บทที่ 6
วิศรุตมองชายหนุ่มข้างๆ ที่ทำหน้าที่คนขับ เขามองไปยังป้ายไม้ที่เขียนไว้หน้าปากทางเข้าว่า ‘สวนด้วยรัก’ สลับกับมองหน้าพศุตม์ ที่กำลังมองป้ายนั้นเช่นกันด้วยสีหน้าหนักใจ พลางถอนใจเฮือก จนเขาต้องตบบ่าของชายหนุ่มเบาๆ
“ใจเย็นๆ น่าพีท กลัวอะไรกัน เรื่องมันก็นานมากแล้ว เวลาคงช่วยอะไรได้หลายอย่าง” คำปลอบโยนของเพื่อนสนิท กลับทำให้คนฟังส่ายหน้าช้าๆ
“หรืออาจจะทำให้อะไรต่อมิอะไรแย่ยิ่งกว่าเดิม ฉันคิดว่ารู้จักพี่ทิตย์ดีว่ะ ไม่อย่างนั้นคงไม่กลุ้มแบบนี้”
พศุตม์นึกถึงใบหน้าคมสัน ค่อนข้างดุของอาทิตย์ ซึ่งเป็นพี่เขยของเขา เขาจำได้ดีว่าตอนที่ครอบครัวของเขารับรู้ว่าเพียงเพ็ญทำเรื่องเลวร้ายอะไรไป และเขาเป็นคนอาสารับหน้าที่โทรศัพท์ไปหาอาทิตย์นั้น เขาได้รับคำตอบอะไรกลับมาบ้าง แม้ตอนนั้นจะล่วงเลยผ่านมานานเกือบสิบปีแล้ว และแม้จะยังอยู่ในวัยน้อยนิด แต่เขาก็ยังจำบทสนทนานั้นได้ดี
‘นังสารเลวนั่น ไม่มีทางได้รับการให้อภัยจากฉัน เราตายจากกันไปแล้ว ไม่รับหรอกคำขอโทษ หึ หึ’
เสียงหัวเราะประชดประชัดและร้าวรานนั่น พศุตม์ฟังแล้วให้สงสารอาทิตย์ยิ่งนัก แน่นอนว่าเขาต้องทั้งเจ็บปวด และโกรธแค้นอย่างแสนสาหัส จนต่อให้ขอโทษนับหมื่นครั้งก็ไม่อาจจะให้อภัยได้
‘พี่ทิตย์ ยังไงพวกเราก็ขอโทษ ไม่รู้จะทำอย่างไรดีจริง ๆ นะครับ ส่วนเรื่องทานตะวัน...”
‘ทานตะวันเป็นลูกฉัน และแม่ของมันไม่ต้องการ !’ อาทิตย์โต้ตอบด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
‘ยังไงทางพวกแกก็ไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น และหวังว่าคงไม่มาพบเจอกันอีก’
‘เอ่อ...แล้วเรื่องเงิน’
พศุตม์ในวัยเพียงสิบสี่ปีถึงกับสั่น เมื่อได้ยินน้ำเสียงไม่เหลือเยื่อใยและโกรธเกรี้ยวมากขนาดนั้น ความเป็นผู้ใหญ่เกินตัวของเขาในวัยนั้น ทำให้เขาอยากจะพูดปลอบโยนปลายสายและต่อรอง เพื่อจะให้ครอบครัวได้พบกับหลานบ้าง อย่างน้อยก็รับผิดชอบในสิ่งที่ผู้เป็นพี่สาวได้กระทำไป กระทำต่อทั้งหัวใจและฐานะทางการเงินของอาทิตย์
‘ฉันถือว่าทำทาน หมดเวรกันชาตินี้กับนังงูพิษนั่น ฉันหวังว่าพวกแกคงไม่โผล่หัวมาที่บ้านของฉัน ยังไงก็ตามไม่มีทางให้อภัยได้ ต่อให้พวกแกมากราบกรานฉันทั้งครอบครัว มันก็คงไม่มีทาง ที่ฉันจะอภัยให้กับนังเพียงเพ็ญ!’
