บท
ตั้งค่า

ห้วงเวลา 1 ความทรงจำ

“ไอ้ภูมึงทำอะไรวะ”

“ยุ่ง”

“จะเลิกกับเมีย?”

“…” การที่บริษัทต้องเช่าห้องทำงานบนชั้นสามสิบ โดยพื้นที่หนึ่งห้องบรรจุคนได้มากสุดประมาณสามคน ราคาสองหมื่นกว่าบาทต่อเดือนแต่ผนังบางเฉียบจนสามารถได้ยินห้องข้าง ๆ พูดคุยกันเป็นเรื่องปกติที่ฉันได้ยินผ่านหูเกี่ยวกับเรื่องราวคนอื่นโดยไม่ได้ตั้งใจเกือบทุกวัน สองมือง่วนอยู่กับแป้นพิมพ์คีย์บอร์ดด้วยความเคร่งเครียดเพราะต้องทำรายงานส่งบอสในเวลากระชั้นชิดมันเป็นเรื่องน่าเบื่อสำหรับการทำงานเดิมซ้ำ ๆ มาสี่ปี แต่อย่างน้อยมันก็ไม่เหงาไปเสียทีเดียว

ขณะที่ห้องทำงานของเราเงียบ ห้องข้าง ๆ ก็คุยกัน บางครั้งพวกเราคุยกัน ห้องข้าง ๆ ก็จะเงียบ มันเป็นเรื่องที่บางครั้งฉันก็แอบคิดนะว่า ถ้าเดินไปเคาะทำความรู้จักมันจะดีกว่ามั้ย แต่สังคมการทำงาน การที่จะยิ้มให้กันสำหรับฉันมันยาก และถึงจะอยู่แบบนี้มาสี่ปี แต่ห้องข้าง ๆ ก็เปลี่ยนผู้เช่ามาหลายบริษัทแล้ว การที่จะไปแนะนำตัวมันดูกระอักกระอ่วนจึงล้มเลิกความตั้งใจแรกนั้นไป

“เลิกงานแล้วไปดริ๊งก์กันต่อมั้ยพิ้งค์” ฉันละจากหน้าจอ เมื่อเพื่อนร่วมงานเอ่ยชวนอย่างทุกครั้ง และทุกครั้งคำตอบเดียวที่ผุดขึ้นในหัวก็คือ

“ไม่ไป/ไม่ไป”

“ว่าแล้ว ชวนกี่ครั้งก็แห้วตลอด”

“จะกลับต่างจังหวัดน่ะ”

“อ๋อ กลับบ้านเหรอ”

“ไปงานแต่งคนรู้จัก”

“ไปงานคนอื่น เมื่อไหร่จะมีของตัวเองบ้างล่ะพิ้งค์”

“…” ฉันเพียงแค่ยกยิ้มมุมปาก

“พูดถึงเรื่องงานแต่ง เพื่อนฉันน่ะนะคบกับแฟนมาตั้งแต่มอต้นตอนนี้มันแฮปปี้ดี๊ด๊าเชียว เป็นรักแรกของกันและกันด้วยนะ อิจฉาชะมัด”

“แล้วสามีที่บ้าน?”

“โอ๊ย คนที่เท่าไหร่ไม่นับหรอก ฉันน่ะคิดถึงช่วงมัธยมที่สุดเลยนะ รักแรกที่ตราตรึงใจ ฉันแอบไปส่องเฟซพี่เขาด้วยนะ ตอนนี้มีลูกมีครอบครัวและดูรักภรรยามากด้วย…อบอุ่นแบบ เฮ้อ อยากได้แบบนี้แต่สามีที่บ้านไม่เป็นใจ”

“…”

“ทำไมเงียบกริบอะ ไม่เห็นมีปฏิกิริยาอะไรบ้างเหรอคะคุณพิ้งค์”

“หือ อ่านวาระการประชุมนิดหน่อยน่ะ”

