9. พระราชทานสมรส
หลังจากรัชทายาทและองค์ชายจัดการกับเหล่ากบฎเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เดินทางกลับเมืองหลวง เพื่อรายงานต่อฮ่องเต้ และแต่งตั้งเจ้าเมืองคนใหม่
"หากถึงเมืองหลวงแล้วพี่จะให้เสด็จแม่ ขอพระราชทานสมรสให้เรา" อ๋องฉินเอ่ยกับซีซีในรถม้า
"ขอบพระทัยเพคะ" เมื่ออีกคนเอ่ยจบมือเรียวก็ดึงคนน้องเข้ามากอด ทำให้เสียงหวานเอ่ยประท้วงขึ้นมาทันที
"ท่านอ๋องเราอยู่บนรถม้านะเพคะ"
“ก็ใช่น่ะสิ” อ๋องฉินเอ่ยจบ ก็บรรจงจูบที่ริมฝีปากคนรักอย่างดูดดื่ม กว่าจะปล่อยให้นางเป็นอิสระ ริมฝีปากอิ่มก็บวมเจ่อเพราะน้ำมือเขาไปแล้ว
"ทำไมถึงได้จูบเก่งขนาดนี้นะ เผลอมิได้เลยเชียว ต้องระวังตัวให้มากแล้ว" นางได้แต่คิดในใจ
เมื่อมาถึงเมืองหลวงทุกคนล้วนแต่เข้าเฝ้าฮ่องเต้ และเล่าถึงวีรกรรมของซีซีแผนการณ์ต่างๆที่นางคิดและทำ เหล่าขุนนางพากันแปลกใจรวมถึงฮ่องเต้เช่นกัน
"มีเรื่องเช่นนี้จริงรึ" เสนาบดีเอ่ย
"เป็นเช่นนั้นจริงท่านเสนา ข้าเป็นคนใช้แผนของนางเอง และเห็นนางปีนขึ้นกำแพงเองกับตาข้า" องค์ชายสี่เอ่ยเยินยอ จนขุนนางต่างก็พากันเชื่อ ซีซีได้แต่ยืนยิ้มแห้งใส่ เพราะดูเหมือนนางจะกลายเป็นสตรีประหลาดเสียมากกว่า ในสายตาของขุนนางบางคนที่มิเชื่อ
"เป็นแผนการที่ดี มิทำให้ต้องเสียเลือดเนื้อเช่นนี้ ข้านับถือจริงๆ” ฮ่องเต้กล่าวชื่นชมซีซี นางยิ้มกว้างเมื่อได้รับคำชมจากฮ่องเต้ ทำให้ขุนนางบางส่วนอดเอ็นดูมิได้
"มีสิ่งใดที่เจ้าต้องการ หากข้าสามารถมอบให้ได้ข้าก็ยินดี เพียงแค่เจ้าเอ่ยมา” ฮ่องเต้เอ่ยบอกกับผู้ที่ได้ช่วยกอบกู้เมืองให้พ้นจากการฆ่าฟันกันเอง
"หม่อมฉันมิปรารถนาสิ่งใด ทุกวันนี้ก็ดีอยู่แล้วเพคะ มิอยากได้อะไรแล้ว" นางเอ่ยเสียงใส
“มิมีสิ่งใดที่เจ้าต้องการเช่นนั้นหรือ เจ้านี่ช่างมักน้อยจริงๆ” ฮ่องเต้เอ่ยขึ้น ก่อนจะยิ้มเอ็นดู
"ถ้าเช่นนั้นข้าจะประทานสมรสให้เจ้ากับโอรสของข้า ข้าอยากได้เจ้ามาเป็นสะใภ้หลวง เจ้าจะว่าเช่นใด" ครานี้ฮ่องเต้เอ่ยเพื่อหมายจะดึงเอาสตรีตัวน้อยให้อยู่ใต้อาณัติตน เพราะความเฉลียวฉลาดนี้หาได้ยาก อีกทั้งเรื่องที่นางมาจากแห่งหนอื่น อาจทำให้บ้านเมืองรุ่งโรจน์มากเป็นแน่
ทันทีที่ทุกคนได้ยินรับสั่ง ต่างก็มองหน้ากัน อ๋องฉินนั้นวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด หากแต่ฝั่งรัชทายาทและองค์ชายกลับมีรอยยิ้มบนใบหน้า ซีซีเดินออกไปยังกลางท้องพระโรง และคุกเข่าทำความเคารพต่อฮ่องเต้ แล้วจึงเอ่ย
"หากฝ่าบาทรับสั่งเช่นนี้ หม่อมฉันขอเปลี่ยยนใจได้หรือมิเพคะ ตอนนี้มีสิ่งที่หม่อมฉันต้องการแล้วเพคะ"
เสียงใสในคราแรกยามนี้แปลเปลี่ยนเป็นหนักแน่นแต่อ๋องฉินกำลังกังวลกับคำพูดของฮ่องเต้ก่อนนี้ หากมีราชโองการให้อภิเษกเขาก็มิอาจทัดทานได้ หากแม้มิมีเสด็จแม่ก็คงจะพาคนรักหนีไป แต่ในขณะที่กำลังวิตกอยู่นั้น
"เจ้าต้องการสิ่งใดกันบอกข้ามา" ฮ่องเต้เอ่ยถามขึ้นด้วยท่าทีอยากรู้ สตรีตัวน้อยนี้จะต้องการสิ่งใดกัน
"หม่อมฉันจะสมรสกับอ๋องฉินเพคะ หม่อมฉันมีใจให้กับอ๋องฉินเพียงผู้เดียวเพคะ" น้ำคำหนักแน่นพร้อมกับแววตาแน่วแน่ทำเอาคนในท้องพระโรงต่างก็ตกใจ เสียงซุบซิบดังขึ้นในทันที เพราะมิคิดว่าสตรีตัวน้อยผู้นี้จะเอ่ยปากขอแต่งกับบุรุษเสียเอง แต่บนความกังขาก็มีใครบางคนที่ตอนนี้ยิ้มจนหุบมิได้ไปเสียแล้ว
“นี่เจ้ากับอนุชาขาไปมีใจให้กันตั้งแต่เมื่อใด แต่เอาเถอะ เมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็จะให้ตามสิ่งที่เจ้าต้องการ ถือว่าเป็นเรื่องดีฉินเหยียนจะได้มีชายาเสียที ว่าแต่เจ้าล่ะ”
ฮ่องเต้หันไปหาอนุชาตนที่เอาแต่ยืนยิ้มมองสตรีตัวน้อยอย่างลืมตัว ทำเอาเหล่าขุนนางเปลี่ยนเรื่องหันมาหาท่านอ๋องเงียบขรึมเย็นชาผู้นี้แทน
“ดูท่านอ๋องสิยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เชียว ข้ามิเคยเห็นท่าทางเช่นนี้มาก่อนเลยตั้งแต่รับราชการมา”
“นั่นสิ ดูท่าคงมีใจให้แม่นางน้อยผู้นี้เป็นแน่” เหล่าขุนนางมองอ๋องฉินที่ยังคงมิได้สติยืนนิ่งมองซีซีพร้อมกับยิ้มไม่หุบ จนฮ่องเต้ถึงกับส่ายหัวและมิต้องการคำตอบใดจากปากอนุชาของตนอีก เพียงเท่านี้ก็รู้แล้วว่าจะยอมรับหรือไม่ที่มีสตรีขอแต่งงานกลางวงขุนนาง จึงหันไปหากงกงเพื่อให้ประกาศราชโองการทันที ขันทีเฒ่าเดินออกไปยืนด้านหน้าก่อนจะประกาศเสียงเอื่อย
“ฮ่องเต้มีราชโองการประทานสมรสแก่ อ๋องฉินและแม่นางซีซี รอฤกษ์งามก็ให้รีบจัดการได้เลย จบราชโองการ” อ๋องฉินเดินออกมาคุกเข่าลงข้างคนตัวเล็ก
ก่อนจะกล่าวรับคำสั่งพร้อมกันทั้งสองคน
“กระหม่อม/หม่อมฉันรับราชโองการ พะย่ะค่ะ/เพคะ” รอยยิ้มเกิดแก่ทั้งคู่ ก่อนจะลุกขึ้นไปยืนข้างกันเช่นดิม เหล่าขุนนางต่างก็ตรงมาแสดงความยินดีกับทั้งสอง รวมทั้งรัชทายาทและองค์ชาย แม้จะรู้สึกผิดหวัง หากแต่ก็มิได้คัดค้านแต่อย่างใด เพราะรู้ดีอยู่แล้วว่าคนทั้งสองนั้นรักกัน
หลังจากนั้นก็หารือข้อราชการกันต่อ ก่อนจะแยกย้ายในเวลาต่อมา อ๋องฉินพาคนตัวเล็กกลับจวน เมื่อทั้งคู่กลับมาถึง เขาก็เอ่ยเย้านางทันที
"ควรเป็นพี่มิใช่หรือ ที่ต้องขอเจ้าแต่งงาน" เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น ก่อนจะยิ้มร้ายใส่คนน้องที่ยืนอยู่ข้างๆ
"ถ้ารอท่านอ๋องหม่อมฉันคงได้ไปเป็นพระชายาขององค์ชายองค์ใดองค์หนึ่งแน่นอนเพคะ เพราะถ้าฝ่าบาทออกราชโองการก็คงมิมีใครกล้าขัด" ซีซีตอบกลับไปด้วยท่าทางติดงอน อ๋องฉินเห็นดังนั้นจึงอดที่จะดึงเข้ามากอดมิได้
"พี่ดีใจที่เจ้าเอ่ยเช่นนั้นออกไป แต่ถึงอย่างไรพี่ก็มิปล่อยให้เจ้าไปเป็นของผู้อื่นหรอก พี่สัญญาว่าจะรักและมีเจ้าเพียงคนเดียว" ฉินเหยียนเอ่ยคำหวาน กับอีกฝ่าย
“ท่านอ๋องก็ลองมีคนอื่นสิเพคะจะได้รู้ว่าจะเป็นเช่นไร หม่อมฉันมิปล่อยท่านเอาไว้แน่”
"พี่จะมีเพียงเจ้า เพราะพี่รักเจ้าซีซี" เอ่ยจบเขาก็โน้มใบหน้าลงมาจูบคนน้องทันที ทำเอาคนที่ยังมิได้สติเพราะพึ่งได้ยินอ๋องหนุ่มบอกรัก ยืนนิ่งปล่อยอีกฝ่ายจับพลิกใบหน้าหาองศาจูบราวกับคนไร้วิญญาณ เป็นเวลาเดียวกันกับไท่เฟยเดินเข้ามาพอดี
"ฉินเหยียน เจ้าอย่ารังแกน้องให้มากนัก กลับมาถึงแทนที่จะเอาหน้ามาให้เห็น ดูเถอะพวกเจ้าสองคนพอกันจริงๆ" ไท่เฟยเอ่ยตำหนิบุตรชายทันที ก่อนจะพุ่งเป้ามาที่คนตัวเล็กที่ยังถูกอ๋องหนุ่มกอดเอวเอาไว้ ราวกับกลัวว่านางจะหนีหายไปเสียอย่างนั้น
"เจ้าเองก็เช่นกัน ทำให้ข้าเป็นห่วงหากองค์ชายสี่มิส่งคนมาบอกข่าว ข้าก็มิรู้ว่าเจ้าจะเป็นตายร้ายดีเช่นไร" ไท่เฟยเอ่ยเสียงสั่นเมื่อนึกถึงวันที่รู้ว่าซีซีหายตัวไป นางรู้สึกผิดที่หนีออกไป จึงผละออกจากอ้อมแขนแกร่ง ก่อนจะคุกเข่าขออภัยโทษกับไท่เฟยที่ทำให้เป็นห่วง
"หม่อมฉันขอประทานอภัยเพคะ ขอไท่เฟยทรงลงโทษด้วยเพคะ" ใบหน้าหวานสลดลงเพราะสำนึกผิด
"ข้าจะลงโทษเจ้าได้อย่างไรกัน เจ้าปลอดภัยกลับมาก็ดีมากแล้ว” เสียงอ่อนโยนของสตรีสูงวัยดังขึ้น
"เจ้าน่ะ แม่ยังมิได้ขอพระราชทานสมรสให้เจ้าก็อย่ารังแกน้องให้มาก" เสียงตำหนิดังขึ้นไม่จริงจัง แต่บุตรชายกลับยืนยิ้มราวกับมีเรื่องน่ายินดีเสียอย่างนั้น
"เสด็จแม่พะย่ะค่ะ นี่คือราชโองการพระราชทานสมรสของลูกกับซีซีพะยะค่ะ" เขายื่นม้วนสาส์นให้มารดา ไท่เหฟยรับมาเปิดออกดูก็ถึงกับสงสัยแต่ก็ดีใจมากกว่า
"เป็นเช่นนี้ก็ดีนะสิ แม่จะรีบหาวันมงคล แต่ไหนเจ้าบอกจะให้แม่ไปขอราชโองการ เหตุใดมาถึงเจ้าก็จัดการเองเสียล่ะ" ไท่เฟยยังคงสงสัยในข้อนี้ อ๋องฉินยิ้มก่อนตอบ
"ลูกมิได้เป็นคนขอพะยะค่ะ หากแต่เป็นว่าที่พระชายาของลูกเป็นคนขอกับฝ่าบาท เพราะกลัวว่าจะถูกจับอภิเษกกับองค์ชายไปเป็นสะใภ้หลวง" อ๋องฉินเอ่ยบอกมารดา ทำเอาคนน้องอายจนแก้มแดง แต่ก็กลัวไท่เฟย จะกริ้วที่ขออภิเษกกับอ๋องฉิน
"เจ้าทำดีมากซีซี" เสียงของไท่เฟยดังขึ้น ทำเอาซีซียิ้มออกมาทันที หลังจากที่เกร็งอยู่นาน
"แม่จะรีบหาฤกษ์งาม จะได้อุ้มหลานในเร็ววัน" เมื่อได้ยินมารดาเอ่ยเช่นนั้น อ๋องฉินถึงกับยิ้มร้าย
"หากเป็นเช่นนั้นท่านแม่คงมิต้องรอนานหรอกพะย่ะค่ะ" เอ่ยพร้อมกับส่งสายตามาที่คนรัก
"หม่อมฉันขอตัวกลับห้องก่อนนะเพคะ"
ไท่เฟยมองตามพร้อมกับยิ้มเอ็นดู
"เจ้าเองก็ไปพักเถอะ ค่ำๆจะได้มาทานข้าวพร้อมหน้ากัน" เสียงอ่อนโยนเอ่ยบอกบุตรชาย
“พะยะค่ะเสด็จแม่” รับคำมารดาเสร็จ อ๋องฉินก็รีบเดินตามคนตัวเล็กจนมาถึงห้อง
"ได้ยินที่เสด็จแม่พูดหรือไม่ ท่านอยากมีหลานในเร็ววัน เราทำให้เป็นจริงวันนี้เลยดีไหม" เขาเอ่ยและหมายจะทำอย่างที่พูด ทำให้คนน้องอายจนผลักอกแกร่งทันที
"ทำไปคนเดียวเถอะเพคะ" เสียงหวานแห้วใส่อีกฝ่าย
“พี่จะทำคนเดียวได้เช่นไร เจ้าจะทำให้เสด็จแม่ผิดหวังกระนั้นหรือ” ฉินเหยียนเอามารดาขึ้นมาอ้าง ทำราวกับว่าคนน้องจะเชื่อคำพูดตนเสียอย่างนั้น
"อ๋องฉินผู้เย็นชาเงียบขรึมหายไปไหนกัน ทำไมถึงกลายเป็นคนเจ้าเล่ห์เช่นนี้เพคะ” คนตัวเล็กยังมิวายตำหนิอีกฝ่ายที่ต่างออกไปจากเดิมมาก
“เป็นเพราะเจ้าที่ทำให้พี่กลายเป็นเช่นนี้ พี่มีรอยยิ้มทุกวันนี้ก็เป็นเพราะเจ้า การเปลี่ยนครั้งนี้ล้วนเป็นเพราะเจ้า เพราะฉะนั้นห้ามหายไปไหนต้องอยู่กับพี่ตลอดไป” อ๋องฉินจูบบนหน้าผากมนเบาๆ แม้จะอยากเข้าไปด้านในมากเพียงใดก็ตาม เขาต้องอดทนรอวันเข้าหอ เพราะมิอยากให้ใครครหาคนรักให้เสื่อมเสีย
"ฝันดีเพคะท่านอ๋อง" เสียงหวานเอ่ย
“เจ้าก็เช่นกันยอดดวงใจของพี่” ถ้อยคำแสนหวานพรั่งพรูออกมาจากปากอ๋องฉิน ทำเอาอีกฝ่ายอายจนต้องรีบปิดประตูทันที ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันเข้าห้องของตน ใจนั้นก็คิดถึงวันที่จะได้อยู่ร่วมหอ
"อีกมินานพี่จะได้นอนกอดเจ้าทุกคืนชายาตัวน้อยของพี่" อ๋องฉินเอ่ยกับตนเองเบาๆ ก่อนจะหลับไปพร้อมกับรอยยิ้มที่เปี่ยมล้นไปด้วยความสุข อย่างที่มิเคยเป็นมาก่อน และมิคิดว่าจะได้พบพานเรื่องราวเช่นนี้