บท
ตั้งค่า

ห้วงเวลา 4 รุ่นพี่

“เออนี่พิ้งค์เมื่อวานตอนพักเที่ยงอะฉันเห็นชีมีนแวะไปนั่งเล่นกับแกด้วย…ว่าแต่คุยอะไรกันอะ” ฉันเดินหอบหนังสือที่เพิ่งยืมจากห้องสมุด พร้อมตรงดิ่งไปยังห้องดนตรีที่อยู่อาคารชั่วคราว หลังจากเรียนวิชาชีววิทยาเสร็จในช่วงบ่าย ชั่วโมงสุดท้ายเป็นการเลือกชมรม ฉันไม่รู้จะทำอย่างไรดีจึงตัดสินใจมากับยัยนิ เธอร้องเพลงไพเราะชนิดที่ว่าอาจารย์เอ่ยชวนมาตั้งวงดนตรีประจำโรงเรียน เวลามีงานภายในโรงเรียนจะได้ขึ้นแสดง ฉันจึงติดสอยห้อยตามมาด้วยทั้งที่ไม่มีความสามารถพิเศษแบบนั้น

“นั่นสิ”

“นั่นสิอะไรของแกยะ ฉันนั่งเล่นกับพี่มิกซ์อีกโต๊ะหนึ่งยังเห็นเลย ว่าชีอะ แอบมองภูวา”

“ภูวา…คนไหน”

“หล่อ ๆ ห้องหก ใส่แมสก์สีดำไง โธ่ หล่อจะตาย”

“อ๋อ”

“แล้วไงต่อ”

“ก็แปลก ๆ นะอยู่ดีมานั่งข้างฉันแล้วก็ถามอะไรไม่รู้” เมื่อวานฉันนั่งอ่านนิยายเพลิน ๆ แต่มีนกลับขออนุญาตฉันและนั่งข้างกัน ไม่พอยังชวนคุยเรื่องของผู้ชายคนนั้นที่นั่งพิงกำแพงพลางถือหนังสือ ก้มอ่านเงียบ ๆ อยู่กับกลุ่มเพื่อนของเขา ปกติเลยนะชั้นสองจะไม่ค่อยมีคนขึ้นมาข้างบน พอมีหนึ่งก็มีสอง เอาเป็นว่าความสงบที่ฉันต้องการก็ไม่เคยมีอีกต่อไป เพราะพวกเขาเสียงดังมาก แล้วไหนจะกลุ่มพี่มิกซ์ที่เข้ามาใหม่ กลุ่มนั้นยังผสมโรงคุยกันออกรสออกชาติ บรรณารักษ์ต้องขึ้นมาตักเตือนอยู่หลายรอบ

“ถามอะไร เรื่องผู้ชาย?” เดินไปคุยไปจนมาถึงอาคารชั่วคราว ผลปรากฏว่ายังไม่มีใครมาเปิดห้อง พวกเราจึงนั่งรอข้างหน้าห้อง หย่อนตัวนั่งบนพื้นหน้าอาคารชั่วคราวคุยกันต่อ

“อืม ก็ถามว่ามาอ่านหนังสือที่นี่บ่อยมั้ย พอตอบว่าบ่อยก็ถามต่อว่า ผู้ชายคนนั้น…”

“ภูวา”

“อ่า ใช่ ภูวามาบ่อยแค่ไหน แต่เมื่อวานมันวันที่สองของการเปิดภาคเรียนเองนะ”

“เออ อะไรของชีวะ แล้ววันนี้ได้ยินที่อาจารย์ปกแจ้งเราปะ”

“อือ” อาจารย์ปกเกล้าชี้แจงก่อนเลิกเรียนว่า ตั้งแต่วันจันทร์เป็นต้นไปจะมีการปรับเปลี่ยน โดยที่จะมีนักเรียนห้องอื่นย้ายมาเรียนกับพวกเราที่อยู่มอสี่ทับหนึ่ง

“ถ้าให้เดานะ ชีอาจจะชอบภูวา”

