17. ของสำคัญหายไป
บุญญิสา หัวเสียหลังจากที่ออกมาจากห้องน้ำแล้วหากระเป๋าเล็กที่ข้างในมีเอกสารสำคัญอยู่ไม่พบ รวมทั้งออกัสก็ไม่ได้อยู่ที่ห้องด้วยเช่นกัน เธอเดินดูทั่วห้องก็หาไม่เจอ จึงตัดสินใจออกจากห้องไปหาเจ้าหน้าที่ของโรงแรม
“มีอะไรให้ช่วยเหลือหรือเปล่าคะ”
เจ้าหน้าที่ยิ้มต้อนรับ แต่บุญญิสาก็มีท่าทางอึกอักเริ่มมีปัญหาเดิม ๆ นั่นคือเรียบเรียงประโยคคำถามไม่ออก เธอขอเวลาคิดเรียบเรียงคำถามอยู่หลายนาที ก่อนจะพูดออกไปว่าเธอประสบปัญหากระเป๋าเอกสารของเธอหายไป คิดว่าถูกขโมย
“ขอโทษนะคะ..คือดิฉันไม่เข้าใจที่คุณพูดค่ะ..กระเป๋าเล็กมีปัญหาอะไรคะ คุณจะให้ฉันจูบกระเป๋าใครนะคะ”
บุญญิสา นึกโมโหทั้งตัวเอง โมโหทั้งพนักงานโรงแรม ที่ไม่เข้าใจทั้งคำศัพท์ทั้งสำเนียงการออกเสียงของเธอเอาเสียเลย และช่วงที่ทั้งสองกำลังพยายามสื่อสารกันอยู่นั้น ก็มีคู่รักที่พักห้องตรงข้ามบุญญิสา เดินผ่านมาพอดี ฝ่ายผู้หญิงเป็นคนเห็นบุญญิสา ยืนอธิบายบางอย่างอยู่จึงรีบตรงรี่เข้ามาหา พร้อมกับทักทายขึ้นมาว่า
“คุณนี่เอง..สามีคุณทำไมถึงปล่อยให้มาคนเดียวแบบนี้คะ”
“เจน..คุณรู้จักผู้หญิงเอเชียคนนี้หรือคะ..ดีเลยงั้นช่วยสื่อสารให้ฉันด้วยค่ะ”
เจ้าหน้าที่โรงแรมหันมาพูดกับหญิงสาวชื่อเจน ซึ่งเป็นคนที่บุญญิสา ก็คุ้นหน้าคุ้นตาดี เพราะเมื่อคืนนี้เธอไปขอความช่วยเหลือจากผู้หญิงคนนี้ แต่กลับไม่ได้รับความช่วยเหลือเลย
“ฉันก็คงจะสื่อสารกับเธอไม่รู้เรื่องเหมือนกันค่ะ เมื่อคืนนี้ เธอหนีออกจากห้องพักมาหาฉันกับครีส ให้ช่วยเหลือ แต่พอสามีของเธอออกมาตาม ถึงได้รู้ว่าเธอมีปัญหาทางระบบประสาทต้องทานยาเป็นประจำ”
เจน บอกกับเจ้าหน้าที่โรงแรมพร้อมกับหันไปมองบุญญิสา ด้วยแววตาเวทนาสงสาร
“ใช่ครับ..เธอพักอยู่ห้องตรงข้ามพวกเรา เมื่อคืนเธอก็ออกมาจากห้อง มาพูดอะไรแปลก ๆ ให้พวกเรางง สามีเธอบอกว่าเธอมีอาการทางประสาทไม่ได้กินยา ผมคิดว่าเวลานี้เธออาจจะเริ่มมีอาการแล้วก็ได้นะครับ”
ครีส คู่รักของเจน อธิบายเพิ่มเติม
“มิน่าล่ะคะ..เธอพูดอะไรแปลก ๆ บอกให้ฉันจูบกระเป๋าเล็ก แล้วเธอจะกลายเป็นขโมย ฉันก็ง๊ง งง”
พนักงานหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะหันมาส่งสายตาเวทนาสงสารบุญญิสา อย่างเหลือเกิน จนทำให้คนที่ถูกมองรู้สึกแปลก ๆ
“แล้วสามีเธอไปไหนแล้วล่ะ” ครีส ถามพนักงานโรงแรม
“ไม่ทราบค่ะ คงจะอยู่แถว ๆ นี้มังคะ ฉันเห็นเขาออกจากห้องอาหารไป”
พนักงานตอบ บุญญิสา เกาหัวแกร็ก ๆ ด้วยความคับแค้นใจที่ฟังการสนทนาของทั้งสามไม่เข้าใจ เห็นพวกเขาหันมามองเธอบ่อย ๆ เธอคิดว่าคงเสียเวลาเปล่าที่จะอยู่ตรงนี้ สู้เธอเดินหาอีตาออกัส แล้วสอบถามจะดีกว่า หวังว่าเขาคงยังไม่ออกไปจากที่นี่หรอกนะ
เธอรีบเดินจ้ำอ้าวออกไปทันทีอย่างไม่สนใจที่จะสอบถามพนักงานให้ปวดหัวไปมากกว่านี้ แล้วก็ตรงไปที่จอดรถ เมื่อเห็นว่ารถของออกัส ยังจอดอยู่ที่เดิมจึงเดินไปหาเขาตามจุดต่าง ๆ
“อย่าให้เจอก็แล้วกันไอ้บ้าออกัส ฉันจะด่าให้หูเป็นน้ำหนวกเลยคอยดู..โทษฐานที่ทำให้ฉันเป็นตัวประหลาดของผู้คนที่โรงแรมนี้ แล้วก็ขโมยกระเป๋าฉันไปด้วย”
บุญญิสา เดินไปบ่นไป สายตาก็สอดส่ายหาร่างสูงของออกัสไปด้วย เธอเดินจนขาลากก็หาเขาไม่พบ จึงนั่งตาขวางหอบแฮก ๆ อยู่ที่ริมทางเดิน ก่อนจะเดินไปที่ห้องพักอีกครั้งหนึ่ง เธอเห็นกระเป๋าเดินทางของออกัส ยังวางอยู่ในห้อง จึงถือวิสาสะเปิดกระเป๋าของเขาค้นหาสิ่งที่เธอสงสัยทันที
“ต้องแอบขโมยกระเป๋าฉัน มาซ่อนเอาไว้ในนี่แน่ ๆ”
เธอดึงข้าวของเขาออกมาจากกระเป๋าทีละชิ้น มีเสียงผลักประตู้ห้องเข้ามา เธอโมโหจนลืมล็อคมัน
“นั่นคุณทำอะไรกับกระเป๋าผม”
ออกัส รีบร้องทักเสียงดังด้วยภาษาอังกฤษ แต่พอนึกได้ว่าขืนเขาพูดภาษาของเขา เจ้าหล่อนก็คงทำหน้างง ๆ ไม่เข้าใจจึงรีบส่งเสียงถามใหม่ด้วยภาษาไทยสำเนียงฝรั่ง
“คุณทำอะไรกับกระเป๋าผม”
“ก็จะค้นหากระเป๋าเล็กของฉันน่ะสิ”
บุญญิสา หันไปตวาดเขาน้ำเสียงหงุดหงิด
“กระเป๋าเล็กอะไรของคุณ แล้วมันจะมาอยู่ที่กระเป๋าเดินทางของผมทำไม”
เขาเดินมานั่งที่เตียง มองดูเธอดึงเสื้อผ้าของเขาออกมาจากกระเป๋าด้วยสีหน้าที่พยายามไม่ให้มีพิรุธ
“ก็นายเอาของฉันไปน่ะสิ” เธอยัดข้อหาให้เขาเสียเลย
“อย่ามากล่าวหากันแบบไม่มีหลักฐานนะคุณ ผมจะเอาของคุณไปทำไม ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากระเป๋าที่คุณพูดถึงนั่นมันหน้าตาเป็นยังไง”
บุญญิสา ชะงักกับการดึงข้าวของเสื้อผ้า หันมาจ้องหน้าเขาเขม็ง
“นี่คุณพูดจริงเหรอ ว่าไม่ได้เอาของฉันไป”
“ผมจะโกหกคุณเพื่ออะไร”
“แล้วมันหายไปได้ยังไงกัน”
“ผมไม่รู้ แล้วมันเป็นกระเป๋าอะไรล่ะ” เขาแกล้งตีหน้าซื่อถามไป
“กระเป๋าใบเล็กที่คาดไว้กับเอวได้ ข้างในนั้นมีทั้งพาสปอร์ต บัตรเครดิตและที่สำคัญมีเบอร์โทรของเพื่อนฉันด้วย”
“คุณวางไว้ตรงไหนล่ะ หาดีหรือยัง” เขาแกล้งถามต่อ
“หาจนจะบ้าตายอยู่แล้วแต่มันไม่เจอ ฉันวางเอาไว้ตรงเนี้ย..” เธอชี้ไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง
“ตอนที่ผมออกจากห้องไปกินข้าวที่ห้องอาหาร ผมรู้สึกจะเห็นอยู่นะ..หรือว่ามีคนเข้ามาขโมยของในนี้ เพราะตอนที่ผมออกจากห้องไปก็ดันลืมปิดประตูห้องด้วยสิ”
“จริงด้วย..ช่วงที่ฉันเปิดประตูห้อง เห็นประตูมันแง้ม ๆ อยู่ โอ้ย..ตายแล้วฉันจะทำยังไงดีล่ะเนี่ย..ในนั้นมีแต่ของสำคัญ ทำไมฉันซวยอย่างนี้ มือถือก็เพิ่งหาย นี่ก็มากระเป๋าเงิน กับ พาสปอร์ตหายไปอีก นี่นาย..ฉันขอยืมมือถือนายโทรหาเพื่อนหน่อยได้ไหม”
บุญญิสา บอกอย่างมีหวัง ออกัส ทำท่ากุลีกุจอหามือถือของเขาทันที
“เฮ้ย!..มือถือของผมหาย”
เขาแกล้งร้องเสียงดังตีหน้าตกใจ
“มือถือนายหายด้วยเหรอ..นายเอาไว้ไหน”
“ตอนที่ผมออกจากห้องไป ไม่ได้เอาไปด้วยน่ะสิ..ผมวางเอาไว้ตรงกระเป๋าเดินทาง คุณดูดี ๆ สิ เผื่อว่าคุณเอาของที่ค้นออกจากกระเป๋าทับมันเอาไว้”
เขาบอก ทำให้บุญญิสา ช่วยหาอย่างเต็มที่ เธอเก็บเสื้อผ้าของเขาพับเข้ากระเป๋า พร้อมกับมองหามือถือของเขาไปด้วย
“ไม่มี” เธอบอกเสียงสิ้นหวัง
“งั้นผมก็เสียใจด้วยที่ทำให้คุณโทรหาเพื่อนไม่ได้..ผมเองก็เซ็งเหมือนกันที่มือถือหาย แต่ช่างมันเถอะ เครื่องนั้นผมกำลังจะโล๊ะทิ้งอยู่พอดี ผมมีอีกเครื่องหนึ่งสำรองอยู่แล้วล่ะ”
“ทำไมฉันถึงได้ซวยแบบนี้นะ..ความซวยของฉันมีมาตั้งแต่อยู่สนามบินแล้ว” บุญญิสา หน้ามุ่ย
“แต่ผมว่าคุณซวยตั้งแต่ตัดสินใจรับปากจะแต่งงานกับพอลแล้วเดินทางมานิวซีแลนด์แล้วล่ะ”
“นาย!..” เธอเรียกเขาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“ผมอยากจะเตือนคุณไว้ เมืองนอกที่คุณคิดว่าจะให้ชีวิตที่ดีแก่คุณ สุดท้ายมันก็ไม่ได้สวยหรูอย่างที่คุณคิดหรอก คุณกล้าเสี่ยงเดินทางมาขุดทองที่เมืองนอก ยอมเอาตัวเข้าแลกแบบนี้มันไม่มีศักดิ์ศรีเอาเสียเลย..ทำไมผู้หญิงไทยอย่างคุณถึงคิดว่าผู้ชายฝรั่งจะต้องคอยเปย์ คอยทุ่มเทเงินทองให้ ทำไมคุณไม่คิดจะอยู่ด้วยตัวเอง”
“นายดูถูกฉันมากไปแล้วนะ” เธอหันมาตวาดใส่เขา
