บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 2 ฉันไม่ใช่เด็กกะโปโลแล้วนะ (1)

ตอนที่ 2

ฉันไม่ใช่เด็กกะโปโลแล้วนะ

“ได้ยินแว่วๆ ว่ามีใครพูดถึงกำลังนินทาอะไรผมหรือเปล่าครับ”

เสียงถามนุ่มทุ้มที่ดังแทรกขึ้นมาทำให้ทุกคนที่นั่งคุยกันหันไปร่างสูงของคนมาใหม่เป็นตาเดียว และในจังหวะนั้นเองทำให้สายตาของคนมาใหม่อย่างพศวัตสบเข้ากับสายตาของสาวสวยคนหนึ่ง ที่เขาแสนจะคลับคล้ายคลับคลาว่าเธอคนนี้เหมือนใครกันนะ คิ้วเข้มทั้งสองขมวดมุ่นอย่างครุ่นคิดหากแต่เท้าก็ยังคงก้าวเดินเข้าไปใกล้เรื่อยๆ ขณะที่ตาก็ยังจับจ้องดวงหน้าสวยไม่วาง จนกระทั่งหญิงสาวเปิดยิ้มให้เพียงเท่านั้นพศวัตถึงกับชะงักยืนนิ่งขึง

“ยัยเปรี้ยว…”

ชายหนุ่มครางเสียงแผ่วอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาว่าสาวสวยตรงหน้าคือวรรณวลี แต่ภาพเด็กกะโปโลในชุดมัธยมปลายเมื่อหลายปีก่อนซ้อนทับกับภาพสาวสวยในชุดทันสมัยในวันนี้ บวกกับคำทักทายที่ตอบกลับมามันทำให้เขาปฏิเสธไม่ได้เลย

“สวัสดีค่ะพี่พต”

“สวัสดีครับ”

ตอบออกไปราวกับคนไม่รู้สึกตัว เพราะสายตานั้นถูกตรึงเอาไว้ด้วยวงหน้าสวยที่มีดวงตากลมโตทอประกายสดใส จมูกเล็กโด่งรั้นที่คุ้นตา แก้มนวลที่แดงระเรื่อ และริมฝีปากแดงอิ่มน่าสัมผัสจนยากจะห้ามใจไม่ให้เผลอไผล แม้เมื่อหลายปีก่อนหญิงสาวมีเค้าว่าจะสวย แต่พศวัตก็ไม่คิดว่าจะเปลี่ยนแปลงและสวยได้มากมายขนาดนี้ ผู้หญิงนี่แม่มดชัดๆ ชายหนุ่มคิดก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อเสียงทักจากคนเป็นพ่อดังขึ้น

“อ้าวๆ ยืนจ้องอยู่นั่นแหละจ้องมากระวังน้องเขาหายละลายไปกับอากาศนะ…แล้วนี่เพิ่งหาทางกลับบ้านเจอเหรอเราน่ะ สงสัยธุระจะยุ่งมากถึงได้ใช้เวลาจัดการนานหลายชั่วโมงเชียว”

ได้ทีนายอนิวัตติ์ก็ทั้งเอ่ยล้อเลียนและเหน็บแนมชุดใหญ่ ก็มันน่าไหมล่ะ รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่ายังไงก็ทัน แต่สุดท้ายเป็นไงมาอีหรอบเดิมจนได้

“โธ่พ่อ! มันปลีกตัวไม่ได้จริงๆ ผมต้องขอโทษคุณน้าทั้งสองคนด้วยนะครับที่อุตส่าห์รับปากแต่สุดท้ายก็ไปไม่ได้ แล้วก็เอ่อ…พี่ขอโทษเราด้วยแล้วกันนะเปรี้ยวที่ไม่ได้ไปรับ โตขึ้นมากจำแทบไม่ได้”

ตอนท้ายชายหนุ่มหันมาพูดกับวรรณวลีเสียงแผ่วอย่างรู้สึกผิดระคนเขินอาย ด้านวรรณวลีเองที่แม้จะทั้งโกรธและน้อยใจพี่ชายข้างบ้านแต่ก็พยายามเก็บอาการ จึงทำเพียงพยักพร้อมกับส่งยิ้มนิดๆ ไปให้

“ไม่เป็นไรค่ะ เอ่อ…คุณพ่อคุณแม่คะเปรี้ยวรู้สึกเหนียวตัวจังเลยขอตัวไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะคะ เสร็จแล้วจะได้มาช่วยเป็นลูกมือคุณแม่ทำกับข้าวเย็นนี้”

“ไม่นอนพักสักนิดล่ะลูก นั่งเครื่องมาตั้งหลายชั่วโมงไม่เหนื่อยหรือไง”

นายอายุธเอ่ยถามพลางลูบผมที่แต่ก่อนยาวตรงดำขลับ หากตอนนี้กลับย้อมสีทองและดัดเล็กน้อยตามแฟชั่นของลูกสาวอย่างเป็นห่วง

“พอกลับถึงบ้านความเหนื่อยความง่วงก็หายเป็นปลิดทิ้งเลยล่ะค่ะ เปรี้ยวขอตัวเลยแล้วกันนะคะ”

หญิงสาวบอกพลางส่งยิ้มให้กับทุกคนไม่ได้เจาะจงใครเป็นพิเศษ หากแต่สายตานั้นจะจ้องใบหน้าคมเข้มที่ในสายตาของวรรณวลีดูเหมือนชายหนุ่มจะคงความหล่อเหลาเอาไว้ไม่เปลี่ยนแปลงนานว่าใครเพื่อนเล็กน้อย ก่อนจะลุกแล้วเดินขึ้นห้องไป โดยมีสายทั้งสี่คู่มองตามแผ่นหลังบอบบางไปด้วยความรู้สึกที่ต่างกันไป

“ไงเห็นน้องแล้วเป็นไง ไม่ใช่เด็กกะโปโลอย่างที่ปรามาสเอาไว้แล้วใช่ไหมล่ะ”

นายอนิวัตติ์ถามพลางตบไหล่กว้างของลูกชายที่ยังไม่ละสายตาจากร่างบอบบางของวรรณวลีแรงๆ นั่นทำให้พศวัตถึงกับสะดุ้งหันมายิ้มแหยๆ ก่อนจะรีบหาคำพูดมากลบเกลื่อนอย่างกลัวโดนจับได้

“ตัวโตแต่ก็ใช่ว่านิสัยจะโตด้วยนี่ครับ”

“ไอ้พต!”

นายอนิวัตติ์เรียกลูกชายเสียงดุ ผิดกับพ่อแม่ของหญิงสาวที่ต่างพากันอมยิ้มและหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างไม่ถือสา แต่ถึงอย่างนั้นพศวัตก็รู้ตัวว่าตัวเองไม่ควรพูด

“เอ่อ…ผมขอโทษนะครับ ที่ผมเผลอปากไปหน่อย ผมแค่คิด แต่ไม่ได้ว่าเปรี้ยวจะเป็นอย่างที่ผมพูดนะครับ”

ชายหนุ่มยกมือไหว้อย่างขอลุแก่โทษ แม้จะเห็นได้ว่าสีหน้าของผู้สูงวัยทั้งสองนั้นยังคงยิ้มแย้มสดใส ไม่ได้มีร่องรอยของความขัดข้องใจกับคำพูดของเขาก็ตามที

“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ มันอาจจะเป็นอย่างที่พตว่ามาก็ได้ ยังไงเวลาทำงานด้วยกันถ้าน้องทำตัวงอแงเป็นเด็กไม่รู้จักโต พตก็ช่วยอบรมสั่งสอนน้องให้น้าด้วยแล้วกันนะจ๊ะ”

ได้ทีนางอมลวรรณก็พูดฝากฝังลูกสาวเสียเลย ซึ่งก็ทำเอาคนมาทีหลังและยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยอย่างพศวัตถึงทำหน้างงๆ มองคนนั้นทีคนนี้ทีก่อนจะมาจบลงที่คนเป็นพ่อ

“มะ…หมายความว่าไงครับ”

“ก็หมายความว่าพ่อจะให้หนูเปรี้ยวไปทำงานกับแกไงล่ะ”

คนเป็นพ่อบอกยิ้มๆ ซึ่งก็แน่นอนว่าสีหน้าต่างจากคนฟังมากมาย

“ห๊า! ทำงานกับผม”

พศวัตอุทานเสียงหลง เบิกตากว้างมองผู้สูงวัยทั้งสามอย่างตกใจ และเมื่อตั้งสติได้ก็รีบหันไปยิ้มแห้งๆ ก้มศีรษะเป็นการขอโทษให้กับสองสามีภรรยาทันที อย่างรู้ว่าตัวเองเสียมารยาทอีกแล้ว ที่ไปทำท่าทีราวกับรังเกียจรังงอนที่ลูกสาวของพวกท่านจะไปทำงานกับเขา ทั้งที่ใจจริงแล้วไม่ได้รังเกียจอะไรเลย หากแต่มันกะทันหันจนเขาตั้งตัวไม่ติดต่างหาก

“ติดปัญหาอะไรหรือเปล่าพต ถ้าไม่สะดวกน้าก็จะไม่รบกวนล่ะนะ เดี๋ยวจะไปฝากให้ยัยเปรี้ยวทำงานที่บริษัทของเพื่อนคนอื่นดูก็ได้ ไม่ว่ากันอยู่แล้ว”

นายอายุธบอกด้วยรอยยิ้ม ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าบ่งบอกได้ว่าไม่ได้มีความขัดข้องหมองใจหากอีกฝ่ายจะไม่รับบุตรสาวไปทำงานด้วย ทำให้พศวัตรีบแก้ไขความเข้าใจผิดเป็นพัลวัน

“มะ…ไม่มีปัญหาครับ ผมแค่ตกใจนิดหน่อยเท่านั้นเองครับ…ผมกลัวแต่ว่าเปรี้ยวต่างหากที่จะไม่อยากทำงานกับผม”

“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงเพราะก่อนที่พตจะมาเปรี้ยวเขารับปากแล้ว และตอนนี้พตเองก็ไม่มีปัญหาเช่นกัน เอาเป็นว่าตกลงตามนี้แล้วกันนะ ยังไงลุงก็ขอฝากสอนงานยัยเปรี้ยวสักเดือนสองเดือนจะให้ทำตำแหน่งไหนอะไรยังไงน้าก็ไม่ขัดข้องแล้วแต่พตจะพิจารณาเห็นชอบ น้าให้สิทธิ์เต็มที่ไม่ต้องเกรงใจว่าคนกันเอง”

“ได้ครับ”

ชายหนุ่มรับคำเสียงหนักแน่น

“น้าขอบใจนะ ถ้าได้คนเก่งๆ อย่างพตช่วยดูแลและสอนงาน น้าก็โล่งใจได้มากโขเลยล่ะ อย่างน้อยก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล”

“ผมจะพยายามสอนเต็มที่แล้วกันนะครับ”

“ดีจ้ะ ยังไงเย็นนี้ทั้งสองคนก็อยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันที่นี่เลยแล้วกันนะ นานแล้วที่เราไม่ได้ทานข้าวด้วยกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาอย่างนี้”

“ก็ดีเหมือนกันนะครับ ทั้งที่บ้านเราก็ใกล้กันแค่นี้เอง แต่ผมกลับไม่ได้ทานอาหารฝีมือคุณน้านามานแล้ว เพราะมัวแต่ยุ่งๆ กับงานจนหาเวลาไม่ได้ คุณน้าเชิญทีไรเป็นต้องได้ปฏิเสธทุกที”

“งั้นต่อไปก็รีบเคลียร์งานและแวะมาทานบ่อยๆ นะจ๊ะ ว่าแต่วันนี้ต้องการเพิ่มเมนูไหนเป็นพิเศษหรือเปล่าจ๊ะ”

สองพ่อลูกมองหน้าคล้ายกับปรึกษากันทางสายตาเล็กน้อย ก่อนต่างคนต่างยิ้มและหันมาส่ายศีรษะ

“ไม่มีหรอกครับ เพราะฝีมือการทำอาหารของคุณน้าวรรณขั้นเทพทำอะไรก็อร่อยเหาะทุกอย่างอยู่แล้ว”

“แหม…ปากหวานจริงๆ นะเรา เอาเป็นว่าตอนนี้หนุ่มๆ นั่งคุยกันไปก่อนนะ แม่ครัวฝีมือขั้นเทพขอตัวไปแสดงฝีมือก่อน และถ้ายัยเปรี้ยวลงมาบอกให้ตามเข้าครัวไปเลยนะคะ”

เอ่ยจบนางอมลวรรณก็ลุกขึ้นเดินเข้าครัวอย่างอารมณ์ดีที่สุดในรอบหลายปี ปล่อยให้หนุ่มต่างวัยได้นั่งพุดคุยกันตามประสาผู้ชาย

และตอนนี้นี่เองที่สามหนุ่มต่างวัยได้อยู่กันตามลำพัง การคุยกันประสาผู้ชายก็เริ่มต้นขึ้น โดยนายอนิวัตติ์ก็ยกเอาเรื่องธุระของพศวัต ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ชายหนุ่มไปรับวรรณวลีที่สนามบินพร้อมทุกคนไม่ทันขึ้นมาล้อเล่นล้อเลียนกันอย่างสนุกปาก โดยไม่รู้ว่าเจ้าของร่างบางในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นเดินลงบันไดมาทันพอจะได้ยินบางช่วงบางตอนของการสนทนาเข้าทำให้หญิงสาวได้ทราบถึงเหตุผลที่พศวัตไม่ไปรับเธอที่สนามบิน ว่ามันเกิดจากผู้หญิงที่ชื่อฟ้านี่เอง ด้วยความฉุนและน้อยใจ จากที่ตอนแรกคิดว่าจะเดินเข้าไปหาคนเป็นพ่อก่อน ก็เกิดเปลี่ยนใจเดินเลี้ยวเข้าห้องครัวเลยทันที

หลังจากบรรยากาศการรับประทานอาหารมื้อเย็นที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและความสุขของทุกคน ที่ได้มาอยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้งเหมือนเมื่อหลายปีก่อนผ่านพ้นไป สองพ่อลูกอย่างพศวัตและนายอนิวัตติ์ก็นั่งพูดคุยกับเจ้าบ้านอยู่พักใหญ่ เมื่อเห็นว่าดึกแล้วจึงขอตัวกลับ โดยมีวรรณวลีเป็นคนเดินไปส่ง

“เรื่องงานจะเริ่มวันไหนก็บอกพี่เขาได้นะ”

นายอนิวัตติ์หยุดยืนตรงซุ้มประตูที่เชื่อมต่อระหว่างอาณาเขตของบ้านการันยภาสกับบ้านกิตติวราหันมาพูดกับวรรณวลีด้วยรอยยิ้มอบอุ่น ทำให้ดวงตากลมโตเหลือบไปมองร่างสูงของพศวัตเล็กน้อย ก่อนจะหันมายิ้มพร้อมกับตอบผู้สูงวัยสั้นๆ ว่า

“ค่ะ”

“เอ่อ…พ่อเข้าบ้านไปก่อนแล้วกันนะครับ ผมขอคุยกับเปรี้ยวต่ออีกนิดหน่อยแล้วผมจะตามไป”

พศวัตที่ยืนเงียบไม่มีคนสนใจ แทบจะกลายเป็นอากาศธาตุไปแล้วเอ่ยขึ้น นายอธิวัตติ์เลิกคิ้วมองลูกชายของตัวเองและวรรณวลีเล็กน้อย ก่อนจะกดยิ้มพร้อมกับพยักหน้า

“งั้นลุงขอตัวเข้าบ้านก่อนนะ”

“ราตรีสวัสดิ์นะคะคุณลุง”

ผู้สูงวัยพยักหน้ารับพร้อมกับยิ้มน้อยๆ ก่อนจะหมุนตัวเดินผ่านซุ้มประตูเข้าบ้านของตัวเอง ทิ้งให้หนุ่มสาวได้คุยกันตามลำพัง

“คุณบอกว่าจะคุยกับฉันนี่เรื่องงานหรือเปล่าคะ คุณคงไม่อยากให้ฉันไปทำงานด้วยอย่างที่รับปากคุณลุงและพ่อกับแม่ไว้ใช่ไหมคะ”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel