ตอนที่ 1 ซ้ำรอย (2)
“คุณนี่น่ารักเสมอเลยนะคะ มีธุระด่วนยังอุตส่าห์มีน้ำใจเสียสละเวลามาช่วยฟ้า ขอบคุณนะคะ แล้วเจอค่ะ”
น้ำเสียงเล็กแหลมตอบกลับมาอย่างอ่อนหวานติดจะอ้อนเล็กน้อยอย่างดีใจ
“ครับแล้วเจอกัน”
พศวัตวางสายพลางพ่นลมออกจากปาก ก่อนจะหันมายิ้มแหยๆ ให้กับคนเป็นพ่อที่ไม่ต้องถามก็พอรู้ว่าลูกชายตัวดีกำลังจะไปหาหญิงที่ชื่อว่า ‘ฟ้า’
“พ่อครับคือ…”
ยังไม่ทันที่พศวัตจะพูดจบ นายอนิวัตติ์ก็ยกมือขึ้นแล้วโบกเล็กน้อยว่าไม่ต้องพูดอะไรเพราะจากที่ยืนฟังมาแต่ต้นจนจบก็พอรู้เรื่อง
“ไม่ต้องพูด เอาเป็นว่าพ่อจะไปพร้อมกับสองคนที่จอดรถรออยู่หน้าบ้านก็แล้วกัน ส่วนแกก็รีบๆ จัดการธุระให้เสร็จ แล้วก็รีบๆ ตามไปซะ ขืนช้าคงไม่ทัน เมื่อหลายปีก่อนแกพลาดไม่ได้ไปส่ง คราวนี้หนูเปรี้ยวกลับมาก็ควรจะไปรับเป็นการแก้ตัวนะ”
“โธ่พ่อ! วันที่ยัยเปรี้ยวเดินทางไม่ใช่ผมไม่ไปส่งนะครับ ไปแต่ไม่ทันต่างหากเล่า บอกไม่เคยจะเชื่อ และวันนี้ยังไงก็ทันแน่นอนคอยดูก็แล้วกัน”
พศวัตเอ่ยอย่างมั่นใจพร้อมกับเอ่ยแย้งเรื่องวันที่วรรณวลีเดินทางแล้วเขาไปส่งไม่ทันเพราะเกิดเหตุขัดข้องเล็กน้อยไปถึงก็เจอทุกคนกำลังจะกลับพอดี อธิบายเหตุผลแล้วพ่อแม่ของวรรณวลีดูจะเข้าใจ แต่พ่อของเขาต่างหากที่ยังไม่อยากจะเชื่อ ถึงขนาดตั้งข้อสันนิษฐานว่าเขาจงใจมาช้ามากกว่า
“พูดเมื่อไหร่ว่าไม่เชื่อ ไปๆ รีบไปเถอะเดี๋ยวจะไม่ทัน พ่อก็จะรีบไปเหมือนกัน สองคนนั้นโทร.ถามแล้วถามอีก ไปๆ”
ว่าแล้วนายอนิวัตติ์ก็ก้าวขึ้นไปนั่งรอบุตรชายบนรถ ด้านพศวัตเองก็ก้าวขึ้นไปนั่งประจำตำแหน่งคนขับแล้วค่อยๆ เคลื่อนรถออกจากบ้านไปจอดที่หน้าบ้านกิตติวรา ที่มีรถของสองสามีภรรยาซึ่งทั้งสองคงพอจะรู้เรื่องคร่าวๆ จากพ่อของเขาตอนที่โทร.ตามระหว่างรอเขาจอดรออยู่
ร่างสูงของพศวัตเปิดประตูลงจากรถแล้วรีบเดินตรงไปคุยพร้อมทั้งขอโทษขอโพยนายอายุธกับภรรยาทันที ในขณะที่นายอนิวัตติ์ลงจากรถอีกคันไปขึ้นนั่งอีกคันด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยจะพอใจนัก เพราะกลัวลูกชายจะซ้ำรอยเดิมอีกครั้ง อีกทั้งธุระที่ว่ายังเกี่ยวกับผู้หญิงอีก
“คุณน้าครับ ผมขอโทษนะครับที่ไปสนามบินพร้อมคุณน้าทั้งสองคนไม่ได้ พอดีมีเรื่องที่ต้องไปจัดการนิดหน่อยเดี๋ยวจัดการเสร็จผมจะรีบตามไปนะครับ คิดว่าคงทัน”
“ไม่เป็นไรหรอกน้าเข้าใจ และอีกอย่างเวลามีถมเถ”
นายอายุธบอกด้วยรอยยิ้ม ซึ่งก็ไม่ต่างกับคนเป็นภรรยาที่ยิ้มพร้อมกับพยักหน้าให้กับชายหนุ่มอย่างต้องการบอกว่าไม่เป็นไร เห็นอย่างนั้นแล้วพศวัตก็ยิ้มตอบพร้อมกับยกมือไหว้ขอบคุณผู้ใหญ่ทั้งสองที่เข้าใจ ก่อนจะผละไปขึ้นรถแล้วขับบึ่งออกไปด้วยความเร็วค่อนข้างสูง
