บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 2 ฉันไม่ใช่เด็กกะโปโลแล้วนะ (2)

ทันทีที่ร่างสูงของนายอนิวัตติ์เดินลับสายตาไป วรรณวลีก็เปิดฉากชิงพูดขึ้นก่อน และการแทนตัวที่แสนจะห่างเหินของวรรณวลีก็ทำให้พศวัตถึงกับขมวดคิ้วมุ่น ‘คุณกับฉัน’ อย่างนั้นเหรอ พศวัตครางในใจอย่างรู้สึกเจ็บแปลกๆ ในอก “เปรี้ยวโกรธพี่”

ชายหนุ่มสันนิษฐาน และคิดว่าสาเหตุคงเกิดมาจากที่เขาไม่ไปส่งเธอในวันเดินทางไปเรียนต่อ แถมไม่ไปรับในวันที่เธอเดินทางกลับมา แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้นมันมีเหตุและผล ที่ตัวเขาเองก็ไม่คาดคิดว่ามันจะเกิด

อย่างวันที่วรรณวลีจะเดินทางไปเรียนต่อที่ต่างประเทศวันนั้นเขาอุตส่าห์เคลียร์งานและออกจากบริษัทเร็วกว่าทุกวัน ถึงอย่างนั้นมันก็ยังช้ากว่าที่คิดเอาไว้ไปเกือบครึ่งชั่วโมง ดังนั้นด้วยความที่กลัวไม่ทันเขาจึงค่อนข้างร้อนรน และความร้อนรนนั้นเอง ทำให้การขับรถของเขาค่อนข้างเร็วและขาดความระมัดระวัง ในที่สุดก็เกิดอุบัติเหตุไปเสยเอาท้ายรถเก๋งของคุณป้าขี้โวยวายคนหนึ่งเข้าจนได้

จากเหตุการณ์นั้นทำให้เขาเสียเวลากับการพูดคุยตกลงกับคุณป้ามหาภัยและโทร.เรียกประกันไปค่อนข้างนาน ก่อนจะเรียกแท็กซี่ตรงไปที่สนามบินทันที แต่ใครจะคิดว่ามันจะซวยซ้ำซวยซ้อนต่อเนื่องอย่างนี้ แท็กซี่คันที่เขาโดยสารเกิดยางแตก หลังจากที่ขึ้นมานั่งและวิ่งพ้นไฟแดงมาได้แค่สามไฟแดงเท่านั้น แม้จะอารมณ์เสียกับสิ่งที่เกิดขึ้นแต่เขาก็ต้องลงและเรียกแท็กซี่คันใหม่ แต่ไม่น่าเชื่อว่ารถแท็กซี่ที่เคยเห็นวิ่งกันให้วุ่นบนท้องถนนและว่างเกือบทุกคัน มาตอนนี้มันหายากยิ่งกว่าเพชร มีน้อยแถมทุกคันไม่ว่างเลย เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ยิ่งใจร้อนเวลาก็เหมือนจะยิ่งเดินเร็ว สุดท้ายแม้เขาจะสามารถหาแท็กซี่ไปที่สนามบินได้แต่ด้วยสภาพการจราจรบนท้องถนนที่รถเยอะติดไฟแดงทุกแยกที่มีสัญญาณไฟจราจร ไอ้ที่จะไฟเขียววิ่งผ่านฉลุยไม่มี และบวกกับเวลาที่เสียไปเพราะเหตุการณ์ต่างๆ ในที่สุดก็ไปส่งวรรณวลีไม่ทัน แถมโทรศัพท์มือถือที่พกมาแค่เครื่องเดียวก็แบตเตอร์รี่อ่อน เพียงแค่โทร.เรียกประกันพูดกันเกือบจะไม่รู้เรื่องก็ดับสนิท ทำให้เขาไม่สามารถติดต่อใครได้

