บทที่ 3 โลกของเขาที่เธอเหยียบย่างไปถึง
เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ดังขึ้นมาในความฝัน ปรียาภาจะยื่นมือไปหยิบมารับสาย แต่เธอทำได้แค่เพียงคิด เพราะเสียงเรียกนั้นเงียบลง แล้วเสียงห้าวทุ้มของใครสักคนดังขึ้นมาแทน
“กลับสิ บอกแล้วว่าปีใหม่จะกลับบ้าน”
“เธอถามป๊าทำไม ยุ่งจริงๆ”
“ฉันอยู่พัทยา ออกจากที่นี่ก็ขับรถกลับแหลมสิงห์เลย แค่นี้นะ”
ปรียาภาได้ยินเสียงของเขาฝ่ายเดียว เมื่อสติกลับคืนมา เธอจึงได้รู้ว่าเสียงต่างๆ ที่ได้ยินนั้นไม่ใช่ความฝัน แต่มันเป็นเสียงที่เกิดขึ้นจริงและมันเกิดขึ้นใกล้ตัวเธอ
หญิงสาวตื่นเต็มตา เธอยันกายขึ้นมานั่งบนเตียง พลันรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว เมื่อก้มมองตัวเองถึงได้รู้ว่าเธออยู่ในสภาพเปลือยล่อนจ้อน มือเรียวบางรีบดึงผ้าห่มมาคลุมร่างไว้
“ตื่นมาก็แก้ผ้าโชว์เลยนะ”
ปากของเขาเป็นอย่างนี้เอง ปรียาภาไม่ได้ต่อปากต่อคำ เพราะรู้ว่าถ้าขืนพูดไปก็รังแต่จะเข้าเนื้อ แต่เธอยังรู้สึกคาใจกับคำพูดของเขาที่ได้ยินเมื่อกี้ เธอจึงถามขึ้นมาอย่างมีความหวัง
“คุณจะไปไหนหรือคะ”
“กลับบ้าน”
“กลับกรุงเทพฯ เหรอ”
“เปล่า บ้านของผมอยู่ที่จันทบุรี”
“งั้นฉันกลับกรุงเทพฯ ได้แล้วสิ ตอนนี้เช้าแล้วใช่ไหม ปกติรถตู้เที่ยวแรกจะออกตั้งแต่หกโมงเช้า”
คล้ายกับเธอพูดอะไรผิดไป เพราะเขาเลิกคิ้วมองเธออย่างงุนงง เธอจึงตีความว่าเขาคงไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอบอก เธอจึงอธิบายอีกรอบ
“ฉันจะกลับกรุงเทพฯ เอง ตอนนี้รอยบนตัวฉันมันคงจางลงแล้ว”
“คุณจะกลับกรุงเทพฯ ตอนนี้?”
“ใช่ค่ะ มันยังเช้ามืด แต่กว่าฉันจะอาบน้ำและแต่งตัวเสร็จก็เป็นเวลาเช้าพอดี”
ปรียาภามองผ่านหน้าต่างกรุกระจกของห้องพักออกไปด้านนอก เธอเห็นความสลัวราง ดวงไฟส่องสว่างไปทั่ว มันเป็นเช้ามืดที่ไม่น่ากลัว
“อืม...งั้นคุณไปอาบน้ำและแต่งตัว ผมจะลงไปจัดการเรื่องห้องพักที่ข้างล่าง อีกยี่สิบนาทีผมจะกลับขึ้นมา”
“ได้ค่ะ”
ปรียาภายิ้มกว้าง ขอแค่ได้กลับกรุงเทพฯ เธอก็ดีใจแล้ว ส่วนเรื่องอื่นๆ เธอจะพับเก็บไว้ก่อน ตอนนี้ขอเพียงไปให้พ้นจากเขาก็พอ
ร่องรอยบนลำตัวยังปรากฏรอยช้ำเป็นจ้ำๆ...แต่ไม่เป็นไร แค่เธอสวมเสื้อผ้าก็ไม่มีใครเห็นรอยพวกนี้แล้ว ปรียาภามองใบหน้าของตัวเองแล้วยิ้มออกมาเมื่อไม่เห็นรอยบวมช้ำจากการร้องไห้ เรียวปากบางที่ถูกบดจูบจนชาหนึบและบวมเป่งหายเป็นปกติเช่นกัน...เพียงแค่นี้เธอก็นั่งรถตู้กลับกรุงเทพได้ ไม่มีใครมองออกหรอกว่าเธอเพิ่งโดนใครบางคนย่ำยีมา
หญิงสาวหยิบเสื้อผ้าชุดเดิมมาสวม หากเธอติดกระดุมไม่ทันเสร็จ เสียงเปิดประตูห้องก็ดังขึ้นมา เธอจึงรีบหันหลังหนี
“เปลี่ยนเสื้อตัวนี้ก่อน”
พัสกรส่งเสื้อยืดแขนยาวไปให้เธอ ปรียาภาทำหน้ายุ่ง เพราะเธอคิดว่ามันไม่จำเป็น
“กระดุมเสื้อหลุดไม่ใช่เหรอ ขืนใส่เสื้อตัวนี้กลับบ้าน เดี๋ยวนมก็ทะลักออกมาอวดชาวบ้าน”
ใบหน้าของหญิงสาวร้อนเห่อด้วยความอาย เธอเห็นแล้วว่ากระดุมเสื้อหายไปเม็ดหนึ่ง มันคงหลุดในตอนที่เขาปล้ำถอดเสื้อของเธอ แต่มันไม่เป็นปัญหา เพราะเธอมีตัวช่วยที่จะทำให้เสื้อตัวนี้กลับมาใช้งานได้ ดังนั้นเธอจึงปฏิเสธเขาด้วยการเดินไปหยิบกระเป๋าสะพายที่วางอยู่บนโซฟายาวแทน
“ฉันมีเข็มกลัด มันใช้แทนกระดุมได้”
ปรียาภาจัดการตัวเองไปอย่างเงียบๆ พัสกรไม่ห้าม เขารอจนเธอหันกลับมา เสื้อของเธออยู่ในสภาพเรียบร้อยแล้ว...ดวงตาคมกวาดมองทั่วกายบางอย่างสำรวจ สักพักมันก็ฉายแววพอใจออกมา
“สวมเสื้อของผมทับอีกชั้น เพราะคุณขี้หนาว คุณจะได้นอนในรถได้สบายตัว”
พัสกรยังยืนยันที่จะให้เธอใส่เสื้อของเขา ปรียาภารู้สึกเหนื่อยใจ เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงพูดไม่รู้เรื่องสักที เรื่องแค่นี้เธอช่วยเหลือตัวเองได้ ที่สำคัญ...เธอไม่อยากใช้ของร่วมกับเขา
“แอร์ในรถตู้ไม่เย็นสักหน่อย มีแต่รถของคุณนั่นแหละที่เย็นเหมือนหิมะตก”
ปรียาภาพูดประชด หัวใจเริ่มฮึกเหิม ตอนนี้เธอไม่กลัวเขา เพราะเขาคงไม่มีเวลาทำอะไรเธอ เขาจะต้องเดินทางกลับบ้านที่จังหวัดจันทบุรี ส่วนเธอกำลังจะกลับกรุงเทพฯ...แยกย้ายกันตรงนี้เถอะ
หากพอหญิงสาวจะเดินผละไปจากเขา เรียวแขนของเธอก็ถูกคว้าเอาไว้
“อุ๊ย! ปล่อย”
“ยืนนิ่งๆ สิ”
เขาดึงกระเป๋าสะพายของเธอไปคล้องแขนของเขาไว้เอง
“คุณจะทำอะไร”
หญิงสาวถามเสียงตื่นๆ เมื่อหันกลับไปประชันหน้ากัน เธอจึงเห็นท่าทางเอาจริงของเขา ความรู้สึกหวาดหวั่นโจมตีเข้ามา ความกล้าที่มีเมื่อสักครู่นั้นหายไปในพริบตา
ปรียาภายืนเป็นตุ๊กตาให้เขาจับสวมเสื้อยืดแขนยาวตัวใหญ่ที่คลุมลงไปจนถึงต้นขา จากนั้นเขาก็ส่งกระเป๋าสะพายคืนให้เธอ
“คุณไม่ลืมของไว้ในห้องใช่ไหม”
เขายังมีแก่ใจถามเธอ...เธอไม่ลืมอะไรไว้หรอก ข้าวของทุกชิ้นยังคงอยู่ในกระเป๋าสะพาย เพราะเธอไม่ได้ดึงชิ้นไหนออกมาเลย จากนั้นพัสกรก็จับมือของเธอแล้วพาออกไปนอกห้องพัก
ในล็อบบี้ของโรงแรมมีคนพอสมควร แม้ไม่ถึงกับพลุกพล่าน แต่มันดูแปลกตาสำหรับบรรยากาศยามเช้าตรู่ พัสกรยังกระชับข้อมือของเธอไว้ เธอจึงต้องออกแรงบิด
“ปล่อยได้แล้ว ฉันจะนั่งรออยู่ที่ล็อบบี้ เพราะกว่าจะถึงเวลาที่รถตู้เที่ยวแรกออกก็คงอีกหนึ่งชั่วโมง”
“เพ้อน่า คุณจะนั่งรออะไรตรงนี้ เดี๋ยวแขกโรงแรมลากขึ้นห้องหรอก”
ตอนท้ายเขาพูดเสียงพึมพำ แต่คนกำลังถูกดึงไปตามแรงนั้นต้องถลึงตาใส่แผ่นหลังกว้าง แต่เมื่อมาถึงด้านหน้าของโรงแรม เธอก็เห็นคนจำนวนไม่น้อย จนต้องถามเขา
“ทำไมคนเยอะจัง โรงแรมมีอะไรหรือคะ”
“เข้าไปนั่งในรถก่อน เดี๋ยวผมจะบอก”
“คุณจะไปส่งฉันหรือ”
“อืม...”
เธอคงต้องทำใจสินะ ไม่ว่าจะทำอะไร เธอก็ไม่มีสิทธิ์เลือก...เธอต้องทำตามใจเขาทุกอย่าง
หากเมื่อเข้ามานั่งในรถ ปรียาภาก็รู้สึกเอะใจ เธอมองไปรอบๆ บริเวณหน้าโรงแรมไม่เหมือนบรรยากาศยามเช้ามืดอย่างที่ควรเป็น เพราะมันควรเงียบมากกว่านี้
เมื่อฉุกใจคิดได้ หญิงสาวจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเวลาบนหน้าจอ พลันต้องเบิกตาโต
“ไม่ใช่เช้ามืดนี่นา ตอนนี้สองทุ่มเศษเหรอ”
“อาการหนักนะคุณ หลงเดือนหลงตะวันขนาดนี้แล้วหรือ”
ปรียาภาครางโหย ทำไมมันถึงเป็นอย่างนี้ไปได้ เมื่อกี้ตอนตื่นนอนขึ้นมา เธอหลงคิดว่าตัวเองนอนหลับไปนาน เข้าใจว่าตอนนี้เป็นเวลาเช้าแล้ว
“ทำไมคุณไม่บอกฉัน คุณปล่อยให้ฉันเข้าใจผิด ฉันจะกลับกรุงเทพฯ ยังไง รถตู้เที่ยวสุดท้ายคงผ่านไปแล้ว”
เลือดเย็น อำมหิตที่สุดเลย...เธอต่อว่าเขาอยู่ในใจ
“ถ้าไม่มีรถตู้กลับกรุงเทพฯ ผมยอมให้คุณติดรถไปแหลมสิงห์กับผมก็ได้นะ”
“อย่าพูดเล่น ฉันกำลังเครียด ตอนนี้ฉันจะกลับกรุงเทพฯ ยังไง”
ปรียาภาไม่กล้านั่งรถตู้โดยสารตอนดึกคนเดียว เมื่อพัสกรขับรถออกจากโรงแรมหรูแห่งนั้น เธอจึงไม่ค้าน แต่สมองเริ่มคิด
“ฉันจะพักที่พัทยาอีกคืน พรุ่งนี้เช้าถึงค่อยกลับกรุงเทพฯ คุณช่วยหาที่พักราคาไม่แพงให้ฉันได้ไหมคะ”
เงินเดือนเพิ่งออก มันยังนอนอยู่ในบัญชี คิดว่าโชคดีที่ตนมาเคว้งอยู่ที่พัทยาในจังหวะที่มีเงินให้ใช้เพียงพอ หากว่าคนตัวโตไม่ตอบรับคำขอของเธอ เขากำลังเพ่งความสนใจอยู่บนถนน สักพักเดียวรถก็แล่นเร็วจี๋ออกนอกเมืองพัทยา
ไม่ต้องถามว่าเขากำลังทำอะไร ปรียาภารู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง...เธอกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ ในที่สุดเธอก็ไปจากเขาไม่ได้
“คุณนอนหลับก็ได้นะ อีกสามชั่วโมงกว่าจะถึงแหลมสิงห์ ผมขับรถคนเดียวได้ ตายังสว่าง คุณไม่ต้องตื่นเป็นเพื่อนผม”
