ห้วงเวลา 5 เพื่อนใหม่
เราสองคนแยกย้ายกันกลับด้วยความอกสั่นขวัญแขวน คงไม่ใช่ว่าเขาเผลอได้ยินพวกฉันนินทาเรื่องของเขาอยู่ใช่ไหม ถึงทำหน้าตาแบบนั้น เมื่อถึงบ้านฉันก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าและมาช่วยน้าปรางล้างจานปิดร้าน กินข้าวเสร็จจึงหาเวลาเข้าแชตกลุ่มที่มีข้อความนับร้อย แชตแตกแตนไม่รู้มีเรื่องอะไรให้คุยกันนัก
พอไล่อ่านข้อความก็เสียวสันหลังวาบ เพราะภูวาได้ย้ายมาห้องของพวกเราจริง ๆ
Me : ก่อนกลับบ้านพวกฉันแอบนินทาเขาด้วย ไม่รู้ว่าเขาได้ยินหรือเปล่า
Peng : เขาไหน?
NiNi : ภูวาไง ฉันกับยัยพิ้งค์ไปนั่งคุยกันข้างสนามฟุตซอล นินทาเขาในระยะเผาขน ไม่เท่านั้นนะไม่รู้ว่ามายืนอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วได้ยินที่พวกฉันนินทาหรือเปล่าก็ไม่รู้ โอ๊ย
Milan : นินทาเรื่องอะไรอะ
NiNi : ก็วันนี้ฉันเห็นพี่ฟ่างมาหาภูวาก็เลยถามยัยพิ้งค์ไง เพราะยัยพิ้งค์นั่งรอฉันอยู่ข้างนอกระหว่างซ้อมร้องเพลง
Peng : แล้วไงต่อ ฉันอยากรู้จะตายอยู่แล้ว อ้อ ฉันมีเรื่องจะคุยด้วยเหมือนกัน ให้แกเล่าให้จบก่อนละกัน
Me : ถ้าเล่าแล้วห้ามแพร่งพรายเรื่องนี้เด็ดขาดเข้าใจมั้ย
Milan : รับทราบค่ะ
Peng : ได้ค่ะ
NiNi : แน่นอน(อิโมจิตาโต)
Me : พี่ฟ่างสารภาพรักกับภูวา
Peng : โอ้ ม่ายยย
NiNi : ฉันว่าแล้ว เซนส์ฉันมันบอกว่าไม่ธรรมดา แล้วภูวาตอบว่าไงบ้าง
Milan : คงตกลงคบแหงเลย พี่ฟ่างสวยจะตาย
Me : เปล่า เขาปฏิเสธ
Milan : โอโม๊ะ เหลือเชื่อชะมัด หล่อเลือกได้จริง ๆ
NiNi : ว่าแล้ว ตอนฉันออกมา เจอพี่ฟ่างทำตัวเงอะงะแล้วหน้านี่ซีดเซียวจนสังเกตได้อะ ดีนะที่มีพี่ฟาร์มไปส่งชี แต่ก็อย่างที่ว่าแหละ ขนาดพี่ฟ่างยังถูกปฏิเสธไม่ต้องพูดถึงยัยมีนกับยัยฟรังค์เพื่อนแกเลยยัยเพลงเอ๊ย
Peng : ไม่แน่นะ นายภูวาอาจจะชอบก็ได้ รอดูวันจันทร์เลยจ้า เกาะติดสถานการณ์รัว ๆ
NiNi : ช่างเรื่องนั้นเถอะ แกมีเรื่องอะไรมาเม้าท์มอยเหรอเพลง เป็นไงชมรมคณิตศาสตร์อะ
Peng : มิลินเล่าเลย(อิโมจิรูปไฟลุกโชน)
Milan : คืองี้ เพื่อนของเพลงอะอยู่ชมรมนี้ด้วยจ้า ฮ่า ๆ
Me : 555555
Peng : สติกเกอร์ร้องไห้
NiNi : เฮ้ย จริงดิ สงสารอะ5555555
Peng : ช่างเถอะ ไหน ๆ ก็อยู่ห้องเดียวกัน ฉันพยายามจะอยู่ห่าง ๆ นางแล้ว แต่ดูเหมือนนางจะอยากขอคืนดีอะ ทำตัวน่าสงสารให้เพื่อนเห็นใจแล้วพวกเราก็เป็นตัวร้ายเหมือนเดิม คงจะไปเข้ากลุ่มของบอลกับมีนมั้ง ก็แล้วแต่นะ
Me : ถ้ามันยากจริง ๆ ก็ตอแหลเข้าไว้ ฮึ่บ ๆ
Peng : แรงมาก แต่จริง ฉันจะตอแหลเข้าไว้5555
NiNi : แต่ละคำ เหลือแค่มึงกูแล้วนะพิ้งค์ แร้งงง
Milan : ไม่เอา พูดเพราะ ๆ
Me : โอเค ๆ 555
Peng : อะได้
NiNi : ได้ค่ะ คุณหนูมิลาน
Milan : 55555
บทสนทนาก็จบลงเพียงเท่านั้นเพราะฉันแบตหมด ควานหาสายชาร์จในกระเป๋าเป้ จึงพบว่าสายมันขาด ฉันอุตส่าห์ใช้เทปพันรอบสายชาร์จแล้วนะ แต่ดูท่าจะต้องออกไปหาซื้อที่ร้านขายโทรศัพท์มือถือละมั้ง “เฮ้อ!”
“อ้าว จะออกไปไหนน่ะพิ้งค์มันดึกแล้วนะลูก” ฉันถอยมอเตอร์ไซต์หัวฉีดที่จอดอยู่หน้าบ้าน บ้านของฉันเป็นบ้านสไตล์โมเดิร์นมีสองชั้น มีรั้วชิดติดถนนที่ตัดผ่านโรงเรียน
ฉันรีบเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขาสั้น รองเท้าแตะและพกกระเป๋าสะพายแบบมีหูหิ้วไว้ใส่โทรศัพท์ สายชาร์จอันเดิมเพื่อจะเอาไปไปเป็นตัวอย่าง หวังว่าร้านจะยังไม่ปิดนะ
“ไปซื้อสายชาร์จแป๊บเดียวค่ะ น้าปราง” น้าปรางกำลังนั่งคุยกันกับน้ารุจผู้เป็นสามีที่เพิ่งจะกลับมาจากสัมมนาจากต่างจังหวัด คุยกันกะหนุงกะหนิงกันราวกับว่าทั้งคู่เพิ่งจะคบกัน ทั้งที่พวกท่านแต่งงานมาได้เกือบจะสิบปีแล้ว
“น้ารุจซื้อขนมมาฝากเราด้วย อย่าลืมมาเอาไปกินด้วยนะ”
“ขอบคุณค่ะ หนูไปแป๊บเดียวเดี๋ยวแวะไปเอานะคะ”
“ขับรถดี ๆ นะหรือจะให้น้ารุจพาไป”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวหนูไปเองค่ะ” ฉันโบกมือปฏิเสธแทบจะทันที อยู่ใกล้แค่นี้เอง พวกท่านกังวลเกินไป ฉันรีบใส่หมวกกันน็อกและบิดคันเร่งออกจากประตูรั้ว ออกไปจอดหน้าบ้านและกลับมาล็อกประตูรั้วอีกครั้ง
“โทษนะคะไม่ทราบว่าใกล้จะปิดร้านหรือยังพอ…” ร้านโทรศัพท์มือถือเป็นอาคารพาณิชย์ที่ติดกัน ฉันหาที่จอดหน้าร้าน ‘ดีดี’ ถอดหมวกกันน็อกปุ๊บวางขาหยั่งรถเสร็จก็เดินเข้าไป ภายในร้านจะมีขายอุปกรณ์ไอทีทุกอย่าง ปริ้นเอกสารต่าง ๆ และยังเปิดร้านเกมขนาดเล็ก
“ไอ้ภู!”
ปึก! ฉันเดินผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์และเก้าอี้นวมไว้สำหรับคนที่ต้องการเล่นเกม พอไปหยุดที่ตู้สีใสไว้สำหรับวางโทรศัพท์หลายยี่ห้อ ซิมการ์ด ส่วนอุปกรณ์พวกสายชาร์จจะห้อยตามกำแพงข้างหลัง เสียงตะโกนจากหลังบ้านเรียกหาใครสักคน ซึ่งคนคนนั้นกลับสะดุ้งโหยงจนศีรษะไปกระแทกใต้โต๊ะคอมเสียงดังโครม จนฉันพลอยหน้าเหยเก ฟังจากเสียงคงเจ็บน่าดู
“เจ็บมั้ยน่ะพี่ภู ซุ่มซ่ามจังเลยฮะ” เด็กชายอายุราวสิบขวบยืนข้างโต๊ะคอมเครื่องสุดท้ายพร้อมเอ่ยถามเขาที่ค่อย ๆ คลานออกมาจากใต้โต๊ะ เขามุดไปซ่อมสายอะไรสักอย่าง
“พูดมาก เอ้า ได้แล้ว ทีหลังอย่าเผลอไปเตะปลั๊กสายไฟเข้าล่ะ มันหลวม” เขาทำการเปิดซีพียูและเปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์มันคงกลับมาปกติ เด็กชายถึงฉีกยิ้มและยกนิ้วโป้งให้เขา
“ขอบคุณฮะ!”
“ไอ้ภู รับลูกค้าให้กูหน่อยกูขี้อยู่โว้ย!”
“รู้แล้ว!”เขาตะโกนกลับไปแล้วผินหน้านิ่งมาทางฉันพร้อมเลิกคิ้วขึ้น พอยืนใกล้กันชัด ๆ เขาสูงมาก หน้าใสกิ๊ง คิ้วเข้ม ริมฝีปากอมชมพู ภูวายังไม่เปลี่ยนชุดนักเรียน แต่สิ่งที่แปลกตามากกว่านั้นคือเขาปล่อยชายเสื้อออกมาข้างนอกกระดุมปล่อยลงมาสองเม็ด
“เอ่อ คือจะมาซื้อสายชาร์จน่ะค่ะ รุ่นนี้” ฉันหลุบตาลงและรีบเปิดกระเป๋าหาสายชาร์จอันเดิมที่เปื่อยยุ่ยสภาพไม่น่าดูและเกิดอายขึ้นมา ก่อนจะยื่นให้ภูวา เขารับไปและหาอยู่สักพัก
“นั่งก่อน” เขาหันกลับมาและหาเก้าอี้มาให้นั่งรอ “ขอบคุณค่ะ”
“พี่โจ้ มีของปะ รุ่นนี้อะ”
“ไหนดูสิ…” พี่เจ้าของร้านเดินออกมาจากหลังร้านพลางยิ้มให้ฉัน “สักครู่นะครับ มึงหาดีแล้วแน่นะ”
“อือ…”
“หมดสต๊อกแล้วอะครับคุณลูกค้า รุ่นนี้ขายดีมาก ของมาล็อตใหม่น่าจะสัปดาห์หน้า”
“อ๋า งั้นเหรอคะ งั้นไม่เป็นไรค่ะขอบคุณมากนะคะ” ฉันรับสายชาร์จกลับมาใส่กระเป๋าและผงกหัวให้พี่เจ้าของร้าน ก่อนจะเบนสายตาไปมองภูวา อึดใจเดียวพี่เจ้าของร้านก็เอ่ยละลักละล่ำ
“คุณลูกค้าเดี๋ยวก่อนครับ จะเป็นไรมั้ยถ้าพี่จะให้ยืมใช้ก่อน ค่อยเอามาคืนตอนที่ของมาถึง”
“คะ?”
“พอดี น้องชายพี่มันมีสายชาร์จรุ่นนี้อยู่พอดีตั้งสองอันแหนะ ไม่ต้องคิดมากครับ มึงไปเอามาดิวะภู” เขาหายขึ้นไปชั้นสองและลงมาพร้อมพันสายชาร์จเข้ากับหัวชาร์จยื่นมาให้ฉันตรงหน้า เหตุการณ์มันเกิดขึ้นเร็วมาก ฉันยืนอึ้งไปพักหนึ่ง จนกระทั่งลืมว่าพรุ่งนี้ฉันสามารถไปซื้อใหม่ที่ห้างสรรพสินค้าในตัวเมืองก็ได้ แต่พวกเขามีน้ำใจ ฉันจึงยอมรับน้ำใจนี้เอาไว้
“ขอบคุณมากนะคะ ถ้าของมาเมื่อไหร่เดี๋ยวหนูจะเอามาคืน”
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวพี่ฝากภูเอาไปให้ อยู่โรงเรียนเดียวกันไม่ใช่เหรอเรา”
“ใช่ค่ะ จะรบกวนเขาไปหรือเปล่า” ฉันพูดเสียงเบา
“ไม่รบกวน”
“ไม่รบกวน ๆ ก็ตามนี้ละกันเนอะ” พี่โจ้พูดจบ เขาเริ่มทยอยเก็บร้าน เมื่อฉันรับสายชาร์จจากมือหนาปุ๊บฉันมองหารองเท้าแตะ แต่ทว่าใครจะรู้ว่าพ่อคนหน้านิ่งจะตามออกมาด้วยกัน
“รักษาให้ดีล่ะ”
“คะ”
“สายชาร์จ” ถ้าตาไม่ฝาดเหมือนฉันเห็นเขายกยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อย
“อ๋อ อื้ม ขอบคุณนะ นายชื่ออะไร”
“นึกว่ารู้แล้วซะอีก” เขาพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยทำเอาคนได้ยินถึงกลับมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกเพราะอับอายขายขี้หน้า สิ่งที่ฉันคิดมันเกิดขึ้นแล้ว เขาคงได้ยินที่พวกฉันนินทาเรื่องของเขา
“อ๋อ เอ่อ…”
“ล้อเล่น เราชื่อภูวา เรียกสั้น ๆ ว่าภูก็ได้”
“เราชื่อพิ้งค์” หัวใจสั่นรัวเพราะคำว่า ‘ล้อเล่น’ มันหน้าตายและน่ากลัวพิลึก ไม่รู้ว่าเขากำลังเล่นมุกตลกหรือพยายามแก้สถานการณ์อันเลวร้ายกันแน่ เดาความคิดของภูวาไม่ได้เลยจริง ๆ
“รู้แล้ว”
“งั้นไปล่ะนะ…แล้วก็ขอบคุณสำหรับสายชาร์จด้วย”
“ครับ”