“ใกล้เลิกงานแล้วนี่นา ค่อยทำต่อวันจันทร์ก็ได้แหม มาคุยเรื่องความรักกันต่อเถอะพิ้งค์ เอ ว่าแต่คนนิ่ง ๆ แบบพิ้งค์เคยมีประสบการณ์บ้างปะ”

“ก็มี”

“แล้ว”

“แล้ว…ตอนนี้ก็เลิกงานพอดีเป๊ะ กลับบ้านกันเนอะ”

“โอ๊ย ยัยผู้หญิงใจร้าย ตัดบทได้ไร้เยื่อใยมาก…โอเค งั้นเจอกันวันจันทร์นะพิ้งค์ แล้วก็ขอให้เจอเจ้าบ่าวเร็ว ๆ นี้ อ้อ เจอในงานแต่งที่จะไปถึงนี่ละกัน บาย”

“อืม เจอกัน”

งานแต่งงานของคนรู้จักที่จัดขึ้นบนอาคารใกล้เคียงซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโรงแรมขนาดสี่ดาว หรูหราที่สุดในจังหวัดนี้ ฉันอาศัยอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เด็ก จนถึงมัธยมปลาย พอช่วงเรียนมหาวิทยาลัยจึงย้ายไปเรียนจังหวัดใกล้เคียงแทน แต่พอเรียนจบก็มุ่งหน้าหางานทำในเมืองศรีวิไลซ์ ผ่านมาเก้าปีทำไมถึงตัดสินใจกลับมาที่นี่กันนะ

“พิ้งค์ ๆ โอ๊ย หาตั้งนานมายืนกินอะไรตรงนี้ ไปรอรับดอกไม้กันเถอะแก” ฉันถือจานเล็ก ๆ มีนักเก็ตไก่บะหมี่กรอบกับทูน่ามายองเนสในถ้วยขนมปัง เพื่อจะกินประทังความหิว เนื่องจากต้องใส่ชุดเดรสที่รัดรูปฉันจึงค่อย ๆ ละเลียดนักเก็ตไก่ก่อนกลืนลงท้อง

“ไม่เอา แกไปเถอะ”

“โอ๊ย ฉันมีผัวแล้วค่า ไม่อยากได้หรอกดอกมงดอกไม้อะ ว่าแต่แกเถอะเมื่อไหร่จะมีบ้าง”

“รู้ได้ไงว่าฉันไม่มี”

“หรือแกมี”

“…” ฉันยังหยิบของกินต่อไปพลางยักไหล่ จนกระทั่งเพลงกับมิลินเดินเข้ามาสมทบ เป็นช่วงเวลาที่ทุกคนรอคอยกับการรับดอกไม้จากเจ้าสาว นั่นเป็นสิ่งที่ฉันไม่รู้สึกตื่นเต้นสักนิด ใครใคร่รับก็รับไปสิ เอาที่ตัวเองสะดวกใจก็พอ พิธีการต่อไปคงเป็นอาฟเตอร์ปาร์ตี้เจ้าบ่าวเจ้าสาวทักทายแขกเหรื่อ การยิ้มแย้มให้แขกหลายร้อยคนเป็นงานที่ดูเหนื่อยเกินกว่าที่คิด ถ้าฉันแต่งงานมันจะดูลำบากขนาดนี้ไหมนะ แต่มาคิดดูอีกที ฉันอาจจะจัดแบบส่วนตัวก็ได้

“ฉันไปห้องน้ำก่อนนะ แกไปด้วยมั้ย”

“ไปเถอะ” ฉันตอบ ทั้งสามคนเลยปล่อยให้ฉันยืนอยู่คนเดียวเหมือนเดิม ฉันย้ายจากโซนอาหารมายืนตรงมุมอับ มองเจ้าบ่าวเจ้าสาวและกวาดสายตาหาใครคนหนึ่ง ซึ่งพบว่าเขาเองได้หันมามองกันตั้งแต่ต้นแล้ว แต่เพราะมีใครบางคนเข้ามาทักทายฉันจึงละสายตาออกจากจุดที่เขายืนอยู่

“ถ้าไอ้ฟาร์มเป็นเจ้าบ่าวคงจะดี คงสนุกมากกว่านี้ว่ามั้ยน้องพิ้งค์”

“คงเมาหัวราน้ำแน่ ๆ ค่ะ”

“ก็จริง เอ้อ แล้วนี่น้องพิ้งค์ได้กลับไปหามันบ้างมั้ยอะ”

“พิ้งค์เพิ่งจะกลับมาเนี่ยค่ะ”

“อ๋อ ว่าง ๆ ก็แวะไปหามันบ้างนะ มันคงคิดถึงเราน่ะ”

“…” พี่มิกซ์เข้ามาคุยกับฉันอยู่นาน จนเขาเหลือบไปเห็นใครสักคน ทันใดนั้นเขาจึงบุ้ยปากไปอีกฝั่งหนึ่ง

“ดูไอ้นั่นดิน้องพิ้งค์ ยืนทำหน้าบึ้งอยู่นานละ สาว ๆ สวย ๆ เข้ามาก็เปิดการ์ดทำหน้าเย็นชาใส่เขากันหมด ว่าแต่เมื่อไหร่มันจะมีเมียสักทีวะ” พี่มิกซ์ยังบ่นพึมพำต่อ ทว่าไม่นานเขาก็รีบเอ่ยขอตัวทันที “พี่ว่าพี่ไปดีกว่า” แต่พอฉันมองตามสายตาก็เข้าใจในอากัปกิริยานั้นโดยไม่ต้องเอ่ยถามให้มากความ

“แกคุยอะไรกับไอ้พี่มิกซ์วะพิ้งค์”

“เรื่องทั่วไปน่ะ”

“พี่มิกซ์เห็นแกเดินตรงเข้ามาหายัยพิ้งค์ เขารีบเดินหนีอะคิดดู ขำชะมัด ฮ่า ๆ”

“เอ้อ สวยขนาดนี้เดินหนีได้ไงกันนะ” แฟนเก่าที่เลิกรากันไปดูจะไม่กล้าสู้หน้ายัยนิราวกับเธอเป็นคนที่น่ากลัวเสียประดา ทั้งที่เพื่อนของฉันทำตัวปกติ เลิกกันแล้วก็สามารถเป็นพี่เป็นน้องกันได้แท้ ๆ แต่ทว่าไม่น่าจะใช้ได้กับพี่มิกซ์ เขาดูลุกลี้ลุกลนจนฉันยิ้มเบา ๆ ระหว่างนั้นฉันรู้สึกได้ว่ามีคนจับจ้อง จึงเบนสายตาไปมอง ปรากฏว่าเป็นเจ้าสาวที่เป็นคนเอ่ยชวนฉันมางานในครั้งนี้นี่เอง

ไม่ช้าเจ้าสาวคนสวยก็เดินตรงดิ่งมาทางนี้ เธอสบตาเข้ากับฉัน ก่อนจะเม้มริมฝีปากแน่นคล้ายกำลังประหม่ากึ่งลำบากใจ ไหล่ที่ห่อตัวบ่งบอกว่าเธออยากจะพูดอะไรบางอย่าง ซึ่งมันต้องเกี่ยวข้องกับฉันแน่ ๆ แต่เพื่อนของฉันกล่าวแสดงความยินดีเสียก่อน

“ยินดีด้วยนะคะพี่ฟ่าง”

“เจ้าสาวสวยมากเลย”

“ขอบคุณนะจ๊ะ เอ่อ พิ้งค์ พี่ขอคุยด้วยหน่อยได้มั้ย”

“ได้ค่ะ พิ้งค์ขอแสดงความยินดีกับการแต่งงานด้วยนะคะ” ฉันเอ่ยเสียงเรียบ เพื่อนทั้งสามคนยิ้มพลางตบไหล่ฉันเบา ๆ ก่อนจะผละจากไปเพื่อให้ฉันคุยกับพี่ฟ่างเป็นการส่วนตัวตามที่เธอได้ร้องขอ

“มันอาจจะสายเกินไปที่จะเอ่ยออกมา แต่พี่ขอโทษจริง ๆ นะ เรื่องในวันนั้นน่ะ”

“มันเป็นความผิดของพิ้งค์เองและเรื่องมันก็ผ่านมานานมากแล้ว ถึงพี่ฟ่างอยากจะรื้อฟื้นมันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรอกค่ะ พิ้งค์เข้าใจทุกอย่างดี แล้วก็ขอให้มีความสุขมาก ๆ นะคะ” ฉันคลี่ยิ้มอย่างจริงใจที่สุดให้เจ้าสาว ก่อนจะขอตัวกลับ

มันเป็นความลำบากใจกับการที่ต้องมารวมตัวกับเพื่อนเก่า ความรื่นเริงของงานไม่อาจทำให้ฉันลดทอนความอึดอัดที่ก่อตัวขึ้นมาสักพักลงได้ ฉันเห็นพวกเขารักกันมาตั้งนานแต่หัวใจกลับเจ็บปวด

‘ขอโทษที่ไม่ได้อยู่จนจบงานนะคะ พิ้งค์ทำไม่ได้จริง ๆ’ ฉันกลับมาบ้านก็พบว่าพ่อกับแม่นั่งดูทีวีที่ห้องรับแขก พวกท่านได้กลับมาอยู่ที่บ้านได้สี่ปีแล้วหลังจากฉันเรียนจบ มันเป็นความฝันที่เกิดขึ้นจริง เมื่อก่อนพ่อแม่ไปทำงานไกลบ้าน และทั้งคู่ไม่ค่อยมีเวลาให้ฉันเท่าไหร่ แต่มันไม่ได้ทำให้ฉันน้อยใจหรือตัดพ้อพวกท่านเลย ออกจะเข้าใจเสียด้วยซ้ำ

“อ้าว ทำไมกลับมาเร็วจังเลยลูกเพิ่งจะสองทุ่มเองนะพิ้งค์”

“พิ้งค์เพลียนิดหน่อย ขอตัวไปนอนก่อนนะคะแม่”

“กินยาหรือยัง” พ่อถามขึ้น ฉันส่ายหัว“ไม่ได้ปวดหัวค่ะ หนูไปอาบน้ำนอนก่อนนะ” ฉันแค่หาข้ออ้างไม่ให้ท่านถามถึงอาการป่วยที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง ป่วยใจมากกว่า ฉันใช้เวลากับการลบเครื่องสำอาง อาบน้ำ เป่าผมที่เปียกชื้นจนมันแห้งสนิทประมาณหนึ่ง ฝีเท้าก้าวย่างเพื่อมุ่งตรงเข้าไปในห้องนอนบนชั้นสองและล็อกประตูลง

ตอนแรกว่าจะนอนเลย แต่เพราะสายตาเหลือบไปสบเข้ากับชั้นหนังสือที่อยู่ข้างเตียงนอน สมุดสีชมพูหวานแหววเหมือนชื่อของฉัน มันเตะตาจนต้องหยิบขึ้นมาเปิดอ่านตั้งแต่หน้าแรก มันคือไดอารี่ที่ฉันไม่เขียนอีกเลยนับตั้งแต่วันนั้น ความทรงจำมากมายหลั่งไหลเข้ามาในหัว

รักครั้งแรกของฉัน…มันเริ่มต้นเมื่อนานมาแล้ว แต่ยังคงแจ่มชัดทุกเหตุการณ์ ราวกับเกิดขึ้นเมื่อวานซืนนี้เอง

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel