3 ไม่ทิ้งกัน
แพรไหมส่งยิ้มหวานเจื่อนให้ ก่อนบ่นเป็นภาษาไทยออกมาอีกครั้ง อย่างเหลืออดที่เขาเอาแต่ถามเธออยู่นั่น เธอเพียงอยากจะนั่งพักเพียงเท่านั้น
-แม้แต่แรงที่จะพูดตอนนี้ยังแทบไม่มีเลย จะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนเดินกลับไปที่ป้ายรถเมล์ -
เธอบ่นกับตัวเองต่อ คิดว่าเขาคงฟังไม่เข้าใจก่อนจะบอกเขาต่อเพื่อให้ชายตรงหน้าสบายใจ
“คุณไม่ได้ทิ้งฉัน เป็นฉันที่อยากอยู่ตรงนี้เอง คุณไปเถอะฉันไม่เป็นอะไรจริง ๆ ”
เธอบอกเพื่อปัดความรำคาญ น้ำเสียงและท่าทางของเธอนั้นทำให้เขารู้ได้ในทันทีว่าเธอคงหมดแรงจริง ๆ เมื่อเธอบอกเขาเรียบร้อยก็บ่นกับตัวเองเป็นภาษาไทยต่ออีก
- ไม่ได้นอนมาทั้งคืนแล้วดันอยากจะมาเป็นคนดีอีกแพรเอ่ยแพร แกจะต้องนอนตายอยู่ตรงนี้นี่แหละ ไม่ไหวแล้ว –
ชายหนุ่มได้ยินที่เธอบ่นออกมาก็อมยิ้มที่มุมปากเล็ก ๆ นี่ขนาดเหนื่อยขนาดนี้ยังจะไม่ยอมให้เขาอยู่เป็นเพื่อน กลับเลือกที่จะไม่พึ่งพาเขา เขามองคนตัวเล็กที่นั่งทิ้งตัวอย่างหมดอาลัยตายอยากอยู่ที่พื้นอย่างพินิจ ก่อนจะย่อตัวลงนั่งตรงหน้าเธอแล้วจึงหันหลังให้
“มาครับขึ้นหลังผม ผมจะพาคุณไปส่งที่ป้ายรถเมล์เอง"
เขาบอกเธอเป็นภาษาไทย เท่านั้นแหละหญิงสาวถึงกับเบิกตาโต รีบเงยหน้ามองชายตรงหน้าใหม่อีกครั้งทันที วินาทีนั้นทำให้เขาได้เห็นใบหน้าของเธออย่างชัดเจน ดวงตาโตกลมสีน้ำตาลเข้มจมูกโด่งได้รูปรับกับปากบางรูปกระจับ
ใบหน้าที่ไร้การปรุงแต่งจากเครื่องสำอางใดๆ ที่ไม่ค่อยพบเห็นในผู้หญิงยุคสมัยนี้ ผมสีดำยาวของเธอนั้นถูกจับมัดรวบแบบหลวม ๆ ไว้ตอนนี้ดูยุ่งเหยิงเล็กน้อยจากการวิ่งท้าลมหนาวมา ทำให้มีปอยผมบางส่วน หลุดลงมาปกปิดใบหน้าสวยนั้นไว้ อย่างไม่ได้ตั้งใจ หญิงสาวตรงหน้าเธอดูอ่อนกว่าเขามาก ทั้งยังมีความสวยหวานอย่างเป็นธรรมชาติ
“คุณ…นี่คุณ .เป็นคนไทยเหรอ”
“ครับผมเป็นคนไทย”
“ถ้างั้นเมื่อกี้คุณก็....นี่ฉันบ่นกับตัวเองเสียงดังไปมั้ย”
เธอทั้งถามเขาพร้อมกับถามตัวเองไปด้วย ความใสซื่อของหญิงสาวทำให้เขาอดที่จะยกยิ้มกว้างไปด้วยไม่ได้
“ไม่ดังครับ”
“เฮ้อ!..ค่อยยังชั่ว”
หญิงสาวถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกโชคดีที่เธอบ่นไม่ดังแต่ดีใจยังไม่เท่าไหร่ชายหนุ่มก็เอ่ยต่อ
“แต่ผมได้ยินชัดทุกคำ” เขาบอกพร้อมกับส่งยิ้มหวานให้เธออย่างตั้งใจแทนคำตอบ