“มีเรื่องทุกทีสิน่า”
นายอนิวัตติ์เอ่ยขึ้นพลางส่ายศีรษะ ขณะที่สายตาก็มองตามท้ายรถเมอร์เซเดสเบนซ์สีบรอนซ์ของพศวัต แล้วไม่รู้ทำไมเขามีลางสังหรณ์ว่าลูกชายของตนจะพลาดการไปรับวรรณวลีเหมือนกับคราวที่ไปส่งหญิงสาวไปต่างประเทศ ทั้งที่ดูจากเวลาและแผนการคร่าวๆ ที่ได้ยินจากลูกชายก็น่าจะทัน
“ช่างเถอะ ก็คนมันมีธุระจริงๆ นี่นา และเจ้าพตจะมาทันหรือไม่ทันก็ไม่เห็นเป็นไรหรอก อย่างน้อยก็ยังมีพวกเราที่ไปรอรับยัยเปรี้ยวอยู่แล้วนี่”
สิ้นเสียงของนายอายุธรถก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกมุ่งหน้าไปยังสนามบินสุวรรณภูมิ ภายในรถที่ก่อนหน้านั้นเงียบไปพักใหญ่ก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากนายอนิวัตติ์เปิดประเด็นเรื่องของวรรณวลีขึ้นมาว่าอยากเห็นหน้าของหญิงสาวเร็วๆ จากที่หลายปีที่ผ่านมาเห็นแค่ภาพที่ถูกส่งข้ามทวีปมาให้ดูเท่านั้นและเท่าที่เห็นดูเหมือนวรรณวลีจะโตและเปลี่ยนไปค่อนข้างมากเลยทีเดียว ซึ่งผิดกับคนเป็นพ่อแม่ที่หมั่นบินไปเยี่ยมลูกสาวไม่ได้ขาดอย่างน้อยปีหนึ่งก็สามถึงสี่ครั้งเลยไม่ค่อยรู้สึกถึงการการเปลี่ยนแปลงของลูกสาวอยู่เท่าไหร่จึงได้แต่หัวเราะชอบใจ
และแล้วลางสังหรณ์ของนายอนิวัตติ์ก็เป็นจริง ตั้งแต่ลงจากเครื่องที่สนามบินจนกระทั่งตอนนี้หญิงสาวได้กลับมาถึงบ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พศวัตก็ยังไม่โผล่หน้ามา มีโทรศัพท์มาครั้งเดียวตอนที่ตนและทุกคนกำลังนั่งรถกลับว่าขอโทษด้วยที่ปลีกตัวไปไม่ทันตามที่ได้สัญญาเอาไว้ เพียงเท่านั้นก็วางสาย และจากน้ำเสียงนายอนิวัตติ์พอจะจับได้ว่าบุตรชายของตนนั้นคงอยู่ในอารมณ์ที่เรียกได้ว่าหงุดหงิดพอสมควร
“โอ๊ย! คิดถึงบ้านจริงๆ เลย…ในที่สุดก็ได้กลับมาเสียที”
ร่างบอบบางดูไม่ต่างจากเมื่อก่อนมากนัก แต่ต่างก็ตรงที่ตอนนี้หญิงสาวดูสูงขึ้นและเป็นสาวเต็มตัวมีส่วนเว้าส่วนโค้งอย่างที่ผู้หญิงคนหนึ่งควรจะมีวิ่งเข้าไปกางแขนหมุนตัวอยู่กลางห้องรับแขก ที่ตอนนี้มีคนรับใช้สี่คนมานั่งรอต้อนรับการกลับมาของคุณหนูของบ้าน
“สวัสดีค่ะทุกคน”
หญิงสาวหันไปทักทายคนรับใช้ทั้งสี่คนที่นั่งพับเพียบรออยู่ข้างๆ โซฟาด้วยรอยยิ้ม และไม่ลืมที่จะยกมือไหว้คนที่อายุมากกว่าอย่างไม่ถือตัว
“สวัสดีค่ะคุณหนูยินดีต้อนรับกลับบ้านนะคะ…ว่าแต่ก่อนคุณหนูสวยแล้ว กลับมาคราวนี้คุณหนูโตเป็นสาวเต็มตัวยิ่งสวยขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าเลยนะคะ งานนี้สงสัยหัวบันไดบ้านไม่แห้งแน่ๆ ใช่ไหมคะคุณผู้หญิง”
