ตีครั้งที่ 3
แม้ว่าทุกครั้งที่ท่านหมอเทวดาโดนต่อย จะดูหนักหนาสากรรจ์ แต่จริงๆ องค์รัชทายาทไม่ได้ลงมือหนัก เพราะเขาคือองค์รัชทายาทผู้ปรีชาสามารถ!
เซี่ยเหยียนเป็นหมอเทวดาที่หาได้ยากในแดนสวรรค์ มือคู่คล่องแคล่วช่วยคนช่วยเทพและสรรพสัตว์ เป็นสมบัติล้ำค่าแห่งสี่ภพ ถ้าองค์รัชทายาทลงไม้ลงมือหนัก อย่าว่าแต่คนอื่นจะไม่เห็นด้วย เกิดไม่ระวังลงมือหนักจนตายขึ้นมา จะกลายเป็นความเสียหายที่ชดเชยไม่ได้พอดี
ฉะนั้นองค์รัชทายาทผู้ปรีชาสามารถจึงได้แต่สะกดกลั้นไว้ จะใช้อาคมตอนต่อยตีไม่ได้ ต้องลงมือเองเหมือนมนุษย์ธรรมดา แถมยังออกแรงมากไม่ได้อีก
เซี่ยเหยียนกลับเข้าห้องด้านในไปดูก้นล้ำค่าของตัวเอง ยังดีแค่แดงนิดหน่อย ทายาเดี๋ยวก็หาย
พอออกมาจากด้านในห้อง ก็เห็นองค์รัชทายาทผู้มีประกายแสงสีขาว เซี่ยเหยียนก็ไม่สบอารมณ์อย่างมาก แสงนี้ก็คือไอเซียนที่เหล่าเซียนพูดถึง มีเพียงเซียนที่ใกล้ระดับขั้นเทียนเต้าถึงจะมี แถมยังสิ้นเปลืองพลังวิญญาณอย่างมาก
“ฝ่าบาท ท่านใกล้บรรลุขั้นเทียนเต้าก็จริง แต่ก็ไม่ต้องอวดตลอดเวลาก็ได้” น้ำเสียงของเซี่ยเหยียนไม่เป็นมิตรนัก
ถูกต้อง เขาอิจฉาอย่างหนัก เพราะพลังวิญญาณอันน้อยนิดของเขา ทุกส่วนต้องแบ่งใช้ครึ่งเดียว ส่วนองค์รัชทายาทกลับผลาญพลังวิญญาณแบบนี้ เพื่อคงไอเซียนที่ไร้ประโยชน์นี่ไว้ ช่างใช้ทิ้งใช้ขว้างจริงๆ
องค์รัชทายาทสองมือไพล่หลัง เก็บแสงขาวรอบตัวเข้าไป ไม่ถือสาความไร้มารยาทของหมอเทวดา
แดนมนุษย์ เขาเฟิ่งหวง
ท้องฟ้ายามสายัณห์คืบคลานเข้ามา ณ มุมหนึ่งของใต้ชานที่ประณีตงดงาม เซี่ยเหยียนนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเล็กพับได้ด้วยท่าทีเงอะงะ เขาที่ให้ความสำคัญกับการแต่งกายมาแต่ไหนแต่ไร แต่ตอนนี้อาภรณ์เลอะยังมองไม่เห็น
หลินอิ่งนั่งอยู่ตรงข้ามกับเขาแล้วพูดขึ้นด้วยอารมณ์ที่ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ท่านเซียนเซี่ย ท่านก็รู้ดีว่าองค์รัชทายาทจะต่อยท่าน เหตุใดถึงยังกล้าพาเขามาที่ตำหนักเทพอีกเล่า”
เขาเฟิ่งหวงเป็นดินแดนของเซี่ยเหยียนที่โลกมนุษย์ เขาปักหลักอยู่ที่นี่มาเป็นเวลานาน ครั้งนี้ที่ไปแดนสวรรค์ก็เพื่อเลือกผู้รับใช้ จึงไม่ได้พาหลินอิ่งไปด้วย
ฉะนั้นตอนที่หลินอิ่งเห็นองค์รัชทายาทก็งงเป็นไก่ตาแตก
เซี่ยเหยียนเล่าเรื่องที่เกิดบนสวรรค์ให้เขาฟัง
พอได้ยินคำของหลินอิ่ง เซี่ยเหยียนก็อดถลึงตาใส่เขาไม่ได้ “ข้าจะรู้ได้อย่างไรเล่า”
“เช่นนั้นท่าน...”