ตอนนั้นแหละที่เธอได้เห็นใบหน้าของเขาเป็นครั้งแรกเช่นกัน หน้าตาของเขาเหมือนพระเอกซีรีส์จีนหรือเกาหลีเสียมากกว่าเป็นคนไทยเสียอีก ทั้งสีผิวที่ขาวอย่างกับหยวกกล้วยบวกกับความหล่อคมเข้มไม่ว่าจะเป็นใบหน้า ดวงตา จมูก ปาก ยังกะเขาหลุดออกมาจากนิตยสาร แล้วจะไม่ให้เธอเข้าใจผิดได้อย่างไรว่าเขาต้องเป็นคนต่างชาติ เธอคิด
“คุณก็น่าจะช่วยทำเป็นไม่รู้ไม่ได้หรือไงคะ ไม่เห็นจะต้องบอกความจริงออกมาจนหมด” เธอบ่นเสียงเบา
เขาเห็นอาการยิ้มเจื่อน ของหญิงสาวจึงได้แต่อมยิ้มไม่อยากแซวต่อ อย่างไรเธอก็เป็นคนที่ช่วยเหลือเขาไว้ในวันนี้
“มาเถอะครับ”
“อะไรคะ”
“ขึ้นขี่หลังผมไง ผมจะพาคุณออกไปจากตรงนี้เอง”
“ไม่เอาอะ คุณไปเถอะฉันนั่งพักแป๊บเดียวเดี๋ยวค่อยออกไป”
“อย่าดื้อซิครับ ผมมีธุระสำคัญที่ต้องรีบไปจัดการ ตรงนี้เปลี่ยวเกินไปที่จะให้ผมทิ้งคุณไว้ ถ้าคุณไม่ไปผมก็ไม่ไป แล้วหากผมไปทำธุระไม่ทันนี่ก็ถือเป็นความผิดของคุณนะ”
ให้ตายสิดูเขาพูดเข้า เธออุตส่าห์มาช่วยยังจะมาให้เธอเป็นคนผิดอีก มันน่าช่วยมั้ยเนี่ย เมื่อเขาพูดจบหญิงสาวก็มองไปรอบ ๆ มันเปลี่ยวอย่างที่เขาว่าจริง ๆ เธอจึงยอมที่จะทำตามที่เขาบอกแต่โดยดี
“ก็ได้ค่ะแต่ฉันไม่มีแรง ลุกไม่ไหวจริง ๆ ฉันใช้แรงทั้งหมดไปกับการวิ่งเอากระเป๋าคืนมาให้คุณแล้ว”
หญิงสาวย้ำด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงใบหน้าของเธอตอนนี้ราวกับลูกแมวตกน้ำ พูดแล้วหญิงสาวก็ทิ้งแขนและขาทั้งสองข้างลงกับพื้นอีกครั้งเพื่อเป็นการยืนยันว่าตอนนี้เธอไม่มีแรงขยับตัวแล้วจริง ๆ ชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นจึงถือวิสาสะจับแขนทั้งสองข้างของเธอขึ้นมากอดรอบคอตัวเองเอาไว้ พร้อมกับดึงร่างคนตัวเล็กที่นั่งกองอยู่กับพื้นให้ขึ้นไปขี่หลัง
“นี่คุณจะทำอะไรน่ะ”
แพรไหมถามด้วยความตกใจไม่คิดว่าเขาจะทำเช่นนี้
“ก็ช่วยคุณไง ให้ผมทิ้งคุณไว้ที่นี่คนเดียวผมทำไม่ลงหรอกและผมก็ต้องรีบไปพรีเซนต์งานให้ทันบ่ายนี้ด้วย”
ลำแขนแข็งแรงดึงร่างเล็กที่ไม่มีแรงขัดขืนขึ้นบนหลังอย่างง่ายดายเพราะเธอเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ตัวเบาอย่างกับอุ้มเด็ก เมื่ออยู่ในท่าที่พร้อมเรียบร้อย จึงพาหญิงสาวเดินกลับทางเดิมที่วิ่งมา
“ขอบคุณนะคะ”