ตั้งแต่นั้น ก็เกือบสิบปีแล้วกระมัง ที่พวกเขาไม่กล้าที่จะมีหน้ากลับมาเยี่ยมหลานสาว แม้อยากจะเห็นอยากพบแทบขาดใจปานใดก็ตาม และแม้แต่จะขอโทษอาทิตย์ พวกเขาก็ไม่กล้าแม้แต่น้อย สิ่งที่เพียงเพ็ญทำไว้ มันช่างหนักหนา และทำร้ายให้ผู้ชายคนหนึ่ง ถึงกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ซ่อนตัวเองไว้ในเงามืด และขังความอ่อนโยนไว้ หัวใจรัก อาทิตย์ฝังมันทิ้งนับตั้งแต่เพียงเพ็ญจากเขาไป เขาอยู่ด้วยความเจ็บแค้น ชิงชัง แม้แต่สวนดอกไม้ที่เขาสร้างมันด้วยมือ เพื่อเพียงเพ็ญ และกลายเป็นรายได้ของเขา เขาก็ยังอยากจะปรับเปลี่ยนมันเป็นอย่างอื่น แม้จะไม่ได้รวดเร็วนัก แต่อีกไม่กี่ปี สวนดอกไม้แห่งนี้ ก็จะไม่มีอีกต่อไปแล้ว อาทิตย์ตั้งใจไว้แบบนั้น ว่าเขาไม่อยากเห็นอะไรที่เกี่ยวกับภรรยาเก่าแม้แต่อย่างเดียว
“เราต้องลองกันสักตั้งนะพีท ไหนๆ เราก็มาถึงที่นี่แล้ว ขับรถมาจนถึงแพร่ได้ ทำไมเข้าไปอีกนิด จะทำไม่ได้วะ”
วิศรุตมองเพื่อนผ่านแว่นสายตาของเขา พลางพูดอย่างให้กำลังใจ ชายหนุ่มมองพศุตม์ที่ยังนั่งนิ่ง เม้มริมฝีปากแน่น อย่างพยายามจะรวบรวมความกล้า วิศรุตยักไหล่ พลางเปิดประตูฝั่งเขา ก่อนจะเดินอ้อมรถไปเคาะกระจกทางพศุตม์ ที่หันมามองเขาด้วยสายตางงงัน
“อะไรน่ะ รุต”
“ลงมา ฉันขับแทนก็แล้วกัน นายจะได้ทำใจไง ดีไหม? ขืนให้นายตัดสินใจเข้าบ้านพี่เขย คงต้องรอจนเย็นล่ะว่ะ”
“เฮ้อ...ดีเหมือนกัน”
พศุตม์ลงมาจากรถอย่างว่าง่าย และสลับตำแหน่งกับวิศรุตที่ส่ายหน้า แล้วก้าวขึ้นประจำหน้าที่คนขับแทน เหตุการณ์คราวนี้เหมือนจะหนักหนากับหัวใจของเพื่อนรักของเขายิ่งนัก ชายหนุ่มคิด พลางเหลือบมองพศุตม์ที่กำลังมองเหม่อไปยังภายนอก มือของเขาบีบเข้าหากันและเม้มริมฝีปากเหมือนจะคิดอะไรตลอดเวลา ปัญหาครอบครัว ใครไม่เจอก็คงไม่รู้ ว่ามันหนักหนาขนาดไหน ทุกสิ่งกำลังประเดประดังลงที่บ่าของชายหนุ่มอายุยี่สิบสามปีอย่างพศุตม์ วิศรุตกลับถอนใจบ้างตอนนี้เมื่อนึกถึงสิ่งที่คนข้างเขาต้องเผชิญ ถ้าเขาพอจะช่วยอะไรได้บ้างเขาก็อยากจะช่วย
ยิ่งใกล้บริเวณตัวบ้าน พศุตม์ก็ยิ่งหน้าซีดมากไปทุกที เขาอยากจะยืดระยะทางให้มันยาวนานอีกนิด เพื่อจะได้ทำใจได้ หากแต่ก็เป็นไปไม่ได้ ในที่สุด วิศรุตก็จอดรถที่บ้านไม้สักหลักขนาดย่อมหลังหนึ่ง มีคนงานกำลังจัดดอกไม้ใส่กล่องโฟม เพื่อบรรทุกไปยังตลาดตอนเช้า และตอนนี้ทุกคนก็พากันหันมามองแขกยามรุ่งอรุณที่ขับรถเข้ามาจอดในบริเวณหน้าบ้าน
“ลงไปกันเถอะ พีท ยังไงต้องลองกันสักที ไม่ลองก็ไม่รู้”
“ได้”
พศุตม์รับคำเสียงแผ่ว พลางเปิดประตูรถยนต์ลงไปพร้อม ๆ กับวิศรุต
ชายหนุ่มร่างสูงหน้าตาดีสองคน ทำให้คนงานสาวๆ ถึงกับพากันมองตาค้างไปเลยทีเดียว พศุตม์มองกวาดไปรอบๆ เขาจำบ้านนี้ได้คลับคล้ายคลับคลา เพราะเคยมาเยือนแค่ไม่กี่ครั้ง ชายหนุ่มกลืนน้ำลาย พลางยืนนิ่ง ขณะที่วิศรุตเดินเข้าไปถามถึงเจ้าของบ้านทันที กับคนที่เอ่ยทักทายเขา
“มาซื้อดอกไม้หรือคุณ มีคนจองไว้หมดแล้ว สงสัยต้องเป็นพรุ่งนี้”
“ไม่ใช่หรอกครับ พวกเรามาหาคุณอาทิตย์”
วิศรุตรับหน้าที่เป็นคนถามไถ่แทนเพื่อน ดูเหมือนว่าพศุตม์ จะตื่นเต้นมากทีเดียว และกำลังมองไปรอบบริเวณ เหมือนกำลังมองหาใครบางคน
“มาหานาย...”
นิ่มถึงกับละงานในมือ พลางมองชายหนุ่มผิวขาว แต่งกายสุภาพ หน้าตาจัดว่าดีมาก พลางย่นคิ้ว ท่าทางไม่เหมือนคนมาซื้อดอกไม้นัก และอาทิตย์เองก็ไม่ใคร่จะมีแขกที่ไหน ทำให้นิ่มอดนึกสงสัยไม่ได้ เธอมองเลยวิศรุตไปยังพศุตม์ ก่อนจะเอียงคอ เธอคุ้นหน้ากับชายหนุ่มอีกคนอย่างประหลาด เหมือนจะเคยเห็นเขาที่ไหน
“ครับ มาหาคุณอาทิตย์ ไม่ทราบว่าอยู่ไหมครับ?”
วิศรุตถามซ้ำ นิ่มส่ายหน้า ความเป็นคนเก่าคนแก่ ทำให้เธอรับหน้าที่ไต่ถามแขกแทนผู้เป็นนายเสียเลยว่ามีธุระอะไร เพราะเธอแน่ใจว่าเธอไม่เคยเห็นทั้งสองคนนี้มาก่อน และอาทิตย์เองก็ไม่น่าจะรู้จัก
“มีธุระอะไรเหรอคุณ นายไปธุระในเมือง เกือบบ่ายนั่นแหละถึงจะกลับ”
“เอ่อ...”
วิศรุตหันไปหาเพื่อน พศุตม์เองก็มองดูนิ่มอยู่เหมือนกัน เขามองเธออย่างสำรวจก่อนจะทักทายอย่างดีใจ
“ป้านิ่ม ป้านิ่มใช่ไหมครับ จำผมได้ไหม ? พีทน้องพี่เพียงไงครับ”
ประโยคที่พูดถึงชื่อเพียงเพ็ญทำเอา คนงานเก่าแก่ที่อยู่มานานพอๆ กับนิ่มถึงกับสะดุ้ง และเงยหน้าขึ้นมามองพศุตม์ พลางมองสบตากับนิ่มแล้วอุทานอย่างตกใจเป็นภาษาถิ่นว่า
“ตายล่ะ ธัมโม สังโฆ”
“บ่ตายหรอกน่า คำเป็ง เอ่อ...จำได้ค่ะ คุณพีท”
นิ่มถลึงตาใส่คนอุทาน พลางลุกขึ้นยืน แล้วเดินเข้าไปหาพศุตม์ทันที เธอมองชายหนุ่มแล้วยิ้มให้ ในรอยยิ้มนั้นมีรอยกังวลอยู่ไม่น้อย ตื้นลึกหนาบางระหว่างคู่ชีวิตเดิมของนายจ้าง นิ่มรู้ดี รู้ดีจนรู้สึกกลัว ที่พศุตม์กล้ามาที่นี่