บทที่ 4
หลังจากที่อธิคมส่งเพื่อนถึงบ้านเรียบร้อย เขาก็ขับรถกลับบ้านเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นก็เดินทางไปยังบ้านของชายสูงวัยซึ่งมีศักดิ์เป็นลุง และเขาก็ได้นัดหมายกับชายผู้นั้นไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว และเมื่อเขาไปถึงก็พบว่าท่านกำลังนั่งรอเขาอยู่ในห้องรับแขกของบ้าน สำหรับภรรยาเจ้าของบ้านกับลูกสาวคงอยู่ในครัว เพื่อเตรียมอาหารไว้ต้อนรับเขา เขาเดาไม่ผิดหรอก เพราะเป็นเช่นนี้ทุกครั้งที่มาทานอาหารที่บ้านหลังนี้
“สวัสดีครับลุงยุทธ...”
จังหวะนั้นเองปาริฉัตรได้เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับบุตรสาว ชายหนุ่มจึงทำความเคารพพร้อมเอ่ยทักทาย
“สวัสดีครับป้าฉัตร”
“สวัสดีจ้ะทีเจ...ป้าได้ยินเสียงรถก็เลยออกมา อาหารเสร็จพอดีเลย เราไปทานข้าวกันดีกว่า”
ปาริฉัตรชักชวนชายหนุ่มซึ่งเป็นแขกของบ้านไปยังห้องอาหาร วีรยุทธเดินตามไป สำหรับบุคคลที่รั้งท้ายคือปาริตา สีหน้าดูดีกว่าตอนบ่าย หากใจก็ยังกังวลไม่หาย และเมื่อทุกคนเริ่มทานอาหาร ชายต่างวัยทั้งสองคุยเรื่องงานที่ทำ ปาริฉัตรเองก็ถามเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวของชายหนุ่มบ้างเป็นครั้งคราว
ยกเว้นเพียงคนเดียวที่ไม่ได้เอื้อนเอ่ยคำใด ปาริตานั่งทานอาหารอย่างเงียบๆ ซึ่งอธิคมสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ จึงอดที่จะถามไม่ได้
“ริตาเป็นอะไรไปหรือเปล่า ทำไมเงียบไป” ปาริตาที่กำลังเหม่อถึงกับสะดุ้ง สบตาคนถามแล้วยิ้มให้
“ริตาไม่ได้เป็นอะไรหรอกค่ะพี่ทีเจ ว่าแต่การเดินทางเป็นอย่างไรบ้างคะ”
“ก็ดี แต่พี่ไปเจอเรื่องขำๆ มาเรื่องหนึ่ง มีแอร์โฮสเตสคนหนึ่งสงสัยจะเป็นมือใหม่”
อธิคมหัวเราะและบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเขาให้ทุกคนฟัง ตอนนี้เขาหัวเราะได้เพราะเห็นเป็นเรื่องขำ แต่ใจก็ยังเคืองผู้หญิงคนนั้นที่เห็นเขาเป็นคนลามก แอบจับก้นผู้หญิง เมื่อเรื่องจบวีรยุทธยิ้มอย่างเดียวโดยไม่พูดอะไร ผิดกับภรรยาที่ดูตกใจเอามากๆ เพราะเธอรู้จักชายหนุ่มเป็นอย่างดี ไม่มีทางที่เขาจะทำอย่างนั้นแน่
ปาริตาเองก็คิดไม่ต่างจากมารดา ใครกันที่เข้าใจผิดคิดว่าพี่ชายของเธอเป็นพวกโรคจิต
“ริตาว่าถ้าผู้ชายอย่างพี่ทีเจเหมือนคนโรคจิต ผู้ชายทั้งโลกก็เป็นโรคจิตหมดเลย” ปาริตาอมยิ้ม ฟังเรื่องนี้ของชายหนุ่มทำให้ลืมเรื่องทุกข์ใจได้ชั่วคราว
“จริงสิริตา...พี่ได้ยินลุงยุทธบอกว่าจะให้ริตาไปทำงานที่เรนโบว์แอร์...พร้อมจะไปทำเมื่อไรก็บอกนะ พี่จะได้ช่วยสอนงานให้” เมื่อชายหนุ่มพูดถึงเรื่องนี้ รอยยิ้มก็จางหายไปจากดวงหน้าของหญิงสาวทันที
อธิคมสังเกตเห็นอีกครั้ง วีรยุทธเองก็เห็นเช่นกันจึงสงสัยในตัวลูกสาว
“ริตามีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือลูก”
ปาริตาสบตาผู้เป็นพ่อ อยากบอกเหลือเกินแต่เกรงว่าท่านจะไม่ยอม แต่ถึงอย่างไรเธอก็คงต้องบอก เพราะไม่อยากปล่อยให้คาราคาซัง จะทำให้ไม่สบายใจกันเปล่าๆ
“พ่อคะ...ริตาไม่อยากไปทำงานที่บริษัทเลยค่ะ”
“แต่ลูกต้องทำเพราะนี่เป็นคำสั่ง พ่อสั่งให้ริตาไปทำงานที่เรนโบว์แอร์ ริตาก็ต้องไป” น้ำเสียงของวีรยุทธค่อนข้างห้วน จึงทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารดูน่าอึดอัด
“ยุทธคะ...ฉัตรว่าคุณฟังเหตุผลของลูกก่อนดีไหมคะ” ปาริฉัตรรู้สึกสงสารลูกสาว ที่สามีบังคับจิตใจของลูกมากเกินไป และไม่ยอมรับฟังคำของลูกสักนิด
“ผมตัดสินใจแล้วว่าจะให้ลูกสานต่อกิจการของครอบครัว ถ้าลูกไม่ทำแล้วใครจะทำ”
“คุณลุงครับ ผมว่าลองฟังเหตุผลของน้องริตาก่อนดีไหมครับ” อธิคมช่วยพูดอีกแรง เมื่อหลานชายคนเดียวพูดติง ทำให้เขาต้องหันไปถามลูกสาว
“ไหนลูกลองบอกพ่อมาซิริตา ว่าถ้าลูกไม่ไปทำงานที่บริษัท แล้วลูกจะทำอะไร”
“ริตาอยากเปิดร้านอาหารค่ะ ริตาใฝ่ฝันอยากที่จะมีร้านอาหารเล็กๆ เป็นของตัวเอง ริตาจะดูแลและบริหารร้านนี้ให้เจริญเติบโตค่ะ พ่อให้ริตาทำนะคะ” ดวงตาของปาริตาแวววาวขึ้นมาทันทีที่พูดถึงความใฝ่ฝันของตนเอง
แต่แล้วก็วูบลง เมื่อผู้เป็นพ่อส่ายหน้าไม่เห็นด้วยกับความคิดของเธอ
“แต่พ่อไม่เห็นด้วยเลยนะริตา ลูกรู้ไหมว่าการทำร้านอาหารมันไม่ใช่เรื่องง่าย อีกอย่างลูกก็ไม่มีประสบ การณ์ พ่อว่าริตาล้มเลิกความคิดที่จะเปิดร้านอาหาร แล้วไปช่วยพ่อทำงานที่บริษัทจะดีกว่านะลูก”
“แต่พ่อคะ...”
“ไม่มีแต่...” วีรยุทธคัดค้านเสียงแข็งไม่ยอมท่าเดียว
“คุณลุงครับ ผมว่าถ้าริตาไม่อยากจะไปทำงานที่เรนโบว์แอร์ เราไม่ควรที่จะไปบังคับน้องนะครับ การบังคับจิตใจและสั่งให้ทำในสิ่งที่ไม่ชอบไม่ใช่สิ่งที่ดี เพราะอาจจะมีผลเสียมากกว่าผลดี แต่ถ้าให้เธอทำในสิ่งที่ชอบ ผมเชื่อว่าริตาต้องทำได้ดีแน่นอน ดังนั้นผมว่าเราน่าที่จะให้โอกาสเธอ ได้ทำตามความฝัน และให้เธอได้พิสูจน์ความสามารถของตัวเองนะครับ”
ปาริตาหันไปมองชายหนุ่ม สายตาเต็มไปด้วยคำขอบคุณ เขาเข้าใจเธอมากกว่าบิดาเสียอีก
“นั่นสิคะ ฉัตรก็เห็นด้วยกับความคิดของทีเจนะคะ”
วีรยุทธส่ายหน้า ให้อย่างไรเขาก็ยังไม่เห็นด้วยอยู่ดี การเปิดร้านอาหารสักร้านต้องใช้ปัจจัยหลายอย่างด้วยกัน โดยเฉพาะการเปิดร้านในช่วงภาวะเศรษฐกิจที่ไม่สู้ดีในตอนนี้ มันเป็นการเสี่ยงพอสมควร เท่าที่ฟังข่าวมามีหลายร้านที่ต้องปิดตัวลงเพราะพิษเศรษฐกิจ