ส่วนวันนี้เป็นวันที่วรรณวลีเดินทางกลับและเขาคิดเอาไว้ว่าจะเป็นการแก้ตัว แต่สุดท้ายก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้ เมื่อรถของอชิรญาหรือฟ้าผู้หญิงที่เขาควงอยู่เกิดยางแตกและได้โทร.ขอความช่วยเหลือจากเขา และเขาก็จำใจไปโดยก่อนไปก็วางแผนในการใช้เวลาเอาไว้เป็นอย่างดี แต่ดูเหมือนโชคชะตาจะเล่นตลกกับอีกแล้วเมื่อทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่คิดและวางแผนเอาไว้ จากที่คิดเอาไว้ว่าไปถึงจะส่งหญิงสาวขึ้นแท็กซี่จากนั้นเขาก็จะตรงไปที่สนามบิน อชิรญาก็ขอร้องให้เขาพาเธอไปทานข้าวก่อน โดยเธออ้างว่าหิวมากเพราะยังไม่ได้ทานข้าวเที่ยงเลย ดูเวลาแล้วถ้าทานอาหารที่ร้านใกล้ๆแถวนั้นแล้วส่งเธอขึ้นแท็กซี่กลับบ้านคงทัน คิดไว้อย่างนั้นแต่พออชิรญาทานอาหารไปได้พักหนึ่งก็เกิดอาการปวดท้องขึ้นมากะทันหัน ตอนแรกเขากะจะพาเธอไปส่งโรงพยาบาลแต่หญิงสาวกลับให้พาไปที่คลินิกใกล้ๆ เพราะปวดมาก

กว่าอชิรญาจะตรวจและรับยามาทานก็เสียเวลาไปพอสมควร คราวนี้ความคิดที่จะส่งเธอขึ้นแท็กซี่ก็เป็นอันต้องพับไป เพราะเขาคงไม่ใจร้ายขนาดที่จะให้คนป่วยกลับบ้านตามลำพังทั้งอย่างนั้น ในที่สุดเขาก็จำต้องขับรถพาหญิงสาวไปส่งที่บ้านด้วยตัวเอง ซึ่งบ้านของเธอก็อยู่คนละทิศละทางกับสนามบินเสียด้วยถึงรถจะไม่ค่อยติดมากเท่าไหร่สุดท้ายเขาก็ไปไม่ทันรับวรรณวลีอยู่ดี

“ฉันไม่มีเหตุผลหรือเรื่องอะไรที่จะต้องโกรธคุณนี่คะ”

วรรณวลียกแขนขึ้นกอดอกเชิดหน้าตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบพร้อมกับเบือนสายตาที่ไม่ได้นิ่งเหมือนกับน้ำเสียงหนีไปทางอื่น

“ถ้าไม่โกรธทำไมต้องแทนตัวซะห่างเหิน ‘คุณกับฉัน’ มันไม่เข้ากับเราสองคนเลยนะ”

“ฉันคิดว่ามันเป็นสรรพนามที่เหมาะสมที่สุดแล้วล่ะค่ะ”

วรรณวลีสวนกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบเช่นเคย ก่อนจะถอนหายใจแล้วพูดดัก เมื่อพศวัตยังคงทำท่าจะคุยเรื่องการใช้สรรพนามที่ใช้เรียกกันระหว่างเธอกับเขา

“คุณบอกว่าจะคุยกับฉัน มันคงไม่ใช่เรื่องนี้หรอกใช่ไหม”

“ไม่ใช่”

“เรื่องงาน”

คราวนี้พศวัตพยักหน้ารับ ทั้งที่ยังคงไม่เคลียร์เรื่องที่หญิงสาวเปลี่ยนจากที่ในอดีตเคยเรียกเขาว่า ‘พี่’ มาตอนนี้เป็น ‘คุณ’ ที่ฟังดูแสนจะห่างเหินไปเสียแล้ว

“งั้นก็รีบว่ามาสิคะ ฉันจะได้รีบกลับไปพักผ่อนเสียที”

ว่าแล้วหญิงสาวก็ป้องปากหาวอย่างไม่ได้เสแสร้งหรือแกล้งเร่งให้ชายหนุ่มคุยธุระให้เสร็จ หากแต่ตอนนี้เธอรู้สึกง่วงขึ้นมาจริงๆ เพราะตั้งแต่เดินทางมาถึงยังไม่ได้หลับสักงีบ

“พี่ก็แค่อยากถามเราเฉยๆ ว่าคิดยังไงถึงอยากไปทำงานกับพี่”

ถึงวรรณวลีจะเรียกแทนตัวเขากับเธอซะห่างเหิน แต่พศวัตก็เลือกที่จะไม่บ้าจี้ตามเขายังคงเรียกแทนตัวเองว่า ‘พี่’ เหมือนแต่ก่อน

“ถามอย่างนี้หมายความว่าคุณไม่อยากให้ฉันไปทำงานด้วยใช่ไหมคะ”

“พี่พูดอย่างนั้นเมื่อไหร่กัน”

“ถึงไม่พูดแต่สีหน้าของคุณมันบ่งบอกตลอดเวลาว่ารู้สึกอย่างนั้น ฉันไม่ใช่เด็กอมมือนะถึงจะไม่รู้…แต่ก็เอาเถอะยังไงฉันก็คงยังไม่ไปทำงานอาทิตย์นี้หรอกนะคะ ถ้าคุณมีปัญหาไม่อยากให้ฉันไปทำงานด้วยก็ไปคุยกับคุณลุงและพ่อแม่ของฉันเอาเองแล้วกันนะคะ”

บอกพลางเชิดหน้าขึ้นอย่างถือดีเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไร หากแต่ข้างในเธอรู้สึกน้อยใจมากเลยทีเดียวที่สังเกตเห็นว่าไม่ว่าตอนอยู่ที่โต๊ะอาหารหรือตอนที่นั่งคุยกันที่ห้องนั่งเล่น เวลาที่พ่อแม่ของเธอหรือพ่อของเขาเองก็ตามที่เอ่ยถึงเรื่องที่เธอจะไปทำงานกับเขา พศวัตจะต้องมีสีหน้าแปลกๆ เหมือนกำลังพยายามเก็บอาการเก็บความรู้สึกที่แท้จริงเอาไว้ และไอ้ความรู้สึกนั้นก็คงไม่พ้นความอึดอัดหรือลำบากใจเป็นแน่แท้

“มันไม่ใช่อย่างที่เราพูดมาเสียหน่อย พี่แค่กำลังคิดว่าจะให้เราไปช่วยงานตำแหน่งไหนดีถึงจะเหมาะกับคุณสมบัติของเราต่างหากเล่า เพราะเอาตามจริงตำแหน่งที่ว่างในบริษัทของพี่มันไม่มีตำแหน่งไหนเหมาะกับคุณสมบัติของเราเลยนะ คือคุณสมบัติของเราน่ะมันสูงเกินตำแหน่งงานน่ะ”

พศวัตแก้ตัวเท่าที่คิดว่าฟังดูเข้าท่าและมีเหตุผลที่สุด ทั้งที่จริงแล้วเขาจะให้เธอมาเป็นผู้ช่วยก็ย่อมได้ แต่เวลานี้วรรณวลีเป็นสาวเต็มตัวและสวยผุดผาดจนเขาเองก็ยังรู้สึกหวั่นไหวแปลกๆ จึงกังวลว่าจะหักห้ามใจและปฏิบัติกับหญิงสาวได้อย่างเช่นวันวานหรือเปล่า

“ถ้าเรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ เพราะนั่นมันคือสิ่งที่ฉันต้องการ ฉันเลือกที่จะไปหาประสบการณ์จากบริษัทอื่นก็เพราะต้องการเป็นแค่พนักงานธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้นไม่ต้องการสิทธิพิเศษที่เดินเหินไปไหนหรือทำอะไรก็มีแต่คนมาเอาใจ ทำอะไรก็ไม่ผิด ฉะนั้นถึงตำแหน่งที่คุณว่าว่างมันจะต่ำเตี้ยเรี่ยดินที่สุดในบริษัทฉันก็เต็มใจจะทำไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ก็ดีเหมือนกันนะคะฉันจะได้เรียนรู้และสัมผัสกับงานและคนในหลายๆ ระดับด้วย”

ฟังหญิงสาวร่ายมาเสียยาวจบ พศวัตก็กดยิ้มมุมปากพร้อมกับหัวเราะหึๆ ในลำคอ ก้าวเท้าเข้าชิดหญิงสาวอีกก้าว พร้อมกับยื่นใบหน้าหล่อเหลาที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม นัยน์ตาที่มีแววซุกซนขี้เล่นเข้าไปจนเกือบจะชิดใบหน้าสวยได้รูปของวรรณวลีที่ผงะและถอยหลังอย่างตกใจ

“ที่พูดมาน่ะแน่ใจนะว่าจะทำจริงๆ”

“นะ…แน่สิ คนอย่างฉันพูดคำไหนคำนั้นอยู่แล้ว ไม่เหมือน…ช่างเถอะ คุณมีธุระจะพูดกับฉันแค่นี้ใช่ไหมคะ ฉันจะได้ขอตัวไปนอนเสียที”

“เดี๋ยวสิ พี่รู้นะว่าเราน่ะยังโกรธพี่เรื่องเมื่อหลายปีก่อนและเรื่องวันนี้อยู่ พี่ขอโทษที่ผิดคำพูดแล้วผิดคำพูดอีก แต่ทั้งสองครั้งพี่อธิบายได้นะ”

แม้จะไม่พูดออกมาตรงๆ และปฏิเสธว่าไม่ได้มีเรื่องโกรธเคืองเขา แต่จากคำพูดเมื่อครู่ทำให้พศวัตรู้ว่าเขาไม่ได้รู้สึกไปเอง อีกทั้งสิ่งที่เขาพูดออกมาก็รู้สึกผิดจริงๆ และเต็มใจจะอธิบายให้หญิงสาวได้รับรู้

แต่ดูเหมือนวรรณวลีจะไม่คิดอย่างนั้นเธอไม่อยากจะได้ยินคำแก้ตัวจากเขาแค่รู้ว่าวันนี้เขาไปรับเธอไม่ได้เพราะมีธุระกับผู้หญิงอีกคนที่คงจะสำคัญกว่าเด็กกะโปโลอย่างเธอ เธอก็ไม่อยากจะรับฟังอะไรทั้งนั้น

“ไม่จำเป็น คุณจะไปไหนมันก็สิทธิ์ของคุณไม่เกี่ยวกับฉันเสียหน่อย ดึกแล้วฉันขอตัวไปนอนก่อนนะคะ”

เอ่ยจบร่างบอบบางก็หมุนตัวจะเดินเข้าบ้าน แต่ก็ทำได้เท่านั้นเพราะมือใหญ่ของพศวัตมารั้งแขนเรียวเล็กของเธอเอาไว้เสียก่อน

“เดี๋ยวสิเปรี้ยว”

วรรณวลีชะงัก ก่อนจะเอี้ยวตัวกลับมามองแขนของตัวเองที่โดนชายหนุ่มจับและรั้งเอาไว้ แล้วรีบบิดสะบัดให้มันหลุดออกจากการเกาะกุมนั้นทันที เธอไม่ได้รังเกียจรังงอนอะไรมากมายแต่รู้สึกคล้ายกับว่ามีกระแสไฟวิ่งผ่าน

“มีอะไรคะ”

เธอถามออกไปด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบคล้ายกับไม่รู้สึกอะไรทั้งที่จริงแล้วใจเต้นตึกตัก พร้อมกับถอยหลังพยายามรักษาระยะห่างจากชายหนุ่มเล็กน้อย

ถึงอย่างนั้นพศวัตก็ไม่ยี่หระยังเดินยิ้มเข้าไปจับไหล่บางทั้งสองข้างของหญิงสาวเอาไว้ โดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะขัดขืน

“คุณจะทำอะไร ปล่อย…”

คำพูดต่อจากนั้นไม่สามารถหลุดออกมาจากลำคอของหญิงสาวได้ เมื่อพศวัตโน้มใบหน้าเข้าไปจุมพิตแผ่วเบาที่หน้าผากมนอย่างรวดเร็ว ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นตอนนั้นคือร่างบอบบางได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อ ดวงตากลมโตเบิกกว้างอย่างตกใจและคาดไม่ถึง

“ราตรีสวัสดิ์ ฝันดีนะยัยเด็กกะโปโล”

เอ่ยจบชายหนุ่มก็หมุนตัวเดินผละออกไปจนข้ามไปอยู่ในอาณาเขตของบ้านตัวเอง พศวัตก็เอี้ยวตัวกลับมามองอีกครั้ง เมื่อยังเห็นหญิงสาวยังอยู่ท่าเดิมจึงตะโกนล้อเสียงกลั้วหัวเราะ

“เอ้า ยืนนิ่งเลยไปนอนได้แล้วยัยเด็กกะโปโล”

“ฉันไม่ใช่เด็กซะหน่อยตาแก่บ้า!”

หลังจากสติสตังที่กระเจิดกระเจิงกลับเข้าที่เข้าทาง วรรณวลีก็ตะโกนโต้ตอบเสียงดังอย่างไม่พอใจระคนอาย ก่อนจะหมุนตัวเดินกระฟัดกระเฟียดเข้าบ้าน พยายามไม่ใส่ใจเสียงหัวเราะชอบใจของอีกฝ่ายที่ดังไล่หลังมา

“ตาแก่บ้าเอ๊ย! มาหาว่าเราเป็นเด็กกะโปโล คอยดูแล้วกันจะทำให้ถอนคำพูดนี้ให้ได้ ระวังตัวให้ดีเถอะไอ้พี่พต!”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel