ตอนที่ 1 ซ้ำรอย (1)
จากที่เงียบเหงามาหลายปีวันนี้บ้านกิตติวราก็กลับมาคึกคักอีกครั้ง นางอมลวรรณตื่นขึ้นมาทำบุญใส่บาตรตั้งแต่เช้าตรู่อย่างเช่นทุกวัน หากแต่วันนี้พิเศษหน่อยก็ตรงที่สามีของนางหยุดงาน รวมไปถึงสองพ่อลูกของบ้านข้างๆ อย่างนายอนิวัตติ์กับพศวัตที่งานรัดตัวไม่ใช่น้อย แต่วันนี้ชายหนุ่มกลับยอมหยุดงานมาร่วมใส่บาตรในตอนเช้า เพื่อที่ตอนบ่ายจะได้เดินทางไปรับคนที่จากบ้านเกิดเมืองนอนไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศกลับบ้านอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
จากนั้นทั้งสองครอบครัวก็ร่วมรับประทานอาหารเช้าด้วยกันที่บ้านกิตติวรา และใบหน้าของแต่ละคนในวันนี้นั้นดูสดใสยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะคู่สามีภรรยาผู้เป็นเจ้าบ้าน และมันเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ได้รับโทรศัพท์ทางไกลจากลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนว่าจะบินกลับเมืองไทยตั้งแต่เมื่อวาน หลังจากที่เรียนจบและขอเที่ยวพักผ่อนพร้อมกับช่วยงานน้าสาวนานถึงหนึ่งปีเต็ม
และตลอดทั้งวันนางอมลวรรณก็ได้สั่งให้เด็กรับใช้ตรวจตราความเรียบร้อยภายในห้องนอนของลูกสาวรวมถึงวัตถุดิบในการทำอาหารจานโปรดให้เพียบพร้อมและตรวจตราอีกรอบก่อนจะเตรียมตัวไปรับบุตรสาวที่จะเดินทางมาถึงสนามบินในช่วงบ่ายแก่ๆ พร้อมกับสามีและสองพ่อลูกที่มีท่าทีตื่นเต้นไม่แพ้กัน โดยเฉพาะพศวัต แม้จะพยายามเก็บท่าทีแต่ทุกคนกลับดูออกว่าเขาตื่นเต้นกับการกลับมาของ‘ยัยเด็กกะโปโล’ อย่างวรรณวลีไม่น้อย
“อ้าว เจ้าพตล่ะ”
นายอนิวัตติ์ถามเด็กรับใช้พลางเลิกคิ้วขึ้น เมื่อเดินลงบันไดมาแล้วไม่เห็นบุตรชาย ที่วันนี้หยุดงานเพื่อไปรับวรรณวลีโดยเฉพาะ หลังจากที่เมื่อหลายปีก่อนไม่ได้ไปส่งเป็นการแก้ตัว
“ยังไม่เห็นลงมาเลยค่ะ…อุ๊ย! คุณพตลงมาแล้วค่ะ”
สาวใช้บอกก่อนจะเดินก้มหน้าเดินเลี่ยงออกไปปล่อยให้เจ้านายได้คุยกันตามลำพัง ด้านนายอนิวัตติ์เมื่อได้ยินอย่างนั้นก็หันไปมองร่างสูงในชุดกางเกงสแล็คสีเทากับเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีดำแต่แอบมีลูกเล่นเป็นเส้นกลางสีเทารวมไปถึงขอบปกเสื้อของบุตรชาย แล้วกดยิ้มมุมปากหัวเราะหึๆ ในลำคอ
“ไงแค่ไปเปลี่ยนเสื้อทำไมนานนักล่ะ หรือมัวแต่งหล่ออยู่”
“พ่อก็พูดไปเรื่อยเปื่อย ผมแค่มัวคุยโทรศัพท์เรื่องงานกับเลขาอยู่ต่างหากล่ะครับ และแค่ไปรับยัยเด็กกะโปโลอย่างยัยเปรี้ยวทำไมผมจะต้องแต่งลงแต่งหล่ออะไรด้วยล่ะครับ”
คนโดนแซวแก้ตัวเสียงเรียบพยายามเก็บอาการให้มากที่สุด เพราะเจ้าตัวรู้อยู่แก่ใจมากที่สุดว่าถึงปากจะบอกว่าไม่แต่งหล่อแต่กว่าจะเลือกเสื้อที่ใส่ได้ก็นานกว่าปกติ แต่เรื่องคุยโทรศัพท์กับเลขาเรื่องงานนั้นเขาก็ไม่ได้โกหกหรอกมันจึงทำให้ที่ช้าอยู่แล้วยิ่งช้าเข้าไปอีก
“เด็กกะโปโล!”
นายอธิวัตติ์ทวนคำที่ลูกชายเรียกแทนตัวของวรรณวลีเสียงสูง พร้อมกับหันไปหรี่ตามองใบหน้าหล่อคมเข้มเต็มวัยของพศวัตแล้วหัวเราะดังลั่น
“น่าขำตรงไหนครับ”
พศวัตถามคนเป็นพ่อเสียงขุ่น
“ก็ตรงที่แกบอกว่าหนูเปรี้ยวเป็นเด็กกะโปโลไงล่ะ ที่พูดมาน่ะแน่ใจเหรอ ผ่านมาหลายปีแล้วนะป่านนี้ไม่โตเป็นสาวเต็มตัวแล้วเหรอ…”
เสียงลากยาวคล้ายกับท้าทายทำให้พศวัตหันไปมองใบหน้าที่ดูจะอารมณ์ดีเหลือเกินของคนเป็นพ่อแล้วทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ ก่อนจะเดินหนีเอาดื้อๆ เพราะไม่รู้จะโต้แย้งยังไง จะว่าไปคงมีเขาคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้รับการติดต่อจากหญิงสาว ขณะที่พ่อของเขานั้นวรรณวลีโทร.มาหาบ่อยครั้ง และบ่อยครั้งในวันหยุดพ่อของเขาจะชวนไปดูรูปที่หญิงสาวส่งข้ามทวีปมาให้ดู ใจมันก็อยากจะดูอยู่หรอกแต่เพราะอะไรก็ไม่รู้ทำให้เขาปฏิเสธทุกครั้งไป แถมคิดเอาเองว่าวรรณวลีคงไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากมายหรอก อย่างมากก็แค่อายุมากขึ้นตัวโตขึ้นและสูงขึ้นก็เท่านั้น
แต่พอมาวันนี้ท่าทีที่พ่อเขาเอ่ยถึงวรรณวลีอย่างมีเลศนัย ทำให้เขาไม่แน่ใจแล้วสิว่าหญิงสาวจะเป็นอย่างที่เขาคาดคิดไว้หรือเปล่า แต่เอาเถอะน่าคนเรามันจะเปลี่ยนได้แค่ไหนกันเชียว
“ไปกันเถอะบ้านนู้นโทร.มาบอกแล้วว่ากำลังจะออกเดินทาง นี่ก็จะบ่ายโมงแล้วเราต้องเผื่อเวลารถติดสักนิด”
นายอนิวัตติ์ที่เดินตามหลังมาบอกลูกชายที่ดูเหมือนจะจมอยู่ในภวังค์ความคิด หลังจากที่เพิ่งวางสายจากเพื่อนบ้านอย่างอายุธ
“คะ…ครับ”
บอกก่อนจะเปิดประตูรถ หากแต่เสียงโทรศัพท์ของชายหนุ่มกลับดังขึ้น ทำให้คนเป็นพ่อที่กำลังจะก้าวขึ้นรถหยุดชะงักยืนรอก่อน เพราะกลัวว่าลูกชายจะเจองานด่วนเข้ามาแล้วจะไปด้วยไม่ได้
“ผมขอเวลาแป๊บหนึ่งครับ”
เอ่ยจบชายหนุ่มก็กดรับสายที่ไม่ใช่เรื่องงานอย่างที่คนเป็นพ่อคาดคิด หากแต่เป็นหนึ่งในผู้หญิงของเขาต่างหากล่ะ ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าหล่อนโทร.มาทำไมทั้งที่บอกไปแล้วว่าวันนี้ยุ่ง
“ว่าไงครับฟ้า”
“ตอนนี้พตอยู่ไหนคะ”
เสียงเล็กแหลมติดจะหงุดหงิดดังมาตามสาย ทำให้พศวัตถอนหายใจพลางกรอกตาขึ้นฟ้าอย่างพยายามสกัดกั้นอารมณ์เบื่อหน่ายเอาไว้ไม่ให้มันสื่อออกไปทางน้ำเสียง
“ผมกำลังจะออกไปทำธุระ ถ้าฟ้าไม่มีอะไรแค่นี้นะผมรีบ”
“เดี๋ยวสิคะพต!”
ชายหนุ่มกำลังจะกดวาง แต่เสียงร้องเรียกจากหญิงสาวก็ดังแว่วเล็ดลอดออกมา จนเขาต้องยกโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหูอีกครั้ง แต่น้ำเสียงที่ใช้ถามดูจะห้วนสั้นอย่างคนไม่สบอารมณ์
“คุณมีอะไรอีกฟ้า ผมบอกว่ารีบและวันนี้ผมก็บอกคุณไปแล้วว่าไม่ว่างมีธุระสำคัญ”
“แหม…ฟ้ารู้ค่ะ แต่นี่มันสุดวิสัยจริงๆ นี่คะ พอดีรถฟ้ายางแตกอยู่แถวบางนา ฟ้ากลับมาจากไปหาเพื่อนน่ะค่ะ เบื่อรถติดเลยใช้เส้นทางลัด ที่คุณเคยพามาคุณก็รู้นี่ค่ะว่าถนนเส้นนี้ค่อนข้างเปลี่ยว แม้จะเป็นช่วงกลางวันก็ไม่ค่อยจะมีรถวิ่งเลย แถมสองข้างทางมีแต่ป่า ฟ้ากลัวนี่ยังไม่กล้าลงจากรถเลยนะคะเนี่ย”
มีปัญหาแล้วทำไมต้องโทร.หาเขาด้วยเล่า คนรู้จักมีเป็นสิบเป็นร้อยทำไมไม่โทร.หา หรือไม่ก็น่าจะโทร.เรียกช่างสิถึงจะถูก มาโทร.หาเขาเพื่อ…
“แล้วทำไมคุณไม่โทร.เรียกช่างล่ะฟ้า”
“ฟ้าทำไม่เป็นหรอกค่ะและไม่มีเบอร์ด้วย อีกอย่างที่นี่ก็เปลี่ยวจะตายช่างพวกนั้นเชื่อใจได้แค่ไหนกันเชียว ฟ้าไม่เอาด้วยหรอก ยังไงพตมาหาฟ้าก่อนได้ไหมคะ”
หญิงสาวอ้างสารพัดเหตุผล
“คนที่บ้านคุณล่ะ”
“อยู่แค่นังพลอยคนเดียวนั่นแหละค่ะ นอกนั้นก็ตามไปรับใช้คุณพ่อกับคุณแม่ที่บ้านตากอากาศที่ภูเก็ตนู่น”
“เพื่อนคุณที่เพิ่งไปหามาล่ะ”
“โอ๊ย! ยัยมายด์น่ะเหรอคะ เพิ่งออกไปกับกิ๊กคงติดต่อได้หรอกป่านนี้ปิดมือถือไปเริงร่ากันที่ไหนแล้วก็ไม่รู้”
เสนอแนะทางไหนดูเหมือนหญิงสาวนามว่า ‘ฟ้า’ คนนี้จะหาเหตุผลมาอ้างเพื่อที่จะให้ชายหนุ่มเป็นคนไปช่วยเธอแก้ปัญหายางรถแตกของเธอให้จงได้
“งั้นคุณถือสายรอผมแป๊บหนึ่ง”
บอกพลางถอนหายใจ กดต่อสายหาเพื่อนสนิทอย่างธนภูมิเผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง และระหว่างรออีกฝ่ายรับสายนั้นก็ไม่ลืมที่จะหันไปบอกคนเป็นพ่อที่ยืนพิงรถกอดอกรอ
“ขอเวลาอีกสักครู่นะครับพ่อ”
พศวัตยิ้มแห้งๆ อย่างเกรงใจ เมื่อคนเป็นพ่อพยักหน้ารับ และเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ธนภูมิรับสายความสนใจทั้งหมดจึงถูกดึงกลับมาที่เจ้าเครื่องมือสื่อสารนี้อีกครั้ง
“ไอ้ภูมิตอนนี้แกว่างไหม”
“โนเวย์เพื่อนฉันกำลังจะเข้าประชุมด่วนในอีก 15 ไม่ใช่สิ 10 นาทีข้างหน้านี้เอง แกมีอะไร”
ได้ยินคำปฏิเสธพศวัตแทบไม่อยากจะคุยกับเพื่อนต่อ นิ้วแกร่งยกขึ้นนวดขมับตัวเองแรงๆ ก่อนจะตอบกลับเชิงปรึกษาไปในตัวด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ ว่า
“แกจำฟ้าเพื่อนลูกสาวคุณนายญาดาที่เราเจอในงานเลี้ยงแต่งงานลูกชายคุณหญิงรมย์ชลีเมื่อเดือนก่อนได้ไหมวะ”
“ได้สิสวยสะดุดตาขนาดนั้น แกกำลังคั่วอยู่นี้ มีปัญหาอะไรหรือเจ้าหล่อนจะจับแกทำสามี”
ธนภูมิล้อเลียนเสียงกลั้วหัวเราะชอบใจ ก่อนจะระเบิดออกมาเต็มที่เมื่อโดนอีกฝ่ายตะคอกด่ากลับมาอย่างไม่จริงจังนักด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“ไอ้บ้า! รถเธอยางแตกแถวบางนา เธอต้องการให้ฉันไปหา แต่แกเข้าใจไหมว่าตอนนี้ฉันไม่ว่าง ต้องไปรับยัยเปรี้ยวที่สนามบินพร้อมกับทุกคน”
“ห๊า! น้องเปรี้ยวกำลังจะกลับมาเมืองไทยเหรอทำไมแกไม่บอกกันบ้างวะ ถ้ารู้จะหยุดงานเตรียมดอกไม้ช่อใหญ่ๆ ไปรอรับ”
เสียงที่ดูจะตื่นเต้นเกินเหตุของธนภูมิ ไม่เพียงแต่ทำให้พศวัตชักสีหน้าแสดงอาการไม่พอใจเท่านั้นแต่มันยังลามไปถึงน้ำเสียงที่กรอกลงไปตามสายด้วย
“แล้วทำไมฉันต้องบอกแกด้วยห๊าไอ้ภูมิ…ตกลงแกช่วยอะไรฉันไม่ได้ใช่ไหม”
“เออ แต่แกจะไปคิดหนักทำไม บางนากับสุวรรณภูมิไกลกันที่ไหน เอาอย่างนี้แกให้พ่อแกกับพ่อแม่ของน้องเปรี้ยวไปก่อน ส่วนแกไปหาคุณฟ้าและก่อนไปโทร.เรียกช่างก่อนเลย ไปถึงแกจะได้ไม่ต้องคอยนาน เสร็จสรรพก็มาส่งคุณฟ้าขึ้นแท็กซี่แค่นี้เอง ทันเวลาไหม”
พศวัตยกนาฬิกาข้อมือเรือนแพงขึ้นมาดูตอนนี้อีกไม่กี่นาทีจะบ่ายโมง วรรณวลีนั่งเครื่องมาถึงราวๆ บ่าย 3 โมง ถ้าทำได้อย่างที่เพื่อนรักบอกเวลาเหลือเยอะแยะ
“ทันๆ ขอบใจมาก แค่นี้แหละ”
ไม่รอให้อีกฝ่ายได้ตอบกลับหรือบอกลา พศวัตก็รีบวางสายแล้วกดมาสนทนาต่อกับอีกคนที่ถือสายรออยู่
“ฟ้าครับเดี๋ยวผมจะแวะไปหาคุณก่อนแล้วกันนะครับ จากนั้นผมค่อยไปทำธุระต่อ คิดว่าคงทัน”