18. ไม่มีทางเลือก
“ถ้าไม่อยากให้ผมดูถูก คุณกล้าลองไปใช้ชีวิตที่ยืนด้วยขาตัวเองไหมล่ะ”
เขากล่าวคำท้าทายออกไปหวังกระตุ้นให้เธอฮึดขึ้นมา
“ทำไมฉันจะไม่กล้า อยู่ที่เมืองไทยฉันก็ยืนด้วยตัวเองฉันทำงานหาเงินเลี้ยงตัวเองแล้วก็ให้แม่ฉันด้วย”
บุญญิสา ตอบเชิดหน้าใส่เขา
“งั้นก็ดี ผมจะได้คอยดูว่าอยู่ที่นี่ คุณจะทำได้เหมือนตอนที่อยู่เมืองไทยหรือเปล่า”
“จะให้ฉันทำอะไร”
“ก็พาคุณไปเที่ยวด้วยไงล่ะ แล้วก็ทำงานไปด้วย”
“ฉันไม่ไปไหนกับนายทั้งนั้น ฉันจะไปหาดุจเดือนที่โอ๊คแลนด์”
“คุณจะไปยังไง..พาสปอร์ตก็หาย เงินซื้อตั๋วเครื่องบินก็ไม่มี ไม่ใช่หรือ” เขารีบพูดตอกย้ำ
“ฉันจะโทรหายัยเดือนให้ส่งเงินมาให้”
“คุณคิดพึ่งคนอื่นแบบนี้เสมอหรือ..ทำไมคุณไม่คิดจะหาเงินด้วยตัวเองล่ะ”
“ฉันจะหาเงินได้ที่ไหนล่ะตาบ้า..ไม่เห็นรึไงว่ากระเป๋าเงินฉันหาย บัตรเครดิตฉันก็ไม่มี”
เธอตะคอกใส่หน้าเขาด้วยความโมโห ถ้าไม่ระงับอารมณ์ไว้เธอคงกระโดดข่วนปากอีตานี่ไปแล้ว
“ถ้าคุณไปกับผม คุณก็จะมีเงินใช้เองน่ะแหละ..พอคุณเที่ยวไปกับผมครบตามโปรแกรมที่ผมวางไว้หนึ่งเดือน ผมก็จะไปส่งคุณหาเพื่อนที่โอ๊คแลนด์”
เขาพูดคล้ายจะยื่นข้อเสนอ
“ทำไมฉันต้องไปกับนายด้วย อ๋อ..นี่นายคิดว่าฉันจะขายตัว ยอมให้นายซื้อตัวฉันไปเที่ยวเร่ร่อนนอนกับนายอย่างนั้นใช่ไหม..นายดูถูกผู้หญิงไทยอย่างฉันมากเกินไปแล้ว”
บุญญิสา เลือดขึ้นหน้า เธอนึกไปถึงตอนที่เขาเคยเอ่ยปากบอกว่าจะซื้อเธอขึ้นมาได้จึงยิ่งทำให้โมโห
“ผมไม่ได้คิดจะซื้อตัวคุณไปนอนด้วยหรอกนะ ผมเคยบอกแล้วไงว่าไม่ชอบผู้หญิงไทย แล้วอีกอย่าง..ผมไม่ชอบสาวแก่ที่อายุมากกว่า..”
เขาพูดไปแล้วก็เกรงว่าเธอจะสงสัยว่าเขาไปรู้อายุของเธอได้อย่างไร หากเธอทราบว่าเขาแอบอ่านชื่ออายุของเธอจากพาสปอร์ต เธอคงอาละวาดเอากับเขาอย่างแน่นอน แต่โชคดีที่เธอไม่ได้สงสัยอะไรเลย
“ไม่ชอบสาวแก่อย่างฉันก็อย่ามาปากพล่อย เที่ยวดูถูกผู้หญิงไทยแบบนี้”
เธอโมโหกับคำว่าสาวแก่จนแทบกรี๊ด ใคร ๆ ก็ชมว่าเธอหน้าอ่อนกว่าวัยทั้งนั้น แต่ทำไมอีตานี่ ถึงมองออกนะว่าเธออายุมากกว่าเขา
“ถ้าไม่อยากให้ดูถูก คุณก็ลองพิสูจน์ให้ผมดูสิว่าผู้หญิงไทยไม่ได้เป็นอย่างที่ผมคิด เผื่อว่าผมจะมองผู้หญิงไทยแตกต่างออกไปจากความคิดเดิม ๆ บ้าง”
เขากล่าวคำท้าทาย
“ทำไมฉันจะต้องพิสูจน์ให้นายดูด้วย นายไม่ได้มีความสำคัญขนาดนั้นสักหน่อย”
“ถ้าผมไม่สำคัญสำหรับคุณก็เชิญคุณตามสบาย ผมจะเดินทางต่อแล้ว”
พูดจบ ออกัส ก็เดินไปยกกระเป๋าเดินทางของเขาออกไปจากห้องทันที
บุญญิสา ใจหายวาบ เขาจะปล่อยให้เธอเผชิญชะตากรรมอยู่คนเดียวอย่างนั้นน่ะหรือ ทำไมเขาถึงได้ใจร้ายใจดำกับเธอเช่นนี้ เขาก็รู้ว่าพาสปอร์ตกับบัตรเครดิตเธอหาย รวมทั้งเบอร์โทรของเพื่อนก็หายไปด้วย เวลานี้เธอไม่มีที่พึ่งที่ไหนอีกแล้ว อย่างน้อยเขาก็ยังพูดภาษาไทยสื่อสารกับเธอรู้เรื่อง
พอนึกได้ เธอก็รีบเข็นกระเป๋าเดินทางตามเขาออกไปทันที เขาหันมามองบุญญิสา ก่อนจะหันไปซ่อนยิ้มในหน้า
“ตามผมมาทำไมหรือคุณ” เขาแกล้งถามขึ้น
“นายจะทิ้งฉันไว้ที่นี่งั้นหรือ” เธอถามเสียงห้วน
“ใครทิ้งคุณล่ะ..ผมได้ยินคุณเป็นคนพูดเองไม่ใช่หรือว่าเราแยกกันตรงนี้ต่างคนต่างไป”
เขาได้ทีรีบพูดตอกย้ำ
“นั่นมันเป็นคำพูดที่ฉันพูดก่อนที่ของสำคัญของฉันยังไม่หายไป” เธอรีบบอกเขาทันที
“แล้วไงล่ะ..” เขาเมินมองไปทางอื่น
“ให้ฉันไปด้วยนะ”
บุญญิสา บอกเสียงอ้อมแอ้มแบบไม่ค่อยจะเต็มเสียงนัก
“คุณว่าอะไรนะผมได้ยินไม่ถนัด”
ออกัส ได้ทีแกล้งเงี่ยหูฟัง เขามั่นใจอยู่แล้วว่าบุญญิสาจะต้องไปกับเขาแน่นอน เพราะเธอไม่มีที่พึ่งไหนอีกแล้วในเวลานี้ ถ้าเขาไม่เอาพาสปอร์ตเอกสารสำคัญของเธอมาซ่อนไว้เธอก็คงจะไม่ง้องอนตามเขามาแบบนี้
“อีตาบ้า..ฉันรู้นะว่านายได้ยินที่ฉันพูด” เธอหน้าง้ำต่อว่าเขา
“ผมไม่รู้ว่าคุณบ่นอะไรน่ะสิ..คุณอาจจะกำลังด่าผมอยู่ก็ได้”
เขาบอกก่อนจะเดินไปเปิดฝากระโปรงท้ายรถยกกระเป๋าเดินทางของเขาใส่ไป บุญญิสา ก็รีบเข็นกระเป๋าของตัวเองตามไปทันทีพร้อมกับยกกระเป๋าของเธอเข้าไปไว้ท้ายกระโปรงรถ
“เฮ้!..นี่คุณทำอะไร..เอากระเป๋ามาใส่รถผมทำไม”
เขาแกล้งโวยวาย แต่ก็จัดกระเป๋าของเธอให้เข้าที่
“บอกแล้วไงว่าจะไปด้วย” เธอทำเสียงตะคอกใส่เขา
“คุณเปลี่ยนใจไปกับผมแล้วหรือ”
เขาปิดกระโปรงท้ายรถหันมาส่งสายตาแบบยียวน บุญญิสา นึกอยากดีดเบ้าตาเขาสักสองสามทีนัก แววตาของเขามันเยาะเย้ยเธออย่างไรก็ไม่รู้
“ก็นายบอกว่าจะไปส่งฉันที่โอ๊คแลนด์ ฉันก็เลยไปด้วยน่ะสิ”
“ผมน่ะหรือจะไปส่งคุณที่โอ๊คแลนด์ ฟังผิดไปแล้วมั้งคุณ ผมจะไปเที่ยวต่างหาก”
เขาทำหน้าไม่รับรู้
“ตอนที่อยู่บนห้องพัก ฉันได้ยินนายบอกว่าถ้าฉันเดินทางไปเที่ยวกับนายตามโปรแกรมหนึ่งเดือน นายจะไปส่งฉันหาเพื่อนที่โอ๊คแลนด์” เธอรีบทบทวนความจำเขาทันที
“ตกลงคุณยอมไปเที่ยวกับผมแล้วใช่ไหม”
เขาเลิกคิ้วส่งสายตาแบบน่าดีดเบ้าตาอีกแล้ว
“ฉันมีทางเลือกอื่นหรือไงล่ะ..ทุกอย่างมันบีบบังคับให้ฉันต้องมีเวรมีกรรมร่วมกับนาย”
เธอกระแทกเสียงตอบ
“ผมไม่ได้บังคับคุณเลยนะ” เขาทำหน้าตาหยิ่งใส่
“ถึงนายไม่บังคับแต่โชคชะตาก็บังคับฉันอยู่ดีแหละ นายก็รู้ว่าฉันไม่มีใครที่จะพึ่งพาได้ในตอนนี้ จะโทรหาเพื่อนก็จำเบอร์ไม่ได้ จะติดต่อใครก็สมุดพกหาย พาสปอร์ตหาย ภาษาอังกฤษฉันก็ไม่ดี คุยกับใครก็ไม่รู้เรื่อง แถมเงินก็ไม่มีติดตัวอีกด้วย ถ้าไม่เรียกว่าโชคชะตาบีบบังคับแล้วจะเรียกอะไรล่ะ”
“เรียกว่าซวยไง”
“นายน่ะแหละเป็นตัวซวยสำหรับฉัน ถ้านายไม่เสนอหน้าไปรับฉันที่สนามบินนั่น ฉันก็คงไม่ต้องมาตกระกำลำบาก ไม่ต้องของหายอยู่ที่นี่หรอก ป่านนี้ฉันนั่งเครื่องบินไปที่โอ๊คแลนด์หาเพื่อนฉันแล้ว”
“นั่นสิ..คุณนี่มันโชคร้ายจริง ๆ”
เขาทำหน้าตาสงสารเธอ แต่เธอมองยังไงก็ขัดตาอยู่ดีเหมือนเขาเสแสร้งอย่างไรก็ไม่รู้
“ไปได้หรือยังล่ะ..” เธอหันมาเร่งเขา
“โอเค..เชิญขึ้นรถครับคุณบุญญิสา”
เขาผายมือทำหน้าล้อเลียนเธอ ทำให้มาดคุณชายเย็นชาดูจะหมดไปทันที
“เรียกฉันว่าโบว์เฉย ๆ ก็ได้”
“ครับ..คุณโบว์เฉย ๆ”
“โบว์..คำเดียว ไม่ใช่โบว์เฉย ๆ” เธอบอกน้ำเสียงหงุดหงิด
“ตกลงจะให้ผมเรียกโบว์เฉย ๆ หรือว่า โบว์คำเดียว” เขาทำหน้าไม่เข้าใจ
“โอ้ย! อีตาบ้า..จะเรียกอะไรก็เรียก ๆ ไปเถอะปวดหัว”
บุญญิสา หงุดหงิดเพราะท่าทางเขาเหมือนจะแกล้งเธอมากกว่าที่จะไม่เข้าใจความหมายจริง ๆ บุญญิสา รีบเปิดประตูรถเข้าไปนั่งเป็นคนแรก ออกัส ซ่อนยิ้มไว้ในหน้า แววตาที่ฉายออกมาแสดงถึงความพอใจ เขารีบเข้าประจำที่คนขับอย่างอารมณ์ดีก่อนจะขับพาสาวไทยเดินทางออกจากเทคาโป
“นายจะไปไหนต่อ” เธอถามด้วยความอยากรู้
“บอกไปคุณก็ไม่รู้หรอก..ทางที่ดีนั่งชมวิวไปเรื่อย ๆ ดีกว่า เอาไว้ถึงฟาร์มเมื่อไหร่คุณก็จะได้เห็นเอง”
“นี่ตกลงคุณจะพาฉันไปฟาร์มงั้นหรือ”
“ใช่..ผมจะให้คุณทำงานที่นั่นด้วย”
“อะไรนะ!..ให้ฉันทำงานในฟาร์ม!..ฟาร์มเลี้ยงหมูหรือไก่ล่ะ..เอ๊ะ..แต่แถวนี้ที่ผ่านมาฉันเห็นมีแต่แกะเต็มไปหมด แล้วก็มีวัวด้วย”
บุญญิสา ชักหวั่นใจว่าจะต้องเป็นคนงานเลี้ยงสัตว์เหล่านั้น
“ก็ใช่สิคุณ..ที่นี่ประชากรแกะมีมากกว่าคนในประเทศตั้งหลายเท่าเชียวนะ” ออกัสรีบพูดเสริม
“อ๊าย!..จะให้ฉันไปเป็นคนเลี้ยงแกะฉันไม่ทำนะ”
เธอโวยวายทำหน้าเหยเก แค่ได้กลิ่นสาปของแกะฝูงใหญ่ที่นั่งรถผ่านเธอก็ยังต้องปิดจมูกอยู่เลย ขืนไปคลุกคลีใกล้ชิดตลอดเวลาคงได้เป็นลมอยู่กลางทุ่งหญ้าให้แกะเหยียบตายพอดี
“ที่ผมจะพาคุณไปไม่ใช่ฟาร์มแกะหรอกน่า..อย่ากลัวไปหน่อยเลย” เขาพูดปลอบใจ
“ถ้าไม่ใช่ฟาร์มแกะแล้วมันฟาร์มอะไรล่ะ”
“ผมไม่บอกตอนนี้หรอก..รอให้คุณลุ้นเอาเองจะได้ตื่นเต้นไง” เขาพูดยั่วให้เธอโมโห
“คนบ้า!..นึกหรือว่าฉันจะตื่นเต้น..ไม่บอกฉันก็ไม่สน”
บุญญิสา สะบัดหน้าหันไปมองวิวข้างทางแทน จากทะเลสาปที่ผ่านมาก็เข้าสู่บรรยากาศป่าเขาลำเนาไพร แต่ก็ยังอุตส่าห์เห็นมีบ้านเรือนปลูกให้เห็นอยู่เป็นระยะ จนเข้าสู่เขตที่เป็นทุ่งหญ้าสีเขียวขจีสดใส มองไกลจนสุดลูกหูลูกตาเห็นฝูงแกะอยู่ไกล ๆ เป็นภาพวิถีชิวิตที่น่ามองอย่างมากสำหรับเธอ ทำให้ไม่อยากจะพูดคุยกับคนขับรถอีกต่อไป สู้มองวิวให้สบายใจ ยิ้มให้แกะยังจะดีกว่าจะต้องเสียอารมณ์กับอีตาออกัส
