ตอนที่3 หนูไม่มีทางไป
“ไม่ใช่ค่ะ หนูหมายถึงกลับมาบ้านของหนูที่อยู่จังหวัดนี้ แต่ตอนนี้หนูอยู่บ้านไม่ได้ มีปัญหาเกิดขึ้นเล็กน้อย หนูเลยต้องขออาศัยอยู่ห้องของป้าแววก่อน ป้าแววบอกว่าให้หนูอยู่ได้ เพราะแกย้ายไปอยู่บ้านพักคนงานกับลูกสาวในไร่แล้ว”
“ห้องของป้าแววที่เธอว่า มันก็คือบ้านของฉัน”
“หนูทราบค่ะ ระหว่างนี้หนูจะทำงานแลกกับค่าที่พัก...แล้วก็ค่าอาหารด้วยค่ะ”
“เธอจนตรอกขนาดนั้นเลยหรือ”
‘จนตรอก’ เขาพูดออกมาอย่างเรียบเรื่อย แต่ทำให้คนฟังคอแข็ง
จิณณายอมรับว่าตัวเองไม่มีทางไป หล่อนตกงาน ไม่มีรายได้ จึงอยู่ที่กรุงเทพฯ ไม่ได้ หล่อนดิ้นรนจนสุดทางแล้ว แต่ก็มองหาทางที่ดีขึ้นไม่ได้ ชีวิตเหมือนจะจมดิ่งลงเรื่อยๆ ยิ่งเดินหน้าก็ยิ่งมืดมน สุดท้ายจึงตัดสินใจกลับบ้าน...แต่ก็พบว่าบ้านที่เคยอยู่มาตั้งแต่เด็กนั้นไม่เหมือนเดิม หล่อนอยู่ที่นั่นไม่ได้อีกแล้ว
หากในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดี เมื่อจิณณาได้พบกับด็อกเตอร์พิจิกาซึ่งเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยในตัวจังหวัด หล่อนรู้จักกับอาจารย์คนนี้ตั้งแต่ตอนเรียนระดับมัธยม เคยได้รับการเกื้อกูลและชี้แนะแนวทางจนสอบเข้ามหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ ได้ กระทั่งสามารถเรียนจนจบ
พิจิกาบอกให้จิณณามาหาป้าแววซึ่งเป็นพี่เลี้ยงเก่าของเธอเอง เมื่อป้าแววรู้ปัญหาของหล่อนก็ให้การช่วยเหลืออย่างดี...แต่ก็นั่นละ ไม่ว่าใครจะมีน้ำใจให้อย่างไร แต่ถ้าเจ้าของสถานที่ไม่ยินดีให้พักอาศัย จิณณาก็ไม่อาจอยู่ได้นาน
“เมื่อวานเธอทำอะไรให้คนงานกิน”
“ข้าวผัดไส้กรอกกับน้ำซุป แล้วมีองุ่นด้วยค่ะ”
แล้วความเงียบก็ปกคลุมทั่วโถงกว้าง จิณณาขยับตัวอย่างอึดอัด เหลือบมองสีหน้าเรียบนิ่งของชายหนุ่ม แม้ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร แต่มันไม่ใช่เรื่องดีสำหรับหล่อนแน่นอน
“หนูรู้ค่ะว่าคนงานไม่ชอบ เขาบอกว่าอยากได้ข้าวและกับข้าว 2-3 อย่าง แบบที่ป้าแววเคยทำให้”
“เธอรู้...แต่ไม่ทำ”
“หนูหุงข้าวเสร็จก็ทำแกงเขียวหวาน แต่แกงมันไม่ออกมาเป็นเขียวหวาน” ถึงตอนนี้จิณณาได้แต่อุบอิบบอก ก้มหน้าหลบสายตาเขาอย่างอับอาย “หนูเลยเอาข้าวไปทำข้าวผัดแทน แล้วเอาองุ่นให้คนงานด้วย”
“เธอทำงานครัวไม่เป็น?”
“หนูทำได้ หนูทำกับข้าวกินเอง เพียงแต่ไม่เคยทำให้คนอื่นกิน และไม่เคยทำทีละมากๆ หนูเลยจัดการไม่ดี”
“ไม่ใช่ไม่ดี แต่แบบนี้เรียกว่าไม่เป็นเลยต่างหาก”
อาทิตย์พูดตรงๆ ตามแบบฉบับของเขา เพราะเห็นว่าไม่มีความจำเป็นต้องอ้อมค้อมให้หล่อนสำคัญตัวเองผิดอีก
“พรุ่งนี้ฉันจะให้คนหาแม่ครัวมาใหม่ ฉันปล่อยให้คนงานกินอยู่แบบนี้ไม่ได้”
“แล้วหนูล่ะคะ”
จิณณาค้านขึ้นมาทันที ต่อเมื่อเห็นสีหน้าส่อว่าสงสัยจากใบหน้าคมคายนั้น จึงหุบปากเสีย
เดิมทีหน้าที่นี้เป็นของป้าแวว แต่ฝ่ายนั้นขอหยุดพักด้วยเรี่ยวแรงที่ถดถอยเพราะความชรา หากยังคงพักอยู่ที่ไร่แห่งนี้ บางครั้งก็ยังเข้ามาช่วยงานในครัว ป้าแววยกหน้าที่ทำอาหารมื้อเที่ยงให้คนงานกับเธอ แต่กว่าสัปดาห์ที่ทำมา ไม่ต้องมีใครบอก จิณณาก็รู้ว่าหล่อนสอบตก
“หนูไม่อยากถูกปลดจากงานอีก”
หญิงสาวบอกเสียงเบา การถูกให้ออกจากงานเพราะองค์กรต้องการลดคนทำงาน โดยที่หล่อนมีเวลารู้ตัวล่วงหน้าแค่ชั่วโมงเดียวนั้น มันยังเป็นฝันร้ายไม่หาย และยังสั่นคลอนความเชื่อมั่นจนแทบไม่เหลือ จิณณายังไม่พร้อมรับมือกับเหตุการณ์เดิมๆ หากอีกคนดูท่าจะไม่รับรู้ด้วย
“นั่นเป็นปัญหาของเธอ ไม่ใช่ของฉัน หรือของคนงานที่นี่” อาทิตย์สวนทันที “พวกเขาทำงานไร่ ทำงานกลางแจ้ง ต้องใช้แรงงาน การกินอยู่จึงต้องสมบูรณ์พอ เธอจะจัดอาหารด้วยเมนูเด็กอนุบาลให้พวกเขาไม่ได้ ถ้าฉันไม่แก้ไข มันจะกระทบงานของฉัน”
“หนู...เข้าใจค่ะ”
เพียงเท่านั้น ร่างสูงใหญ่ของเจ้าของบ้านก็ลุกขึ้น จิณณาเงยหน้ามองตาม การต้องเอาตัวรอดในภาวะเช่นนี้ทำให้เธอรวบรวมความกล้า แล้วถามเขาไปอีกหน
“พรุ่งนี้หนูยังอยู่ที่นี่ได้ไหมคะ”
“อยู่ได้ แต่ไม่ควรนานเกินไป ฉันให้เธออยู่เพื่อรอตั้งหลัก แต่ไม่ใช่ปักหลักอยู่ในบ้านของฉัน”
“ขอบคุณค่ะ” เสียงแผ่วเครือของคนหน้านวลผ่อง ทำให้อาทิตย์หันกลับมามองทั้งตัวแล้วถอนหายใจ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ยังไม่คลายจากความหงุดหงิด
“เวลาคุยกับฉัน เธอจะเรียกชื่อแทนตัวเองหรืออะไรก็ช่างเถอะ แต่ไม่ต้องเรียกตัวเองว่าหนู”
ถึงคราวนี้ดวงตากลมโตของจิณณาทอดมองเขา หล่อนไม่ค้าน เพียงแต่สงสัยในเหตุผล หากอีกคนแค่ตวัดสายตาดุๆ มาให้ ก่อนเขาจะหมุนกายเดินจ้ำเท้าขึ้นบันไดสู่ชั้นบนเสีย
ทำไมแทนตัวว่าหนูไม่ได้ ก็เวลาคุยกับอาจารย์หรือคุยกับเจ้านาย เราก็แทนตัวเองว่าหนูอยู่ตลอด ไม่เห็นมีใครเคยห้าม...แปลกคนจริง