ห้วงเวลา 3 รักวัยใส
วันเปิดเทอมแรกเป็นวันที่ดีจริง ๆ นะ เพราะทำความสะอาดห้องดีมาก รู้งี้ฉันน่าจะใส่ชุดพละมาแทนถ้าจะต้องปัดกวาดเช็ดถูห้องเรียนที่ฝุ่นเขรอะจนอยากใส่หน้ากากอนามัยขึ้นมา ช่วงเช้าหมดไปกับการทำความสะอาดห้อง ได้รับตารางเรียนคนละแผ่น และพบปะพูดคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษาที่จะอยู่กับเราไปจนถึงมอหก ชั้นปีสุดท้ายของมัธยมปลาย แกชื่ออาจารย์ปกเกล้า หรือเรียกว่าอาจารย์ปก สอนเคมี หน้าตาดี อาจารย์สาวหลายคนต่างสนใจกันเป็นแถวแต่เสียใจด้วยเพราะอาจารย์ปกแต่งงานเรียบร้อยแล้ว
“ตอนพักเที่ยงหลังกินข้าวเสร็จ ฉันจะไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดนะ” หลังจากฟังอาจารย์ปกอธิบายรายวิชาเคมีจบ เสียงออดก็ดังขึ้นบ่งบอกว่าเป็นเวลาเที่ยงตรง ฉันหิวจนไส้แทบขาด เพราะเมื่อเช้ากินขนมปังหนึ่งห่อพอประทังความหิวได้นิดหน่อย
พอเข้ามาในโรงอาหาร ก็จับจองพื้นที่กัน ฉันเลือกโต๊ะที่ใกล้ร้านก๋วยเตี๋ยวที่อยู่ท้ายสุด วางกระเป๋าปุ๊บก็บอกเพื่อนให้รีบไปซื้อข้าวราดแกงหรืออาหารตามสั่งกัน คนเริ่มแน่นขนัด แต่สำหรับฉันที่ไม่ได้รู้สึกเป็นอุปสรรคในการต่อแถวนัก เพราะร้านโปรดของฉันคนบางตามากเพราะของกินใกล้หมดแล้ว ประกอบกับฉันซี้กับแม่ค้าที่ชื่อว่าพี่สวย แกจึงเหลือไว้หนึ่งชามแยกต่างหากไว้ให้ฉันเสมอ พอเดินต่อแถวถัดจากผู้ชายตัวสูงคนหนึ่ง พี่สวยก็พูดขึ้น “หลังน้องคนนี้ก็หมดแล้วนะ” พี่สวยลวกเส้นเล็กอย่างคล่องแคล่วพลางพูดกับคนข้างหลังต่อจากฉัน เมื่อเห็นว่าคิวยาวทั้งที่วัตถุดิบต่างร่อยหรอ
“อะนี่จ้ะ อุ๊ยตายแล้ว ไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อน มาใหม่เหรอจ๊ะ”
“…ครับ”
“เอานี่จ้ะพี่แถมลูกชิ้นอีกหนึ่งลูก อย่ามองพี่แบบนั้นสิพิ้งค์ ของหนูเหมือนเดิมเนอะ”
“ไม่ได้ว่าอะไรเลยค่ะ” ฉันหลุดยิ้มเล็กน้อยกับความน่ารักของพี่แก
“หนูไม่พูดพี่ก็รู้ เอ้าเส้นเล็กน้ำตกถั่วงอกเยอะ ๆ ของโปรดหนูจ้ะ เรียบร้อยแล้ว คนอาไร้กินได้ทุกวัน ไม่เบื่อบ้างรึไง”
“…” ฉันยิ้ม
“พรุ่งนี้ก็เหมือนเดิมเนอะ”
“ค่ะ” เหมือนเดิมที่ว่าคือการทำแยกไว้ให้ฉันหนึ่งชาม ฉันเดินไปใส่เครื่องปรุงเหมือนเคย จึงพบว่าผู้ชายคนนั้นยืนเด็ดใบโหระพาอยู่ จนฉันวางชามแล้วก็ไม่มีทีท่าว่าจะไปสักที
“…” ฉันยื่นไปหยิบใบโหระพา ถั่วงอก ตามด้วยเครื่องปรุงที่ใส่แค่พริก คนให้เข้ากัน และเดินกลับมานั่งโต๊ะตามเดิม เพื่อนก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าจะมาเพราะคิวยาวมาก ถ้าเป็นแบบนี้ฉันจะไม่รอและขอกินก่อน แต่จะทักไปบอกในกลุ่มแชตเหมือนทุกที
“คิวยาวมาก” เพลงถือจานกะเพราไก่ไข่ดาวพูน ๆ มาวางลงที่นั่งตรงข้ามพร้อมบ่นพึมพำถึงการต่อคิวยาวเหยียดซึ่งคนเยอะค่อนข้างวุ่นวาย แต่ยังเลือกกินร้านเดิมนะ ฉันเปิดขวดน้ำเย็น ๆ กระดกขึ้นดื่มรวดเดียวหลังจากกินก๋วยเตี๋ยวอิ่มแล้ว
“ไปแล้วนะแก ถ้าสนใจก็ตามมาล่ะ” ฉันลุกขึ้นเตรียมจะเอาชามไปเก็บ สะพายกระเป๋านักเรียน และโบกมือให้มิลินกับนิที่เพิ่งเดินมา “จะไปแล้วเหรอ”
ฉันตอบ “อือ เจอกันที่ห้อง” เมื่อเพื่อนพยักหน้าตอบรับ ฉันจึงแวะไปเข้าห้องน้ำ แปรงฟันเสร็จ และซื้อน้ำเปล่าอีกหนึ่งขวดพร้อมขนมขบเคี้ยวอีกหนึ่งห่อ ก็แปลกใจเหมือนกันว่าทำไมแปรงฟันแล้วยังต้องกินขนมต่อ คงติดนิสัยจากยัยนินั่นแหละเพราะเธอเป็นคนริเริ่ม
“…” ฉันมาถึงห้องสมุดของโรงเรียนที่มีขนาดใหญ่ ติดแอร์เย็นฉ่ำและมีถึงสองชั้น ส่วนมากฉันจะไปนั่งบนชั้นสอง เดินเลือกหาประเภทหนังสือที่สนใจ และที่ขาดไม่ได้คือนวนิยาย
ฉันชอบอ่านนิยายตั้งแต่มอหนึ่ง คงเพราะมิลินแนะนำ แต่คนแนะนำชอบอ่านที่บ้านมากกว่าส่วนฉันกลับอ่านที่ไหนได้หมด โดยเฉพาะห้องสมุดเย็น ๆ เดินเลือกอยู่นานก็ได้สามเล่ม นิยายแปลสืบสวนสอบสวน นิยายรัก และนิยายแฟนตาซีอีกหนึ่งเล่ม
“…” ไม่รู้ว่าจมจ่อกับการอ่านนานเท่าไหร่ จึงได้ยินเสียงสั่นแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ที่วางบนหนังสือที่ฉันหยิบติดมือมา ฉันละสายตาออกจากหน้าหนังสือ และเงยหน้าขึ้นเพื่อจะมองวิวทิวทัศน์นอกหน้าต่างที่สุดลูกหูลูกตา ก็บังเอิญเจอสิ่งสะดุดตา มีคนนั่งพิงกำแพงและมีหนังสือถืออยู่ แววตาดำขลับคู่นั้นประสานสายตาเข้ากับฉัน ทว่ากลับเป็นฉันเสียเองที่เบนสายตากลับมาจดจ่อหนังสือตามเดิม
“…”
ช่วงบ่ายจนถึงสี่โมงเย็น พวกเราได้รับมอบหมายให้ไปเก็บขยะตามพื้นที่ของแต่ละห้อง ช่วยกันทำความสะอาดโรงเรียน พอถึงเวลาใกล้เลิกเรียน ทางโรงเรียนอนุญาตให้กลับบ้านได้เลย นักเรียนทุกคนต่างทยอยเดินออกจากรั้วโรงเรียนกันด้วยความดีใจเพราะไม่ต้องเข้าแถวตากแดดร้อน ฉันที่เพิ่งแยกกับเพื่อนเมื่อครู่เนื่องจากสามคนอยากไปกินไอศกรีมที่ห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในตัวเมืองต่อ เราจึงแยกกันหน้าโรงเรียน ที่ตั้งของโรงเรียนอยู่ด้านนอกห่างจากตัวเมืองประมาณหกกิโลเมตร ฉันรีบเร่งฝีเท้าเพราะดูนาฬิกาบนโทรศัพท์มือถือพบว่าจวนจะห้าโมงเย็น เดินอีกประมาณห้านาทีก็ถึงบ้าน เนื่องจากบ้านและโรงเรียนใกล้กันมาก ฉันจึงไม่ห่วงเรื่องการเดินทาง แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อเช้าก็ดันเกิดเหตุสุดวิสัยขึ้นทั้งยังไม่คาดคิดว่าจะไปโรงเรียนสาย
“กลับมาแล้วค่า” ระหว่างที่พูดก็ดันไปสบสายตาเข้ากับพี่ฟาร์ม เขาและผองเพื่อนเองก็มองตาม ฉันยืนที่หน้าบ้านของน้าปราง การที่เห็นพวกเขาที่นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะน้าปรางเปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยวและอาหารตามสั่ง บ้านของฉันอยู่ติดกันและข้างรั้วบ้านมีประตูเชื่อม พื้นที่บ้านของน้าปรางกับบ้านของฉันเหมือนกันทุกประการเพราะเป็นบ้านแฝด แต่สิ่งที่ต่างกันคือบ้านของน้าปราง จะกว้างกว่าและพื้นที่ตรงสวนเปลี่ยนเป็นซุ้มสำหรับนั่งกินอาหารรับลมเย็น ๆ ฉันช่วยล้างจานในช่วงเย็นของทุกวัน ค่าจ้างเป็นอาหารในทุกมื้อ และมีพี่สาลี่คอยช่วยเป็นลูกมืออีกที น้าปรางจ้างเป็นเงินรายวันจนสนิทสนมกัน ส่วนพ่อกับแม่ของฉันตอนนี้ไปทำงานที่อื่น พวกท่านอยากให้ฉันไปด้วยเหมือนกัน แต่ฉันไม่อยากย้ายที่เรียนบ่อย กลัวจะเข้ากับเพื่อนใหม่ไม่ได้ จึงตัดปัญหาอยู่ช่วยน้าปรางขายของเพื่อหาข้ออ้างให้ท่านสบายใจ
“กลับมาแล้วเหรอ พิ้งค์อยากกินอะไรลูก เดี๋ยวน้าทำให้ เหลือลูกค้าโต๊ะสุดท้ายละ ช่วยไปเสิร์ฟให้น้าหน่อยนะ”
“วันนี้ขายหมดแล้วเหรอคะ”
“อ่า ใช่ ช่วงนี้เปิดเทอมมั้ง” ช่วงเปิดเรียนเหล่าอาจารย์และนักเรียนมากินที่นี่บ่อย ๆ ต้องบอกว่าร้านของน้าปรางเป็นร้านประจำ และขายหมดทุกครั้ง ฉันวางกระเป๋าสะพายและประคองชามก๋วยเตี๋ยวหมูน้ำตกสามชามวางบนถาดขนาดใหญ่ ไปเสิร์ฟตรงซุ้มหญ้าคา
“มาแล้วค่ะ อันนี้เส้นเล็ก วุ้นเส้น แล้วก็เส้นใหญ่” ฉันค่อย ๆ วางชามลงช้า ๆ พี่มิกซ์เป็นคนรับกับมือก่อนจะทยอยเลื่อนชามส่งให้เพื่อน
“ขอบคุณครับ อะนี่ของมึงไอ้ฟาร์ม”
“ขอบใจ”
“ร้านนี้อะเด็ด ใช่มั้ยครับน้องพิ้งค์” พี่มิกซ์พูดเสียงหวานหยดย้อย สำหรับฉันเป็นเรื่องธรรมดามากเพราะเขาก็เป็นแบบนี้ทุกครั้งที่เจอ แต่คงไม่ใช่กับใครบางคน
“แค่ก ๆ เชี่ย” พี่ฟาร์มที่กำลังดูดน้ำจากแก้วทรงสูงกลับสำลักน้ำทันทีที่เพื่อนของเขาพูดจบ “มึงมีแฟนแล้วไม่ใช่เหรอ ไอ้เหี้ยนี่”
“ฮ่า ๆ มึงก็อย่าไปเชื่อมันมาก นี่น้องพิ้งค์เพื่อนของน้องนิ” พี่เอกโคลงศีรษะเบา ๆ ขณะหยิบเครื่องปรุงจากมือของพี่มิกซ์
“ทานให้อร่อยนะคะ” ฉันเพียงคลี่ยิ้ม จากนั้นแวะไปดูแต่ละซุ้มเพื่อจะไปเก็บข้าวของทั้งหมดเตรียมจะล้างทำความสะอาด เมื่อเดินมายังส่วนหลังบ้านก็พบว่าพี่สาลี่ล้างทุกอย่างจวนจะเสร็จแล้ว
“อ้าว ทำไมวันนี้เสร็จเร็วจังคะ ไม่ให้หนูทำเลยเหรอพี่ลี่”
“หยุดสักวันเถอะน้องพิ้งค์ วันนี้คนเยอะมาก พี่เลยได้ประจำตำแหน่งนี้จ้ะ” พี่ลี่ใช้แขนเสื้อเช็ดตรงขมับเหงื่อผุดขึ้นตามไรผม จนฉันต้องหยิบทิชชูมาเช็ดให้ “ขอบใจนะจ๊ะ”
“งั้นกลับเลยก็ได้ค่ะ หนูจะเก็บร้านเอง”
“จะดีเหรอคะ”
“ต้องไปรับน้องแทนไม่ใช่เหรอคะ” เวลาประมาณนี้พี่สาลี่จะต้องไปรับลูกชายที่ฝากไว้ที่บ้านแม่ เหมือนเธอจะลังเลในตอนแรกแต่พอฉันพูดสำทับอีกรอบ ถึงได้รีบลุกแล้วเอ่ยขอบคุณยกใหญ่
“ไปเถอะค่ะ เดี๋ยวหนูจัดการเองไม่ต้องห่วง” พอพี่สาลี่ไปแล้วฉันก็ทำการคว่ำชาม อุปกรณ์ทุกอย่างผึ่งให้แห้ง เสร็จจากตรงนั้นก็ออกไปดูว่าลูกค้ากลุ่มสุดท้ายออกไปหรือยัง
“ไปแล้วล่ะ แล้วพิ้งค์อยากกินอะไรคิดไว้หรือยัง”
“เอาผัดกะเพราทะเลใส่กุ้ง…” ฉันกำลังจะพูดต่อน้าปรางก็พูดแทรกพร้อมกลั้วหัวเราะ
“ใส่กุ้งเยอะ ๆ น้ารู้แล้ววว ของโปรดเรานี่นา” ฉันเองก็พลอยยิ้มตามไปด้วย
“หนูไปเก็บชามละ”
“อื้อ”
ฝีเท้าเดินตรงไปยังซุ้มหญ้าคาและต้องชะงักงัน เพราะภาพที่เห็นคือชามที่ซ้อนกันเป็นระเบียบไม่มีน้ำเหลือเลยสักหยด ในใจแอบคิดว่าพวกเขากินหมดเกลี้ยงเลยเหรอ หรือแอบเททิ้งข้างซุ้มนะ
“น้าปราง ๆ ลูกค้าเมื่อกี้กินหมดเกลี้ยงเลย”
“ก็เพื่อนเราไม่ใช่เหรอฮึ เห็นมาบ่อย ๆ”
“แฟนเพื่อนของหนูเอง”
“มารยาทดีนะ คนที่เจาะหูอะ รูปหล่อไม่เบา เราน่ะไม่สนใจพ่อหนุ่มคนนั้นบ้างเลยเหรอจ๊ะ น้าไม่เห็นพิ้งค์สนใจหนุ่ม ๆ สักคน” น้าปรางหมุนตัวมามองฉันและยืนเท้าสะเอว หรี่ตาดูเหมือนจะจับผิดกันกลาย ๆ
“ตอนนี้ไม่มีหรอกค่ะ ถ้าพิ้งค์เกิดชอบพอผู้ชายคนไหนเข้าจริง ๆ จะบอกน้าปรางเป็นคนแรกเลย” ฉันหัวเราะขบขันเมื่อเห็นว่าน้าปรางทำหน้าเหมือนไม่เชื่อคำพูดที่หลุดออกมาจากปากของหลานสาว
“หึ ขอให้จริงเถ้อะ” เป็นอย่างที่น้าปรางพูดนั่นแหละ เพราะต่อให้ฉันชอบใครสักคน และคนนั้นก็อยู่ในสายตามาโดยตลอด ฉันก็ไม่ใจกล้าพอจะผ่านด่านเหล่าผู้หญิงที่หมายตา ‘เขา’ มากมาย ช่วงชิงเขามาไว้ข้างกายเด็ดขาด ปล่อยให้มันเป็นความชื่นชอบโดยทั่วไปของวัยรุ่นก็เพียงพอแล้ว