“เจอกันสองวันก็ชอบแล้วเหรอ ตลกละ”

“โอ๊ย ไม่เคยได้ยินคำว่า Love at first sight เหรอแก ชีคงชอบแหละ รูปหล่อ แถมยังเรียนเก่งขนาดนั้นไม่แน่นะ นายภูวาอะไรนั่นก็คงจะย้ายมาอยู่ห้องเราชัวร์ ไม่งั้นชีคงไม่ระริกระรี้ขนาดนั้นหรอก แต่ว่าก็ว่าเถอะเห็นยัยฟรังค์ปะคงแอบไปตีสนิทกับยัยมีน ถ้าชอบผู้ชายคนเดียวกันนะแกเอ๊ย บันเทิงแน่”

“คงงั้น”

“ทำไมฟ้าต้องใจร้ายส่งยัยใจร้ายมาอยู่ห้องเดียวกับเราด้วย” ยัยนิกลอกตาพลางพ่นลมหายใจคล้ายกับกำลังหงุดหงิดงุ่นง่าน การที่เราไม่ชอบใครสักคนมันคงมีเหตุผลสักข้อเพื่อสนับสนุนความคิดตัวเอง หนึ่งในนั้นคือเพื่อนของฉัน แต่การที่เธอไม่ชอบไม่ได้หมายความว่าฉันต้องไม่ชอบด้วย แต่ฉันก็ไม่ควรไปสุงสิงกับพวกเธอเหมือนกัน พูดตรง ๆ ก็คือ ฉันไม่ควรไปสนิทสนมกับคนที่เพื่อนไม่ชอบ ซึ่งมันต่างกันตรงไหน?

“เอาน่า ไม่ต้องไปสนใจพวกเธอหรอกต่างคนต่างอยู่ก็พอ” ฉันปลอบใจเพื่อนสนิท และกำลังจะเปิดอ่านนิยายที่อ่านค้าง มือเรียวก็คว้าไปก่อน

“แกยังไม่ตอบคำถามฉันเลยนะพิ้งค์ ว่าชีถามอะไรแกเมื่อวาน”

“อ๋อ ก็ถามเรื่อง…เอ่อ” ฉันย่นหัวคิ้วเข้าหากันพลางหยิบหนังสือออกจากมือของเธอช้า ๆ “มีนถามฉันว่าระหว่างพี่ฟาร์มกับนายภูวาคนนั้นน่ะฉันชอบใคร สเปกของฉันคือคนไหน แกว่ามันไม่แปลกเหรอวะ อะไรทำให้มีนตั้งคำถามนี้จากฉันวะ”

“เออ งงว่ะ แต่ที่แน่ ๆ ชีคงชอบไม่พี่ฟาร์มก็ภูวาแหละ มันแปลกตั้งแต่คนที่ไม่เคยย่างกรายเข้าไปในห้องสมุดมานั่งปั้นจี้ปั้นเจ๋อชวนแกคุยแล้วพิ้งค์ แล้วฉันได้ข่าวว่าชีเพิ่งเลิกกับแฟนด้วย”

“แกรู้ได้ไง”

“ฉันไปส่องเฟซบุ๊กชีไง” ฉันอมยิ้มพลางส่ายหัว “แกนี่นะ ไม่ชอบแต่ยังสาระแนไปอยากรู้เรื่องคนที่เกลียดอีก”

“ใช้คำว่าสาระแนเลยเหรอวะ ร้ายมาก” ยัยนิผลักหัวไหล่ฉันเบา ๆ แต่เพราะฉันไม่ทันระวังจึงตัวเอนไปข้างหลังดีที่ใช้มือค้ำไว้ได้ทัน

“ขอโทษ ๆ ไม่ได้ตั้งใจ”

“อือ” ฉันถลึงตาใส่เล่น ๆ จนกระทั่งอาจารย์เดินถือกุญแจมาเปิดห้อง และกลุ่มที่เดินตามนั้น หนึ่งในนั้นคือคนที่พวกฉันนินทากันอยู่ ฉันเก็บสีหน้าแววตาเรียบนิ่งได้ในทันที แต่ไม่ใช่กับยัยนิที่สะกิดแขนยิก ๆ จนฉันต้องหันขวับไปมอง และผุดลุกขึ้นก่อนที่จะยกมือไหว้ทักทาย

“มาแล้วเหรอ นิกับใครนะครูลืมชื่อ”

“สวัสดีค่ะอาจารย์ หนูชื่อพิ้งค์ค่ะ” อาจารย์เปิดห้องเสร็จ ก็เหมือนจำฉันได้ราง ๆ “อ้อ ครูจำได้แล้ว ลูกศิษย์ครูแจ็คนี่นา” ฉันยิ้มรับ แล้วจึงหอบหนังสือและสะพายกระเป๋าเป้ไปหาที่นั่งอ่านหนังสือ เมื่อห้องดนตรีเปิดแล้ว ฉันย้ายไปนั่งใต้ต้นไม้ข้าง ๆ อาคารชั่วคราว ปล่อยให้นิกับกลุ่มผู้ชายคุยกันต่อ “อาจารย์คะ แล้วที่จะคุยกับหนูเรื่องจะตั้งวงดนตรี” ฉันนั่งลง แต่สายตาชำเลืองดูพวกเขาทั้งสามคนเงียบ ๆ คนแรกหน้าตาออกตี๋ คนที่สองหล่อคม ส่วนคนสุดท้าย…ภูวา หน้าตาก็อย่างที่รู้กันแต่ทว่าเขาดูเย็นชา และนิ่งเกินไปบางทีอาจเข้าถึงยากด้วย

“น้องพิ้งค์”

“คะ” ฉันขานรับ น้ำเสียงคุ้นหู พบว่าเป็นกลุ่มพี่มิกซ์ที่เข้ามาไปสมทบกับกลุ่มนั้น เขาแวะมาทักทายฉันก่อนนี่เอง

“ไม่เข้าไปดูเหรอครับ”

“ไม่เอาดีกว่าค่ะ พิ้งค์มีนี่” ฉันชูหนังสือนวนิยายให้พี่มิกซ์ดู

“อ๋อ ฮ่า ๆ เข้าใจแล้วครับพี่ไปหานิละ แล้วมึงไม่ไปเหรอวะไอ้ฟาร์ม”

“กูจะนั่งรอตรงนี้” พูดจบพี่ฟาร์มก็ขออนุญาตนั่งม้าหินอ่อนโต๊ะตัวเดียวกับฉันเพราะมันมีแค่โต๊ะเดียวอย่างไรล่ะ เขานั่งตรงข้าม ก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์

“ตามใจอย่าไปรบกวนน้องพิ้งค์แล้วกัน”

ผ่านไปกี่นาทีแล้วไม่รู้ ฉันเงยหน้าขึ้นจากหนังสือเพิ่งอ่านจนจบ จึงพบว่าเขาเหลือบมองกองหนังสือด้วยความสนใจ

“สนุกขนาดนั้นเลยเหรอ พี่ไม่เคยเจอใครนั่งอ่านหนังสือพร้อมกับยิ้มให้หนังสือมาก่อน” ฉันกะพริบตาปริบ ๆ เป็นความจริงเมื่อถึงฉากไคลแมกซ์คนที่อินตัวหนังสืออย่างฉันก็มักจะเผยรอยยิ้มหรือบางทีก็หัวเราะออกมา บางครั้งแอบร้องไห้จนเพื่อน ๆ แซวประจำ ฉันพยักหน้าและยิ้มเขินเพราะถูกสังเกตได้จากเขา

“เอ่อ เพราะอินละมั้งคะ“

“อืม ขอดูหน่อยได้มั้ย เกี่ยวกับเรื่องอะไรเหรอ”

“อันนี้เหรอคะ เกี่ยวกับสืบสวนสอบสวนค่ะ นางเอกเป็นตำรวจ” ความรู้สึกที่มีคนสนใจในสิ่งที่เราชอบน่ะ มันดีสุด ๆ ไปเลย หัวใจเต้นระรัวราวกับมีใครมาสั่นคลอน

“ดีนะ เราน่ะมีความชอบที่ไม่เหมือนใครดี พี่ไม่เคยเจอผู้หญิงแบบพิ้งค์ ไม่ใช่ในทางลบหรอกนะ เป็นคำชมน่ะ” เขาพูดพลางคลี่หน้าหนังสือไปมา และวางลงดังเดิม ฉันเผลอมองหน้าตาของเขาชัด ๆ จึงพบว่านิยามคำว่าแบดบอยผุดขึ้นมาในใจ นั่นคือสิ่งที่เห็นภายนอกเท่านั้น

“แล้วพี่ฟาร์มมีสิ่งที่ชอบมั้ยคะ”

“มีครับ นี่ไง” เขาชี้ไปยังติ่งหูที่ไปเจาะมา

“อ๋อ”

“ทำไมทำหน้าแบบนั้น ตลกนะเรา” ฉันเผลอทำหน้าเหลอหลาไปจึงรีบขอโทษขอโพยไป

“ขอโทษค่ะ พิ้งค์เสียมารยาทนิดหน่อย เอ่อ ขอถามได้มั้ยคะ คือ…”

“หืม ได้สิ แต่พี่ขอตัวแป๊บหนึ่งนะ” เขามองเลยไปด้านหลัง จากที่จะเอ่ยถาม ฉันก็เก็บคำถามในใจเอาไว้ พอเขาลุกขึ้นก็ไม่ลืมคลี่ยิ้มให้แก่กัน

“เธอ ๆ ชื่อไรอะ ใช่ฟ่างห้องหนึ่งปะ” ฉันเอี้ยวตัวไปมองตามแผ่นหลังของพี่ฟาร์มจึงพบว่าเขาเข้าไปทักทายผู้หญิงคนหนึ่งเธอมากับกลุ่มเพื่อนสองสามคนและชะโงกหน้าเข้าไปดูการซ้อมดนตรีภายในห้องนั้น ฉันหันกลับมาและหยิบหนังสือมาอ่านตามเดิม

“ขอโทษนะครับ พอดีผมไม่ได้คิดอยากมีแฟนตอนนี้” เสียงดนตรีหยุดไปสักพัก พอดีกับเสียงทุ้มต่ำของใครบางคนลอยกระทบเข้ามาจนทำให้ฉันเผลอกลั้นหายใจโดยไม่รู้ ฉันเหลือบไปมองที่มาของเสียงในทันที พบว่าพี่ฟาร์มหายไปไหนก็ไม่รู้ เหลือเพียงพี่ผู้หญิงคนนี้ฉันจำได้ว่าเธอหน้าตาดี เธอชื่อพี่ฟ่าง โดดเด่น และเป็นดาวโรงเรียน เมื่อกี้ยังคุยกับพี่ฟาร์มอยู่เลย แต่พอละสายตาไปแป๊บเดียวเธอกลับยืนคุยกับภูวาสองต่อสอง

“พี่เข้าใจแล้วค่ะ” ฉันไม่เห็นสีหน้าของภูวาเพราะเขายืนหันหลังให้ แต่สีหน้าของพี่ฟ่างมันชัดเจนจนฉันอยากออกไปจากตรงนี้ เธอถูกปฏิเสธในทันที แล้วทำไมฉันต้องมาอยู่ในสถานการณ์กระอักกระอ่วนแบบนี้ด้วยนะ

ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ

“พิ้งค์ ๆ กลับกันเถอะ” ยัยนิสวมรองเท้าปุ๊บก็โบกไม้โบกมือ แต่ทั้งสองคนที่ไม่ได้ให้ความสนใจของการมีอยู่ของฉันมาตั้งแต่แรกกลับเหลือบมามองกัน จากนั้นพวกเขาจึงผละจากกันอย่างเป็นธรรมชาติ

“อ้าว ฟ่างยังไม่กลับเหรอ”

“อ๋อ ยังน่ะ”

“ให้ไอ้ฟาร์มเดินไปส่งที่หน้าโรงเรียนเปล่า” พี่มิกซ์รุนหลังให้เพื่อนไปส่งสาวด้วยความทุลักทุเลเพราะพี่ฟาร์มหน้าบึ้งตึงก่อนจะตวัดสายตาใส่ภูวา

“ผมไปละ ไปกันเถอะ” ภูวาพูดจบก็เดินนำเพื่อนทั้งสองไปทันที ทั้งฟาร์มและพี่ฟ่างก็เดินเคียงคู่ไปด้วยกันตามหลังกลุ่มนั้น ส่วนฉันเองก็รีบเก็บข้าวของเตรียมจะกลับบ้านด้วยเหมือนกัน

“ไงจ๊ะ เอ้อ พี่มิกซ์ไม่ต้องไปส่งนิหรอก กลับก่อนเลย นิขอคุยกับยัยพิ้งค์ก่อน”

“เอางั้นเหรอ งั้นเดี๋ยวพี่โทรหานะครับ” เขายิ้มจนตาหยีและไม่ลืมส่งจูบทางอากาศให้แฟนสาว จนฉันต้องหลุบตาลงเพราะทนความหวานจนเอียนนี้ไม่ไหว “เลี่ยนสุด ๆ”

“เหอะ ก็คนมันรักอะเนอะ ไปได้แล้วน่า เอ๊ะ วันนี้วันศุกร์นี่นา ค่อยกลับก็ได้ บ้านแกอยู่แค่เนี้ย”

“งั้นเดินช้า ๆ ว่าแต่แกไม่รีบจริงดิ” ปกติรายนี้จะรีบกลับบ้านหรือไม่ก็มักไปเดินแถวห้างรับแอร์เย็น ๆ

“เบื่อว่ะ ช่วงนี้พี่มิกซ์ขออีกแล้ว”

“ขอไร”

“…” เธอยื่นริมฝีปากมาใกล้ฉัน จนฉันต้องรีบดันหน้าขาว ๆ นี้ให้พ้นจากตัว พลางวิ่งหนีเธอไปให้ไกล จนกระทั่งมาหยุดที่ซุ้มศาลานั่งเล่นสักพัก ซึ่งใกล้กับสนามฟุตซอล ช่วงนี้มีการจัดการแข่งขันฟุตซอลในช่วงเย็นของทุกวัน

“แกไม่อยากทำเหรอ”

“อื้อ ยังน่ะสิ”

“ไม่พร้อมก็ไม่ต้องทำสิ แล้วพี่เขาว่าไงบ้าง”

“เขาเข้าใจ แต่ก็แบบหน้าเสียไปเลยตอนฉันปฏิเสธไป แกก็รู้ว่าก่อนเขาจะคบกับฉันพี่มิกซ์เจ้าชู้จะตาย แล้วแม่ของฉันยิ่งไม่ชอบหน้าเขาอีกด้วย”

“ศึกดรามาของแม่ยายกับลูกเขยชัด ๆ” ฉันพึมพำ

“แม่บอกให้ห่าง ๆ เขาหน่อย แล้วพ่อเองก็ไม่ชอบพี่มิกซ์เหมือนกันอะ แต่แกก็รู้นี่นาว่าพ่อกับแม่ไม่เคยไม่ชอบใคร แต่พอเป็นพี่มิกซ์อะไรก็ดูแย่ในสายตาพวกท่าน เหนื่อยว่ะ”

“แกก็เลยไม่อยากให้เขาไปส่งที่บ้านใช่มั้ย”

“อือ นั่นแหละ”

“แล้วแกก็ยังไม่อยากให้เขาถึงขั้นนั้น”

“ใช่”

“งั้นก็ลองดูพฤติกรรมเขาไปก่อนละกัน ช่วงนี้ก็กลับบ้านกับฉัน คงไม่เป็นไรหรอกมั้งแค่แฟนไม่ได้ไปส่งเอง ทำหน้างอแงไปได้” ฉันยื่นมือไปบีบแก้มเธอที่มีสีหน้าบูดบึ้ง เราสองคนนั่งบนที่นั่งยาวในซุ้มศาลา หันหน้าไปทางสนามฟุตซอลไม่ใช่ว่าอยากดูขนาดนั้นแต่กลัวโดนลูกหลง เคยมีเหตุการณ์นี้มาก่อนเพื่อนในห้องตอนเรียนชั้นมัธยมต้น พวกเราเดินผ่านสนามฟุตซอล อยู่ดีก็ถูกลูกบอลอัดใส่ลำตัวจนเดินเซ ฉันจึงระแวงเพราะภาพมันติดตา

“อืม คงงั้นแหละ ขนาดมือเขาฉันยังไม่เคยจับเลย” เพราะเป็นแฟนคนแรกที่คบมาตั้งแต่มอหนึ่ง การระวังตัวจึงมีมากกว่า แต่ไม่รู้ว่าพี่มิกซ์จะทำได้อย่างเธอหรือเปล่า

“เขาเคยกิ๊กกั๊กกับใครนอกจากแกมั้ยนิ”

“อืม ไม่เคยนะ แต่ถ้ามีฉันคงเลิกแหละ” เธอหลุบตามองต่ำ มือที่กุมกันแน่นบ่งบอกว่าความรักในวัยเรียนมันก็ไม่มีทางราบรื่นไปด้วยดีเสมอไป

“…” ฉันตบไหล่ให้กำลังใจ และเธอก็พิงไหล่พลางมองดูการแข่งขันที่กำลังดุเดือด กรรมการเป็นเขาอีกแล้ว

“เออนี่ ภูวาอะคือชื่อจริงนะ ส่วนชื่อเล่นน่ะ เขาชื่อภู เมื่อกี้เขามานั่งดูพวกฉันซ้อมด้วยนะ ตอนแรกไอ้เรานึกว่าจะมาเล่นด้วย อ้อ ใช่ ผู้ชายหน้าตี๋ชื่อจุ้นนะเป็นมือเบส ส่วนคนหล่อคมผิวแทนชื่ออาร์ต ตำแหน่งมือกลอง ส่วนมือกีตาร์ก็อย่างที่รู้พี่เอกนั่นแหละ”

“เหรอ”

“แล้วรู้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องซ้อม”

“ไม่รู้”

“ก็พี่ฟ่างน่ะสิ อยู่ดีมาขอคุยกับภูวาเฉย ไอ้เราก็งงดิ ว่าแต่…พวกเขาคุยไรกันอะพิ้งค์ ฉันอยากรู้”

“ไม่บอก”

“โอ๊ยบอกมาเถอะ อยากรู้ใจจะขาด”

“มันเรื่องส่วนตัวของเขามั้ยล่ะ”

“รู้แค่เราสองคน ฉันสัญญา”

“แน่นะ”

“อื้อ เร็ว ๆ ลีลาอยู่ได้” เธอรบเร้าให้ฉันเล่า แต่ฉันไม่แน่ใจว่าจะเล่าดีไหม มันเป็นเรื่องของพวกเขาสองคน แต่พอจะอ้าปากจะพูด มีลูกบอลกลิ้งมาหยุดที่เท้าของฉัน

“ขอโทษครับ”

“…” ฉันต้องรีบเก็บคำพูดนั้นไม่ยอมปริปากออกมา เพราะบุคคลที่กำลังเอ่ยถึงกำลังเดินมาทางนี้เหมือนรับรู้ว่ากำลังมีคนนินทาเขาอยู่ คงเพราะพวกฉันชะงักค้างอยู่สักพัก อึดใจเดียวเขาก็สืบเท้าเข้ามาใกล้ และก้มไปหยิบลูกบอลมาอุ้มไว้กับตัว ทว่าสายตาคมกริบที่เงยขึ้นมาสบเข้ากับแววตาของฉันนั้นช่างดูเย็นชาจนฉันเกือบลืมหายใจไปชั่วขณะ

“กะ กลับบ้านกันเถอะแก”

“อะ อืม”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel