ห้วงเวลา 2 อดีต
เป็นเดือนพฤษภาที่ฉันจำได้แม่นยำ การเรียนโรงเรียนประจำจังหวัดซึ่งเป็นจังหวัดที่ฉันเติบโตมาตั้งแต่เด็ก มันเป็นความเรียบง่าย เช้านี้ฉันตื่นเช้าทำกิจวัตรประจำวันทั่วไป สวมใส่ด้วยชุดนักเรียนสีขาวรีดเรียบกริบพร้อมยัดเข้าไปในกระโปรงหลายจีบ ฉันรีดไว้ตั้งแต่เมื่อคืนทุกตัวเพื่อย่นเวลาในการแต่งตัว จากนั้นจึงหยิบเข็มขัดมารัดตรงหัวกระโปรงเป็นอันเสร็จสิ้นการแต่งกาย คงเพราะเมื่อคืนนอนประมาณสามทุ่มฉันจึงใช้เวลาเหมาะสมกับที่วางแผนเอาไว้ แต่ทว่าฉันก็ไปไม่ทันเคารพธงชาติอยู่ดีเพราะปวดท้องเข้าห้องน้ำ พอมาถึงโรงเรียนก็รู้ชะตากรรมตัวเองโดยอัตโนมัติ
“เพิ่งเปิดเทอมวันแรกยังสายขนาดนี้ ครูไม่อยากจะนึกถึงเรื่องอื่นเลย พวกเธอจะไปทำมาหากินอะไร้! ครูไม่อยากบ่นหรอกนะแต่มันอดไม่ได้จริง ๆ เฮ้อ! เขียนชื่อแล้วเดินตามครูมา” อาจารย์ปกครองที่ขึ้นชื่อว่าโหดที่สุด แกชื่อ อาจารย์เดือนเพ็ญ เป็นคนระเบียบจัด แถมยังพ่วงตำแหน่งสาวโสดวัยกลางคนที่สวยแต่ดุ
“เฮ้ย ไอ้ฟาร์ม มึงอย่าเหยียบตีนกูดิวะ”
“เดินให้มันเร็ว ๆ หน่อยดิ้”
“นักเรียน…เดินให้มันเร็ว ๆ หน่อยค่ะ เห็นมั้ยว่าผอ.กำลัง…” ครูเดือนเพ็ญหันขวับตวัดสายตาให้กับผู้ชายสองคนที่กำลังคุยเสียงดัง และคำพูดสุดท้ายที่พูดต่ออาจารย์นั้น
“กำลังโม้อยู่อะดิ ทำไมกูต้องมานั่งตากแดดด้วยวะ แสบตูดฉิบหาย” พวกเขาคงหมายถึงการนั่งบนพื้นซีเมนต์ที่มีแดดจ้า และไอความร้อนพวยพุ่ง
“เบา ๆ หน่อยนักเรียน คุยอะไรกันอยู่ มาสายแล้วยังพูดเสียงดังอีกครูจะไม่ไหวกับพวกเธอแล้วนะ!” การที่อาจารย์เทศนาสองคนนั้นแต่มันกระทบเข้ามาถึงใจคนมาสายอย่างฉันด้วยเช่นกัน พวกเรายืนแปลกแยกอยู่ข้างหลังจากชั้นมัธยมปลาย การเคารพธงชาติ เป็นสิ่งที่นักเรียนโรงเรียนภาครัฐจะต้องเผชิญในทุกวัน พร้อมการนั่งตากแดดด้วยเช่นกัน ระเบียบนี้ก็คือสาเหตุที่คนมาสายน่าจะอยากเลี่ยงมากที่สุด
นักเรียนที่มาสายมีประมาณสามสิบกว่าคนจากที่เขียนรายชื่อในสมุดจดของฝ่ายปกครอง แบ่งเป็นสามแถว ฉันยืนหน้าสุดหัวแถวที่สอง ทั้งที่นักเรียนชั้นมอหนึ่งถึงมอหกนั่งลงกันหมดแล้ว แต่กลุ่มมาสายก็ยังไม่สามารถนั่งได้เพราะผู้ชายสองคนนั้นคุยกับอาจารย์เดือนเพ็ญเสียงดัง จนกระทั่งเสียงจากลำโพงที่ผู้อำนวยการกล่าวถึง
“อ้าว ๆ นักเรียนที่มาสายน่ะ นั่งลงได้แล้ว!” นั่นแหละ สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องกลุ่มของพวกเราทันที ฉันถอนหายใจเบา ๆ เมื่อนั่งลงเรียบร้อยแล้ว กระเป๋าสะพายที่เป็นตราของโรงเรียนปลดแล้ววางบนตัก ยังไม่จบนะ พวกเขายังคุยกับอาจารย์เดือนเพ็ญต่อราวกับกำลังกวนประสาท หนึ่งในสองคนนี้มีหนึ่งคนที่ฉันรู้จักดีเชียวล่ะเพราะเป็นแฟนของเพื่อนสนิท แต่อีกคนที่นั่งข้างหลังนั้น ฉันไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อน
“และรูหูของเธอที่ไประเบิดมาน่ะรีบถอดออกด้วย มันไม่ถูกระเบียบวินัยครูไม่อนุญาตนะ เธอชื่ออะไร…อ๋อ นายรชต ต่อจากนี้ครูจำชื่อของเธอได้ขึ้นใจเชียวล่ะ” ฉันแค่สงสัยว่าที่อาจารย์พูดมันคือความจริงหรือเปล่า ความสนใจในช่วงเช้าถูกเขายึดครองไปจนหมด ด้วยความสงสัยฉันเลยเอี้ยวตัวมอง เขาใส่ชุดนักเรียน ทุกอย่างดูจะเป็นระเบียบแต่ทว่ารูหูที่กว้างเป็นวงใหญ่บ่งบอกว่า เขาช่างใจกล้าในขณะที่กำลังเป็นนักเรียน ไม่เพียงเท่านั้นเขายังหน้าตาดี แต่เสียดายเขาจัดอยู่ในประเภทผู้ชายเกเรที่ฉันควรเลี่ยง
“…” เหมือนว่าความคิดในหัวจะสามารถเปล่งออกเป็นคำพูดได้ เมื่อเขาหันมาสบเข้ากับสายตาของฉัน ตึกตึก โดนจับได้เสียแล้ว แทนที่จะโกรธหรือไม่พอใจกับการถูกแอบมอง เขาเลิกคิ้วเข้มไม่นานรอยยิ้มเย้าแหย่ก็ทำให้ฉันชะงักงัน
“…” ฉันยิ้มจืดเจื่อนและหลบสายตา หันมองตรงเพื่อจะตั้งใจฟังผอ.คุยเรื่องการพัฒนาโรงเรียน ต่อด้วยอวยพรนักเรียนให้ตั้งใจเรียน คำพูดเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ที่ฉันได้ยินมาตั้งแต่มอหนึ่ง ทำทีว่าตั้งใจฟังแต่ในหัวกลับตื่นตระหนก ริมฝีปากกัดเม้มเพราะอับอายกับพฤติกรรมตัวเอง ไม่น่าอยากรู้อยากเห็นเลยพิ้งค์ เรื่องสุดท้ายของผอ. เป็นเรื่องทรงผมนักเรียนชายและหญิง นักเรียนหญิงที่ไว้ผมยาวให้ติดโบสีดำเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่ต้องบอกถึงความถูกต้องหรอกเพราะฉันทำตามทุกขั้นตอน
“มึงมองอะไรวะ”
“เสือก”
“ไปฉี่ปะ”
“อือ” ไม่นานก็ถึงเวลาแยกย้ายเข้าชั้นเรียน ถูกอาจารย์เดือนเพ็ญตักเตือนอีกสักพัก ก็ถูกปล่อยตัว ฉันพรูลมหายใจออกมา และกวาดสายตามองหาเพื่อนจึงพบว่ากำลังนั่งรอที่โต๊ะหินอ่อนใต้ต้นนนทรี
“มาสายนะแก”
“อืม ดันปวดอึตอนจะออกจากบ้านน่ะ” ฉันโคลงศีรษะ และเข้าไปนั่งข้าง ๆ ยัยนิซึ่งอยู่ตรงข้ามกับยัยเพลง “ซวยไปเลย”
“โดนคุณแม่เฉ่งเลยอะดิ” คุณแม่ที่พูดถึงก็คือ อาจารย์เดือนเพ็ญนั่นแหละ “ว่าแต่พี่มิกซ์ก็มาสายเหรอวะไหนบอกกับแกว่าต่อไปนี้พี่จะนอนเร็ว พี่จะเป็นเด็กดีเพื่อน้องนิ”
“นอนเร็วอะไรล่ะ คุยกันเกือบตีสอง พอจะวางก็ไม่ให้วางให้ถือสายรอยันหว่างเลยจ้า” นิบ่นอย่างระอา ฉันไม่รู้ว่าพวกเขามีเรื่องคุยอะไรกันนักหนา ต้องคอยตอบแชต และคุยกันทุกคืนไม่เบื่อหรืออย่างไร
“แหม ช่วงข้าวใหม่ปลามันก็งี้”
“ข้าวไหมปลามันอะไรล่ะ”
“แล้วนี่ไม่ได้เรียนเหรอ” ฉันถามขึ้นด้วยความสงสัย เมื่อยัยนิคุยเรื่องแฟนของเธอ
“อาทิตย์แรกของการเปิดเทอม ใครเรียนกันคะ แต่คงต้องไปทำความสะอาดห้องช่วยอาจารย์มั้ง”
“งั้นก็ไปห้องสมุดได้อะดิ”
“ได้อะมันได้ แต่แกห้ามไปตอนนี้จ้า เพราะฉันอยากคุยกับแกอีกหลายเรื่อง”
“คุยเรื่อง?”
“เห็นคนนั้นปะ ที่เดินกับพี่มิกซ์อะ” ยัยนิบุ้ยปากไปยังทางเข้าห้องน้ำชาย ซึ่งทั้งสองคนเดินออกมาพอดี เหมือนพี่มิกซ์จะรู้สึกได้ว่ามีคนจับจ้อง พอเห็นว่าเป็นแฟนตัวเองเขายิ้มกว้างจนปากแทบฉีก ส่วนคนข้าง ๆ ก็มองมาและไม่รู้เขาคุยอะไรกัน ก่อนจะโบกมือทักทายแฟน พี่มิกซ์ชี้มือไปยังอาคารหนึ่งเพื่อจะบอกว่าจะขึ้นห้องเรียนแล้ว
“หล่ออะ”
“ไม่เถียง” ฉันพยักหน้าหงึก ๆ จนเพื่อนสองคนสบตากันและผลักไหล่ฉันเบา ๆ
“คนนั้นชื่อ พี่ฟาร์มเพิ่งย้ายเข้ามาใหม่”
“ย้ายตอนมอห้าอะนะ”
“อื้อ”
“แกว่าเขาหล่อแบบนี้มีโอกาสชอบ…”
“ไม่รู้”
“มิลินจองแล้วจ้าคนเมื่อกี้น่ะ”
“มิลิน มาไม่ให้สุ้มให้เสียง” มิลินเข้ามานั่งข้างเพลงพลางหัวเราะเมื่อเพื่อนสะดุ้งตัวโหยง คงเพราะเธอเป็นเด็กวิชาการอาจารย์เลยเรียกไปคุยเรื่องการแข่งขันเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ จึงเพิ่งเดินตามมา
“แบดบอยแบบนั้นมิลินชอบ”
“งั้นแข่งจีบกับยัยพิ้งค์ดิ”
“จะบ้าเหรอ เพิ่งเจอกันแค่วันเดียวให้ไปจีบแล้วเหรอ ไม่เอาด้วยหรอก” ฉันกลอกตา ความคิดนี้ไม่น่าเวิร์ก การที่จะจีบต้องชอบก่อนไม่ใช่เหรอ ฉันยังไม่ได้ชอบอะไรพี่เขาเลย
“ช่างเถอะ เปลี่ยนเรื่อง ๆ เมื่อเช้าเห็นยัยฟรังค์เพื่อนรักแกอะเพลงเดินมากับหนุ่มหล่อคนใหม่ น่าจะห้องหกมั้ง”
“โรงเรียนเรามีคนหล่อกี่คนเนี่ย” ฉันกลั้วหัวเราะ การเรียนไม่สนใจ คุยแต่เรื่องผู้ชาย
“เกลียดว่ะ กว่าเราจะออกจากตรงนั้นได้ตั้งสองปีเลยนะเว้ย ขอเมาท์หน่อยไม่ได้เหรอ”
“แฟนเก่ากับเพื่อนรักเก่าแอบกิ๊กกันอะนะ” มิลินยิ้มเจื่อน ๆ พลางลูบไหล่เพลงเบา ๆ
“สุดท้ายก็ไปไม่รอด เหอะ สมน้ำหน้า แล้วยัยนั่นยังเอาเรื่องของฉันไปโพนทะนาว่าฉันเลิกกับเขาก่อนที่จะมาคบกับนาง ตอแหลชะมัด”
“เบา ๆ” ฉันปรามเพื่อนที่เริ่มโมโหกับเรื่องที่เพิ่งเกิดสด ๆ ร้อน ๆ ในช่วงก่อนจะปิดเทอมลากยาวมาถึงก่อนหน้าเปิดเทอมเพียงหนึ่งสัปดาห์ คาราคาซังจนเมื่อวานแฟนเก่าของเพลงโพสต์สเตตัสเหมือนคนอกหักเพราะคงโดนฟรังค์บอกเลิก
ฉันพูดต่อ “โสด ๆ สวย ๆ ดีกว่า” การปลอบคนอื่นทั้งที่ไม่เคยมีประสบการณ์ความรักเหมือนพวกเธอมันก็อย่างไรอยู่นะ เราสี่คนเพิ่งได้รวมกลุ่มจริงจังไม่นาน ฉันกับมิลินไม่เคยมีแฟน มีแค่ยัยนิที่มีเป็นตัวเป็นตน ส่วนเพลงรายนั้นก็อย่างที่บอกว่าเพิ่งจบความสัมพันธ์ค่อนข้างไม่สวยไปหมาด ๆ
“อืม คงงั้นแหละแก ที่แน่ ๆ ฉันจะไม่ยอมมีใครในเร็ว ๆ นี้ อ้อ แล้วก็อีผู้หญิงคนนั้นอย่าว่าแต่หน้า ฉันไม่เปลืองน้ำลายเสวนากับมันหรอก!”
“ว่าแต่คนที่เดินกับฟรังค์น่าจะผู้คนใหม่ที่นางจ้องจะงาบแน่ ๆ พวกแกว่าปะ” เพลงจีบปากจีบคอ
“ก็เขาสวย ปล่อยไปเหอะ”
“เอ๊ะ แล้วตกลงแกเพื่อนฉันปะเนี่ยยัยพิ้งค์”
“ใครทำอะไรไว้ก็ได้แบบนั้นแหละน่า อย่าไปสุงสิงเป็นพอ”
“อือ พูดอะมันง่ายคนทำ มันทำยากนะเว้ย”
“พอ ๆ ไปหาอาจารย์ที่ปรึกษากันเถอะแก” มิลินผุดลุกขึ้น เราจึงตกลงกันว่าจะไปหาแกที่อาคารสองซึ่งเป็นตึกคณิตศาสตร์-วิทยาศาสตร์ แต่ทันทีทันใดที่เตรียมจะลุกขึ้นนั้น ฉันเหลือบไปเห็นผู้ชายคนหนึ่ง ผิวขาวจัด สูงมาก และสวมหน้ากากอนามัยสีดำ เขายังใส่เสื้อแจ็กเกตเบสบอลสวมทับกับเสื้อนักเรียน เดินมากับกลุ่มเพื่อนด้วยท่าทางนิ่ง ๆ
“เฮ้ย ๆ คนนี้แหละแก” ยัยนิสะกิดที่แขนฉันยิก ๆ และบุ้ยปากไปยังทางที่พวกเขาเดินผ่าน ดูดีทั้งกลุ่มจริง ๆ นั่นคือความคิดแรกในหัว หรือนี่จะเป็นผู้ชายคนที่ฟรังค์สนใจ ฉันละสายตาจากเขาและเลิกคิ้วถามเพลง มิลิน และคนข้างกาย
“คนนี้เหรอ”
“เออ คนนี้แหละที่เพื่อนรักของยัยเพลง กำลังสนใจ…หล่อกว่าไอ้ต้าร์ตั้งเยอะเลยว่ะ”
“อย่าเทียบเลยคนนี้กินขาด” เพลงสั่นหัว “หรือฉันควรจะแก้แค้นดี”
“อย่าไปยุ่งเลย ปล่อยไปเหอะ” มิลินเอ่ย ฉันแค่พยักหน้าเบา ๆ ตามที่เพื่อนพูด อยู่ห่าง ๆ ดีกว่า
“มอปลายไม่น่าเบื่อแล้วนะคะ มีแต่คนหน้าตาดี” ยัยนิพูดพลางกอดคอฉันเดินไปด้วยกัน “ไปเข้าห้องน้ำกันปะ”
“เข้าก็ได้นะแก เผื่อจะปวดฉี่ขี้เกียจเดินย้อนกลับมา” โรงเรียนประจำจังหวัดแห่งนี้มีพื้นที่เยอะมาก ราวห้าสิบไร่เก้าสิบตารางวา แบ่งเป็นสี่อาคารใหญ่ และหลายอาคารเสริม มีหอประชุมที่ใหญ่มากบรรจุนักเรียนได้ประมาณสองพันคน มีสนามฟุตบอล ฟุตซอล มีโรงยิม ห้องดนตรี นาฏศิลป์ สระว่ายน้ำ จะบอกว่ากึ่งเอกชนนิดหน่อยก็ไม่ถือว่าเกินจริงเพราะมีผู้สนับสนุนหลัก ๆ เป็นศิษย์เก่าที่จบไปแล้วมาช่วยปรับปรุงสถานศึกษา แต่มีหนึ่งอย่างที่ฉันขัดใจก็คือ ห้องน้ำนักเรียนอยู่นอกอาคารเรียน ส่วนห้องน้ำในอาคารกลับมีแค่อาจารย์ที่มีสิทธิ์เข้าได้
ฉะนั้นเราถึงต้องเผื่อเวลาเข้าเรียน เพราะต้องเผื่อเวลาเข้าห้องน้ำก่อนทุกครั้ง ถ้าวันไหนต้องเดินไปอาคารสามหรือสี่ก็ถือว่าได้ออกกำลังกาย เพราะเดินไกลมาก
“ขอให้วันนี้เป็นวันที่ดีนะทุกคน” มิลินกล่าวยิ้ม ๆ
“อือ” ฉันตอบรับ