“ผมสิต้องเป็นฝ่ายขอบคุณคุณ ขอบคุณมากครับที่ช่วยผมเอาไว้วันนี้ เดี๋ยวผมจะพาคุณไปส่งที่ป้ายรถเมล์ที่เราวิ่งมา”
เขาบอกพร้อมกับขยับร่างเธอให้สูงขึ้นเพราะกลัวว่าหญิงสาวจะตก
“คุณนี่ตัวเล็กแค่นี้วิ่งเร็วและอึดมากเลยนะรู้มั้ย เป็นนักวิ่งหรือไง” เขาถามเพื่อชวนเธอคุยและด้วยความอยากรู้
“เอาความจริงนะ ฉันว่าสมองของฉันมันคงมีปัญหาหรือเอ๋อไปแล้วแน่ ๆ ที่บ้าวิ่งตามคนร้ายให้คุณแบบนั้นน่ะ ถ้าย้อนกลับไปได้ฉันก็จะไม่ทำ”
เธอว่าตัวเองจนชายหนุ่มได้แต่อมยิ้มกับคำพูดตรง ๆ แต่ก็เข้าใจในคำพูดนั้น โชคดีที่วันนี้เธอไม่เป็นอะไร อดคิดไม่ได้ว่าหากเขาวิ่งตามไปช้ากว่านี้ หญิงสาวจะเป็นอย่างไร อาจถูกทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บมากกว่าการวิ่งจนเหนื่อยหมดแรงเช่นนี้ก็เป็นได้ เขารู้สึกขอบคุณในความใจกล้าของเธอจริง ๆ
“ว่าแต่คุณเนี่ยเป็นผู้ชายทำไมให้เขาขโมยของสำคัญไปได้ง่าย ๆ ละคะ แถวนี้โจรเยอะต้องระวังให้ดีเผลอไม่ได้เลย”
“ผมไม่ทันระวัง รู้ตัวอีกทีก็โดนกระชากกระเป๋าไปแล้ว พอตั้งสติได้คนร้ายก็วิ่งไปไกลแล้วจริง ๆ ในกระเป๋าไม่มีของมีค่าอะไรเลยมีเพียงแฟลชไดรฟ์ที่สำคัญกับผมมากเท่านั้น”
“ถ้าอย่างนั้นก็คงเป็นโชคดีของผู้ชายคนนั้นที่ไม่ได้กระเป๋าของคุณไป ไม่อย่างงั้นป่านนี้คงได้นั่งร้องไห้อาละวาดเป็นแน่”
เธอบอกอย่างติดตลกทำเอาเขาอดขำ กับความคิดของเธอไม่ได้
“ฮ่า ๆ คุณนี่ขนาดไม่มีแรงยังตลกออกเลยนะ ว่าแต่ทำไมคุณถึงหายใจแรงจัง”
“ก็ฉันเหนื่อยนิ เหนื่อยมากและหิวมากด้วยตอนนี้”
พูดแล้วหญิงสาวก็กลืนน้ำลายเพื่อยืนยันความหิวโหยของตัวเอง พร้อมกับเสียงท้องที่ร้องดังมายืนยันคำพูดของเธอเมื่อสักครู่อีกเสียง
“ถ้าอย่างนั้นคุณพักก่อน ถึงแล้วผมจะบอก แล้วจะหาอะไรให้คุณทาน”
“อืม”
แพรไหมรับคำด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง เธอที่ไม่ได้นอนมาทั้งคืนเพราะต้องเฝ้าไข้บิดาที่โรงพยาบาล แถมตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เมื่อคืน ทั้งยังต้องใช้พลังงานเก่าที่มีไปกับการช่วยคนแปลกหน้าทำให้หญิงสาวผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว
“ถึงแล้วครับ”
“...”
“คุณ คุณ นี่หลับหรอกเนี่ยเหลือเชื่อเลย”
ชายหนุ่มทึ่งกับหญิงสาวร่างเล็กหน้าตาน่ารักที่นอนหลับอยู่บนหลังคนแปลกหน้าได้อย่างสบายใจ เธอคงเหนื่อยมากจริง ๆ เขาคิด