“ช่างเจรจานะเรา แยกย้ายกันไปทำงานได้แล้ว”
นางอมลวรรณไล่เหล่าคนใช้เสียงดุแต่ก็ไม่ได้จริงจังนัก พลางพิศมองบุตรสาวแล้วนางก็เห็นด้วยกับสิ่งที่คนรับใช้เก่าแก่พูดว่าวรรณวลีนั้นสวยขึ้นกว่าเดิมมาก ไม่ใช่เด็กกะโปโลอย่างเช่นวันวานแล้ว
“ผมเห็นด้วยนะว่าหนูเปรี้ยวดูเป็นสาวและสวยขึ้นมาก เห็นในภาพว่าสวยแล้วตัวจริงสวยยิ่งกว่า นี่ลุงอยากให้เจ้าพตมาเห็นจริงๆ เมื่อเช้านั่นนะเขายังเรียกว่าเราเป็นเด็กกะโปโลเหมือนเดิมอยู่เลย”
ท้ายประโยคนายอนิวัตติ์หันไปพูดกับวรรณวลีที่นั่งกัดเม้มริมฝีปากสีหน้าที่เริงร่าเมื่อครู่หม่นลงเล็กน้อย เมื่อได้ยินชื่อพศวัต ผู้ชายที่จนถึงตอนนี้เธอก็ยังมีความรู้สึกดีๆ ให้เขาไม่เสื่อมคลาย ทั้งที่เมื่อหลายปีที่แล้วเธอคิดว่าความรู้สึกนี้เป็นความรู้สึกของเด็กสาวช่างฝัน แต่มันไม่ใช่เลยเธอลองแม้กระทั่งคบกับคนอื่น แต่ปรากฏว่าความรู้สึกนั้นมันก็ยังคงอยู่ไม่จางหาย ไม่รู้และไม่เข้าใจเหมือนกันว่าปักใจอะไรหนักหนากับแค่ ‘ตาแก่ปากร้าย’ คนหนึ่งที่ไม่คิดจะสนใจใยดีเธอเลยสักนิดเดียว ตอนเดินทางไปเรียนต่อก็ไม่ไปส่ง ตอนกลับมาก็ไม่ไปรับทั้งที่เขารับปากพ่อของเขาเป็นมั่นเป็นเหมาะ ช่างเป็นผู้ชายที่เชื่อไม่ได้และมีดีแค่หล่อเท่านั้นจริงๆ
“สงสัยในสายตาพี่พตเปรี้ยวก็คงเป็นแค่เด็กกะโปโลมั้งคะ แต่ก็ช่างเถอะใครจะยังมองว่าเปรี้ยวเป็นเด็กกะโปโลก็ช่าง แต่ความเป็นจริงแล้วเปรี้ยวผ่านช่วงเวลานั้นมาหลายปีแล้ว ก็ตอนนี้เปรี้ยวอายุ 23 ปีไม่ใช่เด็กแล้วนี่คะ”
พูดจบวรรณวลีก็ยืดตัวขึ้นเอามือเท้าสะเอวพร้อมกับเชิดหน้าลอยไปมา เพื่อให้ทุกคนในที่นั้นได้พิจารณาว่าสิ่งที่เธอพูดมานั้นมันเป็นเรื่องจริง
“จ้า…ลูกพ่อน่ะโตเป็นสาวแล้ว แล้วอย่างนี้มาช่วยงานพ่อได้หรือยังล่ะ หรือว่ายังพักผ่อนไม่พอหรือว่าจะเรียนต่อโท”
“เรื่องเรียนคงเก็บไว้ก่อนค่ะ ส่วนเรื่องไปช่วยงานคุณพ่อก็ยังก่อนเช่นกันค่ะ”
วรรณวลีส่ายหน้าตอบพลางอมยิ้มนัยน์ตากลมโตพราวระยับ อย่างคนกำลังมีความคิดเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นมาในสมองน้อยๆ
“อ้าว…”
นายอายุธครางเสียงหลงทำหน้าเหลอหลา ขณะที่คนเป็นภรรยาหัวเราะออกมาน้อยๆ ไม่ได้ว่าอะไรหากวรรณวลีจะมาหยุดพักเที่ยวเล่นที่เมืองไทยอีกสักพัก แม้ตอนอยู่ที่อังกฤษหญิงสาวจะพักยาวมาแล้วเป็นปี แต่นั่นก็ไม่เรียกว่าพักเสียทีเดียว เพราะต้องช่วยงานที่ร้านอาหารของคนเป็นน้าอยู่ตลอด
“เอาเป็นว่าแม่อนุญาตให้เราเที่ยวเล่นอีกสักเดือนสองเดือนพอ หลังจากนั้นหนูต้องเขาไปเรียนรู้งานกับคุณพ่อนะลูก จะมามัวเที่ยวเล่นอยู่ตลอดไปไม่ได้หรอก เข้าใจไหม”
วรรณวลีหันไปยิ้มหวานให้กับคนเป็นแม่ แล้วส่ายหน้าอีกครั้งโดยไม่พูดอะไร ทำให้นางอมลวรรณเข้าใจไปว่าให้พักเที่ยวเล่นเดือนสองเดือนไม่พอ นางจึงส่งสายตาดุให้บุตรสาว เห็นอย่างนั้นวรรณวลีก็เข้าใจแล้วล่ะว่าคนเป็นแม่เข้าใจเธอผิด
“ไม่ใช่อย่างที่คุณแม่คิดเสียหน่อย เปรี้ยวจะยังไม่ไปเรียนรู้งานกับคุณพ่อและไม่หยุดเที่ยวเล่นอย่างที่คุณแม่เสนอมา แต่…”
หญิงสาวหยุดพูดแล้วกวาดสายตาที่ทอประกายความขี้เล่นออกมามองทุกคนที่ต่างจ้องและรอฟังการตัดสินใจของเธอด้วยใจจดจ่อ
“แต่เปรี้ยวจะไปหาประสบการณ์การทำงานจากที่อื่นสักพักใหญ่ๆ ก่อนน่ะค่ะ จากนั้นค่อยมาเรียนรู้และช่วยงานคุณพ่อทีหลัง คุณพ่อคุณแม่อนุญาตเปรี้ยวนะคะ”
สองสามีภรรยารวมไปถึงนายอนิวัตติ์ต่างหันมามองหน้ากันเหลอหลา ขณะที่วรรณวลีนั่งฉีกยิ้มนั่งรอคำอนุญาตตาแป๋ว
“ไปทำงานหาประสบการณ์ที่อื่น…มันก็ดีนะ แต่ที่อื่นใกล้ๆ ได้ไหมถึงจะบอกว่าเราโตแล้วแต่พ่อก็อดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี”
คนเป็นพ่อต่อรองด้วยสีหน้าเป็นกังวลเล็กน้อย ซึ่งก็ไม่ต่างกับนางอมลวรรณ ก็อย่างว่าถึงลูกจะโตและอายุมากแค่ไหนในสายตาของคนเป็นพ่อแม่ลูกยังคงเป็นเด็กเสมอ ดังนั้นนายอนิวัตติ์ที่ดูจะเข้าใจสองสามีภรรยาเป็นอย่างดีจึงมีข้อเสนอแนะ
“งั้นเอาอย่างนี้ดีไหม หนูเปรี้ยวไปทำงานที่บริษัทของลุงก่อนเป็นไง ดีไหม ที่บริษัทอื่นแต่เจ้าของไม่ใช่คนอื่นเข้าเงื่อนไขหรือเปล่า”
นายอนิวัตติ์ถามความคิดเห็นสามพ่อแม่ลูก สองสามีภรรยารีบพยักหน้าและเปิดยิ้มออกมาอย่างเห็นด้วยที่สุด ในขณะที่วรรณวลีทำสีหน้าแปลกๆ
“ดีเลยค่ะ ตกลงนะลูกได้คนเก่งอย่างตาพตสอนงานด้วย”
“มะ…มันจะดีเหรอคะ สำหรับเปรี้ยวไม่มีปัญหา แต่จะไม่รอถามความสมัครใจของพี่พตดูก่อนเหรอคะ”
ถามอย่างเสียงอ่อยอย่างไม่แน่ใจ
“ดีที่สุด!”
ผู้สูงวัยทั้งสามตอบเป็นเสียงเดียวกันอย่างพร้อมเพรียงโดยไม่ได้นัดหมาย จากนั้นต่างก็หันมาสบตากันอย่างหมายมาดอะไรบางอย่าง
“เรื่องเจ้าพตลุงคิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไรหรอก คนกันเองทั้งนั้นนี้ และอีกอย่างไปทำแค่ชั่วคราวเท่านั้นเอง แต่จะทำถาวรลุงก็ไม่ว่านะ”
เอ่ยจบนายอนิวัตติ์ก็หัวเราะอย่างชอบใจ ก่อนจะหันไปยักคิ้วให้กับนายอายุธและภรรยาที่นั่งอมยิ้มชอบใจอย่างรู้กัน
และในเวลาต่อมาคำตอบที่ถูกกลั่นกรองและคิดทบทวนดีแล้ว ที่ออกจากปากของวรรณวลีก็แทบทำเอาผู้สูงวัยทั้งสามแทบอยากจะลุกขึ้นมาโห่ร้อง
“ถ้าทุกคนเห็นว่าดีและไม่มีปัญหา เป็นอันว่าเปรี้ยวตกลงจะไปทำงานกับพี่พตค่ะ”