“ข้าเลือกผู้รับใช้มาก็นานหลายปีแล้ว ไม่เคยเจอสถานการณ์ที่บรรลุแล้วแต่สัญญาผู้รับใช้ยังคงอยู่ นึกว่าจะมีความลับสะเทือนสวรรค์อะไรเสียอีก”แต่กลายเป็นว่าทำตัวเองลำบากเสียอย่างนั้น
ในตอนนี้เอง พลันก็มีสิ่งของบางอย่างร่วงลงมา หลินอิ่งรับเอาไว้อย่างว่องไว ทั้งสองมองพินิจพิจารณาอย่างละเอียด เป็นนกน้อยสีขาวสลับฟ้าตัวหนึ่ง
“มันบาดเจ็บ” หลินอิ่งเอ่ยขึ้น
ปีกของนกมีเลือดอาบ หายใจรวยริน
เซี่ยเหยียนรีบล้วงเอายันต์วิเศษออกมาจากแขนเสื้อ มือขวาล้วงเข้าไปในสายคาดเอวคว้าเอาพู่กันด้ามหนึ่งออกมา บนด้ามมีตัวอักษร “พิพากษา” อยู่ นี่คือพู่กันพิพากษาอันเลื่องชื่อนั่นเอง
“งั้นท่านพาองค์รัชทายาทลงมาที่นี่เพราะอะไรกันหรือ” หลินอิ่งประคองนกน้อยด้วยมือเดียวแล้วยื่นไปตรงหน้าเซี่ยเหยียน “หรือคิดจะใช้เขาเป็นผู้รับใช้จริงๆ”
สองนิ้วมือซ้ายของเซี่ยเหยียนคีบยันต์เอาไว้ นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้”
จุดไท่หยางของหลินอิ่งกระตุกอย่างแรง “ท่านเซียนเซี่ย เรื่องนี้จะล้อเล่นไม่ได้นะขอรับ”
เซี่ยเหยียนโมโห ตวัดปลายพู่กันลงบนยันต์วิเศษอย่างหนักหน่วง ทันใดนั้น แสงสีขาวพร้อมดวงดาวก็โผล่ออกมาจากตำแหน่งที่พู่กันสัมผัสกระดาษ “นึกว่าข้าอยากหรือ แต่เขาเอาแต่พูดว่าตัวเองเป็นผู้รับใช้ข้า แล้วก็บัญชาสวรรค์อีก จะตามมาให้ได้ จะให้ข้าทำเยี่ยงไร”
แสงดาวสีขาวหมุนวนในอากาศก่อนจะครอบนกน้อยไว้ เลือดบนปีกของนกน้อยค่อยๆ หายไป ปากแผลก็ค่อยๆ สมาน
“ในเมื่อเขาอยากเป็นผู้รับใช้ขนาดนั้น ข้าก็จะสนองเขา” เซี่ยเหยียนหงุดหงิด
“ท่านเซียนผู้น้อยเซี่ย ไม่ได้นะขอรับ นั่นน่ะคือองค์รัชทายาทผู้สูงส่ง ทำอะไรส่งๆไม่ได้นะ” หลินอิ่งรีบโน้มน้าว
“ฮึ อย่างไรเสียก็ไม่ใช่ครั้งแรกแล้ว ตอนเด็กเขายังเคยเป็นเด็กรับใช้ข้าเลย”
หลินอิ่ง “…...” หนีตอนนี้ยังทันไหม
บาดแผลที่ปีกของนกน้อยหายสนิท เพียงครู่เดียวนกน้อยก็ตื่นขึ้น กระพือปีกเล็กน้อย จากนั้นก็บินขี้นเป็นอิสระอย่างร่าเริง
เซี่ยเหยียนเองก็ลุกขึ้น ในตอนนี้เขาเพิ่งเห็นดินบนชายเสื้อ หน้าเขาบูดบึ้งขึ้นมาทันที ก่อนจะหันเดินไปทางเข้าไปในห้อง
“ท่านเซียนผู้น้อย ท่านจะไปไหน”
“เปลี่ยนเสื้อ” เซี่ยเหยียนรักความสะอาดมาก ทนกับความสกปรกบนตัวไม่ได้แม้สักนิด
หลินอิ่ง “...…” อะไรอีกล่ะ จะเริ่มเรียกใช้องค์รัชทายาทแล้วหรือ
เซี่ยเหยียนเดินไปได้สองก้าวก็หันกลับมามองเขา “คิดเพ้อเจ้ออะไรอยู่ ไปช่วยข้าหาเสื้อสีเหลืองตัวนั้นมา”
หลินอิ่งอึ้งไป เพิ่งจะตระหนักได้ว่าตัวเองคิดมากไปเอง จึงรีบเดินตามพลางพ่นลมหายใจยาว “ท่านเซียนเซี่ย ในเมื่อท่านกลัวองค์รัชทายาทขนาดนี้ ทำไมยังต้องไปแหย่เขาล่ะ”
เซี่ยเหยียนทำท่าหงอขึ้นมาอีก “ใครใช้ให้เขามาต่อยข้าบ่อยๆ”
“ท่านไปถอนต้นไม้เขานี่”
“เขาต่อยข้าก่อน”
“นั่นเพราะท่านไปรื้อประตูบ้านเขา”
“เขาต่อยข้าก่อน”
หลินอิ่ง “......”
ข้ามปัญหาโลกแตกซับซ้อนนี่กันเถอะ!
แต่ว่า
“ท่านหยุดพูดว่าสะโพกอันล้ำค่าทีจะได้หรือไม่” ได้ยินคำพรรณนาแบบนี้หลินอิ่งล่ะไม่ไหวแล้ว
เซี่ยเหยียนมองเขาแวบหนึ่ง “ข้าพูดเรื่องจริง ทั้งเนื้อทั้งตัวข้าล้วนล้ำค่า”
“ท่านเป็นพระถังซัมจั๋งหรือ กินแล้วจะได้เป็นอมตะ” หลินอิ่งเอ่ยประชด
“ฮึๆ ความรู้เจ้าตื้นเขินแล้วสินะ เป็นอมตะจะน่าสนใจอะไร ผู้บำเพ็ญเพียรหรือบำเพ็ญเป็นเซียนล้วนทำได้ทั้งนั้น ข้าเนี่ยทำให้คนตายฟื้นคืนชีพได้” เซี่ยเหยียนยกมือขึ้น กลีบดอกไม้สีชมพูสองกลีบบนไหล่ลอยมา และกระโดดโลดเต้นอยู่บนปลายนิ้ว ราวกับกำลังเต้นรำ