บทที่ 3
ณ บ้านหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ในย่านของผู้มีอันจะกิน หรือจะพูดอีกทีก็คือย่านที่อยู่อาศัยของพวกคนรวย บ้านหลังนี้มีพื้นที่กว้างขวางพอประมาณ ตัวบ้านสีขาวสวยสว่างสดใส ผู้อาศัยอยู่ในบ้านหลังมีเพียงพ่อ แม่ ลูก และคนรับใช้ ขณะที่ลูกสาวคนเดียวของบ้านนี้กำลังนั่งอยู่ที่ระเบียงห้องนอน เหม่อมองยังฟ้ากว้างราวกับปล่อยใจให้ลอยไปตามสายลม เธอจึงไม่ได้ยินเสียงเปิดประตู
“มาอยู่นี่เอง แม่ตามหาตัวลูกซะทั่วบ้านเลย” หญิงสาวหันไปตามเสียงเรียก
“แม่มีอะไรจะพูดกับริตาหรือคะ”
“แม่จะบอกริตาว่าเย็นนี้พี่ทีเจจะมาทานข้าวที่บ้านเรา พ่อของลูกอยากให้ลูกอยู่บ้าน เพื่อรอพบกับพี่เขา”
“ได้ค่ะ...วันนี้ริตาไม่มีธุระที่จะต้องออกไปไหน”
ปาริฉัตรลอบสังเกตลูกสาว สีหน้าและแววตารวมทั้งน้ำเสียง คล้ายว่ามีเรื่องไม่สบายใจ เธอจึงเอ่ยถามด้วยความห่วงใย
“ริตาไม่สบายใจเรื่องอะไร หรือว่าเบื่อที่จะต้องอยู่บ้านเฉยๆ ถ้าเบื่อก็ไปช่วยพ่อทำงานที่บริษัทสิลูก แม่ได้ยินพ่อของลูกเปรยๆ ว่าเตรียมตำแหน่งไว้ให้ลูกเรียบร้อยแล้ว เหลือแต่รอเวลาที่ลูกพร้อมจะไปทำ”
ปาริตาสวมกอดมารดาอันเป็นที่รักของเธอ แล้วซบหน้ากับอกที่อบอุ่นไม่เปลี่ยน
“ริตาไม่อยากจะไปทำงานที่เรนโบว์แอร์ค่ะ ริตาว่ามันไม่เหมาะกับริตา”
“ถ้าอย่างนั้นริตาอยากทำอะไร หรือว่าอยากจะทำงานที่โรงแรม เอาไหมจ๊ะ แม่จะบอกให้พ่อไปพูดกับอาภูรีให้” แต่ลูกสาวของเธอส่ายหน้าแทนคำพูด
“ถ้าอย่างนั้นลูกอยากจะทำอะไร”
“ริตาอยากเปิดร้านอาหารค่ะ เป็นธุรกิจเล็กๆ ที่ริตาจะดูแลบริหารมันด้วยตัวเอง มันเป็นความใฝ่ฝันของริตาค่ะ แต่ริตารู้ดีว่าพ่อจะต้องไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน”
ปาริตารู้ดีว่าพ่อต้องการให้รับช่วงและสานต่อกิจการของท่าน ทั้งที่ท่านก็รู้ว่าเธอคงจะทำได้ไม่ดีแน่ เพราะไม่มีใจรักงานนี้ สิ่งที่อยากทำมากที่สุดคือการเปิดร้านอาหาร ปาริตาคิดว่าตนเองจะทำงานนี้ได้ดีกว่าการไปทำงานที่เรนโบว์แอร์
“ถ้าริตาจะพูดเรื่องนี้กับคุณพ่อ แม่ว่าพ่อจะยอมให้ริตาทำตามความใฝ่ฝันของตัวเองไหมคะ”
“ริตาใช้เหตุผลพูดกับพ่อสิลูก ถ้าลูกมีเหตุผลที่ดีแม่ว่าพ่อต้องฟังเหตุผลของลูกแน่นอน ตอนนี้ริตาอย่าเพิ่งคิดมากเลยนะลูก ไปช่วยแม่ทำอาหารไว้เลี้ยงต้อนรับพี่ทีเจกันดีกว่า”
ลูกสาวรับคำแผ่วเบา ใจยังกังวลเรื่องที่จะพูดกับบิดา ไม่รู้ว่าท่านจะเห็นด้วยมากน้อยแค่ไหน แต่ก็หวังให้ท่านยอมรับฟังคำของเธอ แล้วยินยอมให้เธอทำตามความฝัน ถ้าท่านอนุญาต ความกังวลนี้ก็จะหายไปเป็นปลิดทิ้ง
เมื่อกานต์ชนกกลับมาถึงบ้านที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น และความรักของพ่อกับแม่ที่มีให้กับเขา แม้พ่อของเขาได้จากไปนานหลายปีแล้วก็ตาม แต่ก็ยังรู้สึกว่าท่านเฝ้าดูมารดาและตัวเขาลงมาจากฟากฟ้า หลังจากเดินเข้ามาในตัวบ้าน เขาก็ถามถึงมารดาเพราะไม่เห็นท่าน เด็กรับใช้บอกว่าท่านอยู่ที่เรือนกระจก กานต์ชนกจึงรีบเดินตรงไปยังที่แห่งนั้น
เรือนกระจกที่ว่าประดับตกแต่งไปด้วยกล้วยไม้นานาพันธุ์ รวมถึงไม้ดอกไม้ประดับนานาชนิด ที่มารดาของเขาเป็นคนปักชำและดูแลเอาใจใส่ด้วยตนเอง เขาเดินเข้าไปก็เห็นท่านนั่งอยู่ จึงเข้าไปสวมกอดและหอมแก้มด้วยความคิดถึง
“สวัสดีครับแม่”
“กานต์กลับมานานแล้วเหรอลูก” กินรียิ้มละไมดีใจที่ได้พบลูกชายที่รักดั่งแก้วตาดวงใจ
“เพิ่งจะมาถึงครับ ทีเจขับรถมาส่ง”
“แล้วนี่ทีเจอยู่ที่ไหนล่ะจ๊ะ ลูกไม่ได้ชวนเพื่อนมาทานข้าวด้วยกันเหรอ”
“ทีเจนัดกับลุงยุทธและป้าฉัตรไว้น่ะครับ”
“ลูกมาถึงเหนื่อยๆ ไปอาบน้ำก่อนดีไหม เดี๋ยวจะได้มาทานอาหารมื้อเย็นกัน วันนี้แม่ทำอาหารที่เป็นของชอบของลูกทั้งนั้นเลยนะ”
กานต์ชนกรับคำ จากนั้นก็เข้าบ้านทำธุระส่วนตัว ซึ่งใช้เวลาไม่นานก็ลงมาด้านล่าง แล้วเข้าไปที่ห้องอาหาร ก็พบมารดากำลังจัดเตรียมอาหารให้กับเขา สีหน้าของท่านเต็มไปด้วยความสุข ความจริงท่านไม่จำเป็นต้องทำอะไรด้วยตนเอง เพราะที่บ้านมีคนรับใช้มากมาย แต่ท่านต้องการทำงานบ้านเท่าที่จะทำได้ โดยเฉพาะการดูแลเรื่องอาหารการกิน และความสุขของท่านก็คือการได้ดูแลคนในครอบครัว
แต่เมื่อพ่อไม่อยู่แล้ว ท่านจึงทุ่มเททุกอย่างให้กับเขาเพียงคนเดียว แล้วเขาก็รู้ว่าท่านเหงา และคิดถึงพ่อตลอดเวลา แต่พอถามท่านก็จะปฏิเสธ
“ผมขอโทษที่ทำแต่งาน จนไม่ค่อยจะมีเวลาให้กับแม่สักเท่าไร แม่ก็เลยต้องเหงา”
“แม่ไม่เหงาหรอกลูก อยู่บ้านดูแลต้นไม้ใบหญ้า และก็คอยทำอาหารอร่อยๆ ไว้ให้ลูก จะเหงาได้ยังไง แต่ถ้าลูกจะหาลูกสะใภ้ ให้มาอยู่เป็นเพื่อนแม่ก็คงจะดี ว่าแต่กานต์เจอใครที่ถูกใจบ้างหรือยัง”
“ผมยังไม่สนใจเรื่องนี้หรอกครับแม่ ขอทำงานก่อนดีกว่า อีกอย่างเนื้อคู่ของผมอาจจะยังไม่เกิดก็ได้ครับ ทำไมจู่ๆ แม่ถึงอยากมีลูกสะใภ้ หรือว่าแม่เบื่อที่จะดูแลลูกชายคนนี้แล้วครับ”
กินรียิ้มให้ลูกชายก่อนที่จะตอบ ถ้าใครที่รู้จักเธอก็จะรู้ได้ทันทีว่า กานต์ชนกมีรอยยิ้มที่อบอุ่นเหมือนใคร
“ไม่หรอกลูกเพียงแต่แม่อยากให้กานต์มองหาผู้หญิงที่ถูกใจบ้าง ไม่ใช่ทำแต่งานกับงานอย่างเดียวแบบนี้ และที่กานต์บอกว่าเนื้อคู่ของกานต์ยังไม่เกิด แม่ว่าไม่จริงหรอกแต่กานต์ไม่สนใจเรื่องนี้มากกว่า ถ้าเมื่อไรที่กานต์เจอใครที่ถูกใจ ก็อย่าลืมพามาแนะนำให้แม่รู้จักบ้างนะ”
“ถ้าผมพบเธอคนนั้นเมื่อไร ผมต้องพามากราบแม่แน่นอนครับ” กานต์ชนกยิ้มกว้าง
มารดาของเขาชอบพูดถึงเรื่องลูกสะใภ้แทบจะทุกครั้ง ที่เขาเอ่ยถึงเรื่องที่ท่านเหงา แล้วเขาก็ตอบเช่นนี้ทุกครั้งเช่นกัน เขารู้ว่าท่านอยากให้เขามีคนดูแลที่ดี สามารถทำแทนท่านได้ทุกอย่าง แต่สำหรับเขายังไม่พบคนที่ถูกใจสักคนเดียว และไม่รู้ว่าจะได้พบเมื่อใดกัน อาจจะพบตอนที่เขาอายุมากแล้วก็เป็นได้