ตอนที่ 3 นกหวีดหงส์หยกสีขาว
“ไม่ต้องตกใจขนาดนั้น ไปถึงก็รู้เองรีบไปเถอะ พวกเจ้าคอยดูต้นทางและความปลอดภัยของทุกคนให้ดี”
“ขอรับคุณชาย”
ห้องพักที่พวกเขาจองทั้งหมดสามห้อง ซึ่งห้องของนางและโม่จางหยวนเป็นห้องที่อยู่ตรงกลางและเป็นห้องที่ใหญ่ที่สุดซึ่งมีห้องแยกสองห้องนางจึงเข้าใจที่เขาพูด ด้านซ้ายเป็นห้องขององครักษ์ของเขาส่วนทางขวาสุดริมทางเดินเป็นของสาวใช้ทั้งสองของนาง
“ท่าน…ไม่นอนหรือ เหตุใดไปนั่งอยู่ที่นั่น”
“คุณหนูรอง เจ้าคงลืมไปแล้วว่าข้าเป็นองครักษ์ของเจ้า แน่นอนว่าต้องคอยอารักขาเจ้าแม้แต่ยามที่เจ้าหลับ”
“ต้องทำเช่นนั้นเลยหรือ”
“เจ้านอนพักเถอะ ข้าชินแล้ว”
แต่ผู้ใดจะหลับลงได้เมื่อมีคนอื่นอยู่ร่วมห้องด้วยเช่นนี้ หลางเย่หลินลอบมององครักษ์หนุ่มที่นั่งอยู่ที่ริมหน้าต่าง สายตาเขามองออกไปด้านนอก แต่ใบหน้าที่ต้องแสงจันทร์นั้นทำเอาหัวใจของหลางเย่หลินสั่นไม่เป็นจังหวะอีกครั้ง แม้ว่าเขาจะไม่ได้หันมามองนางเลยก็ตาม
“เจ้านอนไม่หลับหรือคุณหนูรอง”
“ข้า…ไม่ชินกับ…การลงมาจากเขา ที่นั่นมิได้เสียงดังเช่นนี้”
“เจ้ามาดูตรงนี้สิ”
เขาหันมาเรียกนาง อีกอย่างคงเพราะผ้าที่นางใช้คลุมนั้นด้วย เวลานางนอนก็ยังไม่คิดจะถอด เช่นนี้จะหายใจสะดวกได้อย่างไรกัน เมื่อนางเดินมาที่หน้าต่าง ด้านล่างนั้นยังไม่ดึกมาก ผู้คนยังเดินไปมาอยู่เยอะพอสมควรจนนางรู้สึกว่าเมืองเล็ก ๆ ย่านชานเมืองก็มีคนพลุกพล่านเช่นกัน
“คนเยอะมากเลย พวกเขาไม่หลับไม่นอนกันเลยหรือ”
“ที่นี่เป็นแถบชานเมือง ในเวลาเช่นนี้ ผู้ที่ค้าขายก็พึ่งจะปิดร้าน เมื่อปิดร้านก็จะเริ่มหาอะไรกิน ส่วนผู้ที่ขายอาหารช่วงค่ำก็พึ่งจะเริ่มตั้งร้านและทำงาน พวกเขาเป็นเช่นนี้ทั้งวัน ทั้งคืน ผลัดกันตื่นผลัดกันหลับเป็นเรื่องปกติของคนแถบชานเมือง”
“ดูท่านรู้ดีเรื่องวิถีชีวิตของผู้คนที่นี่เสียจริง”
“ข้าไปมาทั่วใต้หล้า งานองครักษ์ก็เป็นเพียงงานรับจ้างงานหนึ่งเท่านั้น ทำไม เจ้านึกสนใจอยากท่องเที่ยวไปทั่วหล้าเช่นกันงั้นหรือ”
“ข้า….ไม่เคยลงจากเขาฉีซางมานานแล้วนับตั้งแต่ท่านแม่เสีย”
เขาหันมามองนางอีกครั้ง สายตาของนางอ่อนโยนลงแล้วหลังจากผ่านไปเกือบวัน อย่างน้อยเขาก็รับรู้อารมณ์ของนางได้ผ่านสายตา
“คุณหนูรอง เหตุใดเจ้าเอาแต่สวมผ้าคลุมหน้าเช่นนั้น นี่อาจจะเป็นสาเหตุทำให้เจ้านอนไม่หลับเพราะหายใจไม่สะดวก”
“ข้า….”
“เชื่อข้าเถอะ ข้าเป็นองครักษ์ของเจ้า ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าตกอยู่ในอันตรายหรอก”
“ข้าเกรงว่าท่านจะตกใจ”
“เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า ข้าไม่มองก็ได้หากเจ้าไม่วางใจ ข้าไปนอนล่ะ”
“ไหนท่านบอกว่า…”
“หากว่าข้ายังนั่งอยู่เช่นนี้ทั้งคืนเจ้าก็คงจะนอนไม่หลับ ไม่ต้องห่วงหรอก ไม่ว่าจะเป็นฝีเท้าหนูตัวเล็กหรือตีนแมวย่องเบาข้าก็รู้ก่อนเจ้าอยู่แล้ว รีบไปนอนเถอะพรุ่งนี้เราจะเดินทางถึงเมืองหลวงแล้ว”
เขาเดินไปยังห้องที่มีม่านกั้นเอาไว้อีกทางหนึ่ง เย่หลินเห็นว่าเขาเดินเข้าไปนอนแล้วนางจึงเดินกลับไปที่เตียงและตัดสินใจดึงเชือกผูกผ้าคลุมหน้าออกมาและส่องดูที่กระจก ที่แก้มของนางมีรอยแผลยาวอยู่ทั้งสองข้าง นางลูบขึ้นลงและใช้บางอย่างบนโต๊ะทาลงไปที่แผลนูนบนแก้มนั้นอีกครั้งก่อนจะเข้านอน
ดึกคืนนั้น
โม่จางหยวนมิได้หลับสนิท เขาลุกเดินออกไปด้านล่างหลังจากที่นางหลับสนิทแล้ว เมื่อลงไปสำรวจดูนักฆ่าที่ถูกส่งมากำจัดนางยังคงตามพวกเขาออกมาและกังลี่เป็นคนที่จับพวกมันที่เหลือได้
“พวกมันตามเรามาตั้งแต่ก่อนเข้าเมืองแล้วขอรับ”
“เป็นคนของใคร”
“……”
“ข้าเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมสตรีผู้นี้ถึงได้บังคับให้ข้ากินยาพิษนั่น จัดการให้เสร็จและรีบกลับ”
“ขอรับ”
เมื่อกลับมานางก็หลับสนิทไปแล้ว โม่จางหยวนไม่ได้อยากนึกอย่ากล่วงเกินนางแต่เขาเพียงใคร่อยากจะเห็นใบหน้าที่ไร้การปกปิดนั้นเสียหน่อย หากว่าเกิดพลัดหลงกับนาง อย่างน้อยก็จะได้จำนางได้
เมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้นางยามหลับก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าที่ใบหน้าของนางมีรอยแผลขนาดใหญ่และยาวพาดอยู่ที่แก้มทั้งสองข้าง ใบหน้านั้นงดงามแต่มีรอยแผลซึ่งดูเหมือนจะเป็นแผลที่พึ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน
“เป็นเช่นนี้นี่เอง”
เขารีบถอยออกมาและกลับไปที่เตียงของตนเองพลันนึกถึงเรื่องในวันนี้ เขาลงเขามาพบว่าคนร้ายถูกนางกำจัดด้วยพิษ แม่ชีอี้ซินบอกเขาแล้วว่าพวกนางมีวรยุทธ์แต่เท่าที่เขาเห็นนางน่าจะใช้ยาพิษมากกว่า เขาเร่งตามพวกนางมา โชคดีที่มาเร็วจนกำจัดคนร้ายไปได้อีกชุดหนึ่ง นึกไม่ถึงว่านางแค่คนเดียวจะมีคนปองร้ายมากขนาดนี้
“แค่ตำแหน่งพระชายารัชทายาท ถึงกับต้องฆ่าและทำร้ายกันถึงเพียงนี้ ช่างน่าสมเพชบุตรขุนนางพวกนี้จริง ๆ”
วันถัดมา
พวกเขาเดินทางเข้าเมืองหลวงตามกำหนดเวลาที่ช้าไปกว่าที่จะเป็นหนึ่งวันเต็ม ๆ เมื่อเห็นประตูเมือง โม่จางหยวนก็กระโดดลงจากรถม้า
“เอาล่ะ เราจะแยกกันตรงนี้ ข้าจะไม่นั่งรถไปกับเจ้าแต่จะตามไปเงียบ ๆ ไม่ต้องห่วง ข้าจะให้เป่ากงเป็นคนไปส่งเจ้าถึงจวนสกุลหลาง เจ้าเพียงแค่บอกว่าเขาเป็นคนขับรถม้ารับจ้างก็พอ”
“เข้าใจแล้ว ว่าแต่ข้าจะ…”
เขาโยนนกหวีดหยกมาให้นางรับเอาไว้
“นกหวีดหงส์หยกสีขาวงั้นหรือ”
“ใช้เรียกข้า แต่ไม่ต้องห่วงเพราะข้าจะอยู่กับเจ้าตลอดเวลาแม้เจ้าจะไม่เห็นตัวข้าก็ตาม หากอยู่ในอันตรายก็จงเป่ามันข้าจะรีบไปทันที”
“เข้าใจแล้ว”
“เป่ากง ฝากด้วย”
“ขอรับคุณชาย”
รถม้าวิ่งเข้าเมืองไปแล้ว กังลี่จึงหันมามองเขาเพื่อรับคำสั่งต่อไป
“พวกคนร้ายที่จับได้เจ้าเอาพวกมันส่งกลับมาแล้วใช่หรือไม่”
“ทำตามคำสั่งเรียบร้อยแล้วขอรับ”
“ส่งพวกมันไปที่สกุลหลาง ต้องส่งไปหลังจากที่แน่ใจแล้วว่านางเข้าจวนไปแล้ว ข้าอยากจะรู้นักว่าจะมีผู้ใดกล้ายอมรับเรื่องแผนการสกปรกนี่ได้”
“คุณชาย แล้วท่าน…”
“ข้าต้องไปจัดการบางอย่างเจ้ารีบไปที่ศาลและจัดการเรื่องที่เหลือก่อนที่เป่ากงจะไปถึงสกุลหลาง”
“รับทราบ”
โรงเตี๊ยมใหญ่ในเมืองหลวง / ห้องส่วนตัว
“พิราบโบยบิน”
“ให้เข้ามาได้”
โม่จางหยวนเปลี่ยนสวมชุดที่เตรียมเอาไว้ก่อนจะขึ้นมาและสวมหน้ากากสีดำเอาไว้เช่นเดิมและเดินเข้าไปพบสตรีสูงวัยในห้องนั้น แม้ว่าจะมีฉากกั้นระหว่างเขากับนางก็ตาม
“จัดการเรียบร้อยหรือไม่”
“ฮูหยิน พวกเราทำงานพลาด นางรอดมาได้”
“กึก!!”
“ว่าอย่างไรนะ พลาดงั้นหรือ แล้วพวกเจ้าถูกจับได้หรือไม่”
“พวกของข้าตายหมดแล้วเหลือรอดเพียงข้าคนเดียว”
“เหตุผลล่ะ ที่ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
“ฮูหยิน ตอนที่พวกข้าลงมือ พบกับนักฆ่าอีกชุดหนึ่งที่ส่งมาเช่นกัน แต่ละคนต่างไม่ทราบว่ามาทำสิ่งใดก็เลย…ลงมือฆ่ากันเอง”
“เหลวไหลยิ่งนัก!! นี่มัน…เรื่องอะไรกัน”
เสียงที่โมโหขึ้นสุดขีดพร้อมกับปัดของบนโต๊ะแตก น่าจะเป็นชุดชาที่เหลือ โม่จางหยวนคิดว่านางคงเริ่มใกล้จะสติแตกแล้วหากว่าได้ยินคำที่เหลือ
“ยังมี…คนที่ต้องการฆ่านางนอกจากข้าอีกงั้นหรือ บ้าจริงหากรู้เช่นนี้คงไม่ต้องเสียเวลา”
“ฮูหยิน ฝ่ายข้าน้อยจับพวกมันได้สองคนเพื่อมาถาม”
“มันเป็นคนของผู้ใดกัน”
โม่จางหยวนแสยะยิ้มออกนิดหนึ่งก่อนที่จะตอบนางกลับไปด้วยเสียงเรียบ ๆ
“คุณหนูสามสกุลหลาง…หลางเสี่ยวหง”