ
เซี่ยเหยียนมองเขา
หลินอิ่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เวลากระชั้น ถ้าทำทั้งชุดเกรงจะไม่ทัน ข้าทำเสื้อคลุมยาว ท่านทนใช้ไปก่อนก็แล้วกัน”
“ก็ได้”
หลินอิ่งทำอะไรรวดเร็ว หาวัสดุจากตรงนั้น ฉีกผ้าจากชุดสีเหลืองเป็นชิ้นเล็ก ส่วนกรรไกรกับเข็มด้ายที่เขาใช้ประจำยังเหมือนเดิม ในเวลานี้บางอย่างใหญ่กว่าเขา บางอย่างขนาดใหญ่พอๆ กับเขา หลินอิ่งใช้ไม่ได้ จึงใช้เส้นด้ายมัดผ้าสีเหลืองเสียเลย เสื้อคลุมเรียบง่ายไร้แขนก็เป็นอันเสร็จ
เซี่ยเหยียนรีบเปลี่ยนชุดทันที ดูแล้วก็ยังดูแปลกไปสักหน่อย แต่อย่างน้อยก็เป็นเสื้อผ้าชุดหนึ่ง เพียงแต่ช่วงล่างว่างเปล่าโหวงเหวง ลมพัดมาทีก็เย็นๆ พิกล
“พรุ่งนี้เจ้าทำกางเกงให้ข้าหน่อยเถอะ” เซี่ยเหยียนกล่าว
“อืม ข้าก็ตั้งใจเช่นนั้นเหมือนกัน” หลินอิ่งเองก็เย็นวูบวาบไม่แพ้กัน
ลำบากมาทั้งวัน เซี่ยเหยียนเพลียตั้งนานแล้ว เขาหาวพลางถามขึ้น “อู๋เฟิง ทำไมจู่ๆ เจ้าถึงมาได้ล่ะ”
อู๋เฟิงตบหัวตัวเองเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ “เกือบลืมเรื่องสำคัญไป” จากนั้นก็ล้วงถุงเฉียนคุนออกมาจากแขนเสื้อ “วันนี้เจ้าได้เป็นกอบเป็นกำเลย วงพนันมีเจ้าชนะคนเดียว”
“มียันต์วิเศษหรือไม่” เซี่ยเหยียนพยายามทำตัวสดชื่น
“อันนี้ไม่มีจริงๆ ” อู๋เฟิงกล่าว เขาเอาใบไม้ใบหนึ่งออกมา ซึ่งก็คือใบหงตานซาที่เซี่ยเหยียนลงพนันไว้
แต่พอใบไม้เพิ่งออกมาจากถุงเฉียนคุนก็ขยายใหญ่ขึ้นในทันที เกือบจะกระแทกโดนพวกเขาสองคน
“งั้นตอนเจ้ามาเจ้าเห็นอะไรแปลกๆ ผิดปกติหรือไม่” เซี่ยเหยียนกลับไม่รู้สึกว่าแปลกอะไร พวกเขาเข้าไปในถุงเฉียนคุนมาแล้ว ทุกอย่างข้างในยังขนาดเท่าเดิม
“ผิดปกติ?” อู๋เฟิงครุ่นคิด
“ช่างเถอะ ปัญญาอย่างเจ้าต่อให้มีก็ไม่สังเกตเห็น” เซี่ยเหยียนรู้จักเจ้าเพื่อนจอมปลอมของเขาอย่างดี
“ข้าขอสู้ตายกับเจ้า” อู๋เฟิงกัดฟัน
เซี่ยเหยียนกลอกตาไม่สนใจเขา หันกลับได้ก็เข้าไปที่ห้องข้างในอย่างยากลำบาก ปีนขึ้นเตียงอย่างยากลำบาก เขาที่รักสะอาดมาตลอดต้องนอนหลับทั้งที่ไม่ได้อาบน้ำ
แต่ก่อนจะหลับเขาคิดสะลึมสะลือว่าต่อไปธรณีประตูไม่ทำสูงขนาดนี้แล้ว ทำเอาเขาเกือบตกลงมาตาย
บนเตียงใหญ่โตมโหฬาร ที่หัวเตียงมีถุงเล็กๆ ป่องออกมา เซี่ยเหยียนหนุนถุงใส่เหรียญนอนหลับสนิท